นางวรากุลเป็นคนที่มีความสุขกับทุกสิ่งในชีวิตประจำวัน ความเรียบง่ายทำให้นางสามารถยิ้มให้กับทุกคน แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้แววตาของนางสลดลงคือเรื่องของลูกชายและทายาทสืบสกุล
หญิงสาวยิ้มเจื่อน “ผู้หญิงอย่างหนูคงจะไม่สามารถทำให้ลูกชายของคุณป้าตกหลุมรักได้หรอกค่ะ”
“ใครบอกล่ะ... ผู้หญิงแบบนี้แหละที่จะทำให้คนเป็นสามีไม่รู้สึกเบื่อที่จะมอง ป้ายังอยากให้ลูกชายของป้าได้เจอหนูสักครั้ง แต่คงจะยาก เพราะป้องอยู่ต่างประเทศเสียส่วนใหญ่ ถ้ากลับมาเมืองไทยก็จะอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก ขนาดแม่แท้ๆ ยังเจอกันแทบนับครั้งได้ต่อปี” นางวรากุลบอกหยั่งเชิง นางอยากให้พวกเขารู้จักกันโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
เพราะนางรู้ดีว่าหากป้องเขตได้รู้จักก่อนเขาก็จะยิ่งสร้างกำแพงต่อต้าน ในขณะที่นางก็อยากรู้ความรู้สึกของศกุนตลาด้วย บางทีนางอาจจะไม่ได้เพียงแค่หลานอุ้มบุญ ยังอาจจะได้ลูกสะใภ้สมใจก็เป็นได้
ศกุนตลาสัมผัสได้ถึงความเศร้าสร้อยในน้ำเสียงของคนพูด เธอยิ้มบางๆ หันไปมองมารดา จากนั้นเธอก็หันมาตอบกลับนางวรากุลเสียงเบา “ถ้าหากว่าแม่เห็นว่าหนูควรทำ หนูก็ไม่ขัดข้องที่จะช่วยเหลือคุณป้าค่ะ”
“ขอบใจหนูตลามากนะลูก ถ้ามีโอกาสป้าอยากให้หนูทำความรู้จักกับ ตาป้องจริงจังสักครั้ง”
คำพูดของนางวรากุลเป็นการยืนยันว่าผู้ชายคนที่เธอเจอเมื่อบ่ายไม่ใช่เขา หัวใจของเธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หากเป็นคนเมื่อบ่าย เธออาจจะไม่ลังเลที่จะยอมรับข้อเสนอก็เป็นได้ อย่างน้อยเขาก็ไม่เลวร้าย เธอคงจะรักเขาได้ไม่ยากหากต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่เธอก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะถามต่อว่าผู้ชายคนเมื่อบ่ายเป็นใคร
“ค่ะ” หญิงสาวเพียงตอบรับอย่างสุภาพ ในความเป็นเด็กเธอไม่สามารถแสดงความเห็นได้มากกว่านี้ จากความรู้สึกที่สัมผัสได้จากมารดา เธอรับรู้ได้ว่าท่านก็เห็นด้วยกับความคิดของนางวรากุล ถ้าเธอจะยอมรับข้อเสนอนี้กับจำนวนเงินที่นางวรากุลมอบให้เป็นสินสอด
ทั้งที่ในความรู้สึกจริงข้างในเธอไม่เคยเห็นด้วย แม้ว่ายอดเงินจะมากมายจนไม่สามารถใช้ได้หมดภายในสิบปี แต่ถ้าเลือกได้เธอก็ยอมเหนื่อยเพื่อที่จะทำงานหนักเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ ดีกว่ายอมปลดหนี้ด้วยวิธีแบบนี้ มันเหมือนเป็นการลดทอนความภาคภูมิใจของเธอลง
หากแต่มารดาของเธอกลับคิดต่าง นางไม่สามารถทนเห็นลูกลำบากเพื่อจะเก็บหอมรอมริบมาปลดหนี้ของครอบครัวที่มีอยู่จำนวนมากโข แต่วิธีการที่นางวรากุลนำเสนอก็เป็นผลดีทั้งสองฝ่าย และถ้าสิ่งที่ได้เป็นไปตามที่พวกนางคาดหวัง ก็จะเป็นของขวัญพิเศษให้กับผู้สูงวัยทั้งสอง
นางวรากุลหันไปมองมารดาของหญิงสาวและยิ้มออกมาอย่างมีความสุข นางกำลังคาดหวังที่จะทำให้ทั้งคู่ลงเอยกันด้วยความรัก แต่ในกรอบเวลาอันน้อยนิด วิธีการใดเล่าจะช่วยให้นางสมหวัง
สายวันต่อมาป้องเขตนอนเอกเขนกอยู่ที่ศาลาริมแม่น้ำ ลมโกรกเย็นสบายเหมาะสำหรับนอนอ่านหนังสือผ่อนคลายในวันหยุด ยิ่งบนโต๊ะข้างๆ ตัวมีจานขนมกลิ่นหอมกรุ่น รสชาติหวานละมุน มือใหญ่ของเขาหยิบขนมสีอ่อนในถ้วยเล็กส่งเข้าปากไม่หยุด กลิ่นน้ำลอยดอกมะลิหอมผสานกับความลื่นละมุนที่ไหลลื่นลงคอคำแล้วคำเล่า จนเขาเผลอลืมว่ามืออีกข้างถือหนังสือกางเอาไว้อยู่
กลิ่นและรสชาติขนมทำให้เขานึกไปถึงดวงหน้าหวานของคนทำ ชื่อของมันที่ข้างกล่องยังตราตรึง ‘ขนมลืมกลืน’
“ใครกันช่างตั้งชื่อ ขนมลืมกลืน ช่างสมกับชื่อจริงๆ” ชายหนุ่มรำพึงออกมาเสียงเบา มุมปากหยักยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงใบหน้าของเธอกับน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว
“เอ๊ะ... นี่ฉันจะคิดถึงเด็กคนนั้นทำไมกัน” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับวางขนมที่อยู่ในมือชิ้นสุดท้ายลงบนจานเหมือนเดิม และเปิดหนังสือหน้าต่อไปพยายามเพ่งสมาธิจดจ่อกับหน้าหนังสือ หากแต่อ่านได้เพียงไม่กี่บรรทัดเขาก็ต้องคว้ามือไปหยิบขนมในจานอีกครั้ง
ขนมชั้นกลีบกุหลาบมันวาวถูกส่งเข้าปาก มันอยู่ในถ้วยพลาสติกใบเล็กขนาดพอดีคำ เหมาะสำหรับหยิบส่งเข้าปากได้เรื่อยๆ ไม่ติดมือ รสชาติไม่หวานมาก แต่นุ่มละมุนแทบไม่ต้องเคี้ยว ทำให้เขาต้องหยิบอีกชิ้นส่งเข้าปากเพื่อเน้นย้ำรสชาติ
“วันนี้เป็นวันอะไรกันนะ ลูกชายของแม่ถึงได้นอนเอกเขนกส่งขนมเข้าปากอย่างอารมณ์ดีแบบนี้” เสียงของนางวรากุลเอ่ยทัก ในจังหวะที่นางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ไม่ห่างจากลูกชาย
“วันนี้ไม่มีงานเหรอ” นางถามต่อ เพราะไม่เคยเห็นว่าลูกชายจะอยู่ติดบ้านแบบนี้สักครั้งในระยะหลังที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ตาม
“วันหยุดก็อยู่บ้านบ้างสิครับคุณแม่”
“แล้วนั่นขนมที่ป้องให้พี่พินไปซื้อมาให้เหรอ จำได้ว่าแม่ไม่ได้ซื้อเข้ามา” นางแกล้งถามต่อหยั่งเชิงคำตอบของลูกชาย แม้จะเห็นเขาหอบหิ้วกลับมาเองตั้งแต่เมื่อวาน
“ผมซื้อมาจากร้านขนมไทยที่ไปมาเมื่อวาน อร่อยดีนะครับคุณแม่” เขาตอบกลับไปตามความจริง ดวงตาของชายหนุ่มส่งประกายเมื่อพูดถึงร้านขนมร้านนั้น
“ขนมร้านนั้นรสชาติไม่หวานมาก แม่ก็ชอบอุดหนุน เจ้าของร้านเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่เข้าใจคิด เข้าใจทำ ประยุกต์รูปแบบการนำเสนอขนมไทยโบราณหลายอย่างให้ดูสวยงาม เพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น” นางวรากุลสนับสนุนคำพูดของลูกชาย ชายหนุ่มพยักหน้าคล้อยตาม เป็นครั้งแรกที่เขาให้ความสนใจเรื่องที่มารดาเล่า
นางวรากุลซ่อนยิ้มเมื่อเห็นท่าทีสนใจของลูกชาย นางจึงเสริมต่อ โยนหินถามทางความรู้สึกของเขา
“เจ้าของร้านสวยด้วยนะ ป้องคงยังไม่เห็น”
“คุณแม่จะเริ่มเข้าเรื่องอีกแล้วใช่ไหมครับ เจ้าของร้านขนมไทยคงไม่เหมาะกับผมหรอก” ชายหนุ่มบอกตัดบท แต่ผู้เป็นแม่กลับหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี หยอกเย้ากระเซ้าแหย่ลูกชาย
“แม่แค่บอกว่าเธอสวยเท่านั้นเอง ป้องคงไม่มีโอกาสได้เจอ เพราะเธอยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลาอยู่ร้าน วันนี้ป้องไม่ไปไหนใช่ไหม”
“เปล่าครับ... คุณแม่มีอะไรหรือเปล่า”
“พอดีว่าแม่สั่งหม้อแกงเผือกที่ร้านขนมศกุนตลาเอาไว้ แล้วลืมสนิทว่าพี่พินไม่อยู่ ส่วนแม่ก็ต้องรีบไปงานด้วย ป้องมีเวลาแวะไปเอาให้แม่สักครู่ได้ไหม”
“ได้สิครับ” ชายหนุ่มตอบรับทันที โดยที่ไม่รู้ตัวว่าเผลอยิ้มออกมาให้คนเป็นแม่ได้เห็น
“ป้องกำลังอารมณ์ดีอยู่หรือเปล่า หรือว่าอยากเห็นเจ้าของร้านที่แม่พูดถึงเสียแล้ว” คนเป็นแม่เย้าอีกครั้ง
“คุณแม่ก็โยงเข้าเรื่องของคุณแม่จนได้ ผมไม่อยากรู้จักใครหรอก อยากมีวันหยุดที่ได้นอนอยู่บ้านรีแลกซ์แบบไม่คิดอะไรอย่างนี้มากกว่า”
“ปิดทางแม่อีกแล้ว” นางวรากุลบอก
“ปิดทางอะไรครับ”
“คือแม่กำลังจะถามป้องว่าว่างวันไหน แม่อยากชวนหนูตลามารับประทานอาหารที่บ้านและทำความรู้จักกันไว้ ป้องคงไม่ลืมเรื่องที่เราคุยกันไว้วันก่อนนะ” คราวนี้นางวรากุลเข้าเรื่องอย่างจริงจัง หลังจากหยั่งเชิงความรู้สึกของ ลูกชายมาหลายรอบ
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาคุยกับมารดาค้างเอาไว้วันก่อน เพราะกำลังหาเหตุผลและยกข้ออ้างเพื่อล้มเลิกคำพูดของท่าน
“ผู้หญิงอะไรชื่อกะลา” ชายหนุ่มชักสีหน้าถามกลับเสียงห้วน แค่ได้ยินชื่อของเธอเขาก็พานหงุดหงิดขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นอาการของลูกชายนางก็เลี่ยงที่จะบอกให้เขารู้ว่าผู้หญิงที่นางหมายปองเป็นเจ้าของร้านขนมไทยที่ชื่อศกุนตลา เพราะเมื่อครู่เขายังอารมณ์ดี