ตอนที่5 พรานสาว
“แม่ของนารีชื่อว่าบัวตองเป็นชาวบ้านละแวกนี้แหละครับ ส่วนพ่อน่ะเป็นพวกฝรั่งที่ร่วมขบวนเข้ามาเที่ยวป่ากับพวกข้าราชการในเมือง พอมาพบกับนังบัวตองเข้าก็เกิดต้องตาต้องใจผูกสมัครรักใคร่กัน พอบัวตองตั้งท้องนารีแล้วไอ้ฝรั่งมันก็หนีหายไปไม่ได้รับผิดชอบหรือติดต่ออะไรกลับมาเลย ทิ้งให้นารีอยู่กับแม่ของมันเพียงสองต่อสอง บ้านที่อยู่กันก็ปลูกอยู่ชายป่าห่างออกไปจากหมู่บ้านไกลโข พอนารีมันโตเป็นสาวก็หน้าตาสะสวยผิดกับสาวชาวบ้านคนอื่น ผู้ชายหลายคนในหมู่บ้านก็พากันไปมาหาสู่เพราะอยากได้มันเป็นเมีย แต่นารีมันก็ไม่เล่นกับใคร”
พรานคมหยุดพูด คั่นเวลาโดยการยกแก้วเหล้าป่าเข้าปาก ส่วนยอดชายก็ขอกล่องยาสูบของพรานเฒ่าเอามามวนจุดสูบ
“จนเมื่อสองปีก่อนผมออกจากป่าล่าสัตว์ คืนนั้นบังเอิญเดินผ่านมาทางบ้านของนังบัวตองเข้าได้ยินเสียงปืนและร้องขอความช่วยเหลือ ไอ้ครั้นจะเดินหนีทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นซะก็ได้แต่ผมก็ไม่ใช่คนแบบนั้นซะด้วยเลยเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
ดวงตาของพรานคมฉายประกายเจิดจ้าอาจหาญ
“ผมเห็นไอ้นกกับไอ้สอนสองหัวขโมยกำลังยื้อยุดฉุดนังนารีอยู่ ส่วนนังบัวตองนอนตายเลือดอาบพื้นเรือนส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปหมด ผมก็เลยดวลปืนกับพวกมันสองคน ผลลัพธ์ก็คือพวกมันหนีออกจากหมู่บ้านไปส่วนผมถูกยิงเข้าที่เส้นเลือดใหญ่ตรงโคนขาบาดเจ็บสาหัส นึกว่าต้องตายแน่แล้วแต่เดชะบุญที่ยังคุ้มตัวอยู่หมอในเมืองช่วยชีวิตเอาไว้ได้ทัน แต่ขาของผมจำเป็นต้องตัดทิ้งเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้”
“พรานคมนี่สมเป็นยอดพรานจริงๆ นะครับ กล้าหาญและมีน้ำใจมาก”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับนายว่าตอนนั้นผมกล้าหาญหรือว่าโง่บัดซบกันแน่ถึงได้กล้าเข้าไปสู้กับหนุ่มรุ่นๆ อย่างไอ้นกกับไอ้สอนมันได้”
พรานคมยกผ้าขาวม้าที่พาดบ่าอยู่โบกปัดยุงและแมลงรอบๆ ตัว
“ต้องเรียกว่าความกล้าหาญนั่นแหละครับ” ยอดชายเทเหล้าขาวลงแก้ว “จากนั้นนารีก็เลยมาอยู่กับพรานคมงั้นสินะครับ”
พรานเฒ่าพยักหน้ารับ
“ใช่ครับ หลังจากงานศพนังบัวตองผ่านไป นารีมันก็มาดูแลผมนับตั้งแต่นั้น”
“เป็นแบบนี้เอง”
“จริงสิ ผมว่าจะถามนายตั้งแต่เมื่อตอนหัวค่ำแล้วว่ารอบนี้ทำไมถึงได้มาเพียงคนเดียว แล้วคุณรักชาติทำไมไม่มาด้วยกัน”
“ไอ้รักชาติมันตายแล้วล่ะพรานคม ตายตอนไปประจำอยู่ภาคใต้กับฉัน”
“ผมเสียใจด้วยนะครับนาย คุณรักชาติยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ๆ ไม่น่ามาด่วนอายุสั้นจากไปเร็วขนาดนี้เลยเหมือนคำโบราณที่เค้าว่ากันว่าคนดีมักจะจากไปเร็ว”
“คงเป็นอย่างนั้นแหละครับพรานคม”
“เสียดายจริงๆ ที่ขาของผมดันมาเป็นแบบนี้ไม่งั้นคงได้นำทางนายเข้าป่าอีกครั้ง”
พรานเฒ่ายกมือขึ้นตีลงบนขาเทียมของตัวเองเหมือนจะตัดพ้ออยู่ในที
“ไม่เป็นไรหรอกพรานคมฉันเข้าใจดี แค่พรานคมช่วยหาลูกหาบให้ฉันสักสามคนก็พอฉันจะเข้าป่าไปสักสองสามวันเอาแค่ใกล้ๆ พอได้หายเบื่อเมืองกรุงหน่อย”
“ผมว่ามันอันตรายเกินไปครับนาย หากนายจะเข้าป่าไปโดยไม่พรานนำทางแบบนั้น”
พรานเฒ่าแย้งขึ้น
“ไม่อันตรายหรอกครับ ผมเป็นทหารเก่าแค่มีปืนกับแผนที่ใบเดียวก็ไปได้เหนือจรดใต้แล้ว” ยอดชายควักแผนที่ออกจากกระเป๋าเป้
“เอาแบบนี้ดีกว่าครับนาย คราวนี้ผมจะให้นารีมันนำทางนายเข้าป่าไปเอง”
“นารีนั่นหรอครับพรานคม”
ยอดชายสวนโพล่งขึ้นทันควันพร้อมทำหน้าเหมือนไม่ค่อยไว้ใจนัก
“นายอย่าได้ดูแคลนว่านารีเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ เชียว มันเข้าป่าล่าสัตว์ทุกวันชำนาญทางกว่าพรานบางคนในหมู่บ้านซะอีก ที่ผมมีกินมีใช้อยู่ตอนนี้ก็เพราะมันนั่นแหละเข้าป่าล่าสัตว์เก็บสมุนไพรไปขายในตลาด” สีหน้าของพรานคมชื่นชมภรรยาสาวอย่างเปิดเผย
“ถ้าพรานคมการันตีถึงขนาดนี้ฉันก็คงหมดความสงสัยในตัวนารี แต่ติดตรงที่เธอเป็นผู้หญิงนี่แหละ ผมว่า… มันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่”
ยอดชายถอนหายใจ เขาเป็นผู้ชายส่วนนารีเป็นผู้หญิงจะให้เข้าป่าไปพักค้างอ้างแรมด้วยกันก็คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก ใครรู้เข้าก็จะเอาไปนินทาเสียๆ หายๆ ได้ แม้จะมีลูกหาบติดตามเข้าไปด้วย ทว่าตอนกลางคืนพวกลูกหาบก็แยกตัวออกไปนอนพักผ่อนกันต่างหาก
“อย่าคิดมากไปเลยครับ นายเป็นเจ้าชีวิตของผม ผมรักในน้ำใจของนาย ชาวบ้านมันจะพูดยังไงก็คงห้ามปากพวกมันไม่ได้หรอก แต่เราสองคนย่อมรู้กันดี ใช่ไหมครับนาย”
พรานเฒ่าเอื้อมมือมาบีบแขนของยอดชาย
“ถ้างั้นก็สุดแล้วแต่พรานคมเถอะ”
“ต้องแบบนี้สิครับนายจะได้มาไม่เสียเที่ยว ประเดี๋ยวนารีมันกลับมาผมจะบอกมันเองให้จัดเตรียมเสบียงอาหารและหาลูกหาบเอาไว้ให้พร้อมอีกสองสามวันก็เข้าป่าได้”