“ได้หรือยังญานิน” น้ำเสียงเข้มเอ่ยเสียงดังออกมาจากเครื่องมือสื่อสารภายในจนเจ้าของร่างบางถึงกับสะดุ้ง เธอรีบหยิบแฟ้มสรุปผลประกอบการประจำปีเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นภูชิตนั่งรออยู่ที่โซฟารับแขก หญิงสาวจึงรีบเดินไปนั่งข้างๆ
“ผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทมีกำไรร้อยยี่สิบล้าน ในไตรมาสสองคาดว่าจะมีผลกำไรอยู่ที่…” หญิงสาวอธิบายตัวเลขงบดุลอย่างรู้จริง หรือบางทีอาจจะมากกว่าเจ้าของแผนกเองด้วยซ้ำ ทำให้เธอสามารถอธิบายได้อย่างคล่องแคล่วและชัดเจน ภูชิตเองก็ศึกษางานบริษัทตลอดเวลาที่เรียนอยู่เมืองนอก ทำให้เขารู้รายละเอียดของแต่ละแผนกเป็นอย่างดี แต่สิ่งที่ญานินอธิบายเป็นตัวเลขการเงินล้วนๆ ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าบิดาไว้ใจเลขาฯ คนนี้มากเป็นพิเศษ
“พ่อคงไว้ใจเธอมากเลยใช่ไหม?” ชายหนุ่มเอ่ยถามหลังจากฟังบทสรุปของงานเสร็จสิ้น ญานินรู้สึกถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของเจ้านายหนุ่มเธอก็ขมวดคิ้วมุ่น
“คงระดับหนึ่งมั้งคะ เพราะคนเราถ้าทำงานด้วยกันก็ต้องไว้ใจและเชื่อใจกัน ไม่ใช่คอยมานั่งจับผิดกันใช่ไหมคะ?” หญิงสาวแอบเอ่ยเสียงขุ่น ทว่าใบหน้าหวานกลับพยายามยิ้มแย้มอย่างอดทน
“แล้วเธอมีอะไรที่ทำให้ฉันไม่ไว้ใจหรือเปล่าล่ะ?” เขาถามพลางสบกับนัยน์ตากลมใส ทำเอาคนถูกมองรู้สึกเหมือนกำลังถูกประเมินความสามารถอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“ถ้าคุณไม่สบายใจ ดิฉันยินดีขอลาออกทันทีที่คุณเข้ารับตำแหน่งค่ะ” ร่างบอบบางรีบลุกขึ้นยืน ลำคอระหงเชิดและตั้งตรงอย่างมีศักดิ์ศรี ภูชิตยกมือพาดไปตามความยาวของพนักพิงขณะสบกับนัยน์ตาหวานนิ่ง
“ฉันไม่ใจดีเหมือนพ่อหรอกนะญานิน ถ้าเธอไม่พอใจที่จะทำงานกับฉัน…ก็คงต้องพิจารณาตัวเองตั้งแต่วันนี้เลย แต่ถ้าอยากทำงานต่อ…ก็ต้องรับเงื่อนไขของฉันให้ได้” ภูชิตเอ่ยเสียงเรียบทว่าใบหน้าคมกลับนิ่งเงียบขรึม
“เงื่อนไขอะไรคะ?”
“พรุ่งนี้ฉันจะบอกเธอก็แล้วกัน แต่สิ่งแรกที่เธอต้องทำคือ…เปลี่ยนแปลงตัวเองซะใหม่ ทำตัวเองให้มันดูเจริญหูเจริญตาฉันหน่อย” ชายหนุ่มมองชุดสูทสีน้ำเงินเข้มกับทรงผมมัดรวบไว้กลางศีรษะดูเชยๆ เล่นเอาคนถูกมองต้องก้มลงพิจารณาตัวเอง
นี่เราแต่งตัวเชยขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย…
“เจ้านายจะให้ฉันแต่งตัวแบบไหนคะ?”
“คิดเอาเองสิ พ่อฉันชมนักชมหนาไม่ใช่เหรอว่าเธอทั้งเก่งแถมฉลาดไปสียทุกเรื่อง” พอพูดจบภูชิตก็ลุกขึ้นไปนั่งอ่านเอกสารบนโต๊ะทำงาน ปิดฉากการต่อปากต่อคำกับเลขาฯ สาวไปโดยปริยาย ญานินเห็นดังนั้นจึงเดินออกจากห้องด้วยท่าทีครุ่นคิด โดยมีสายตาคมแอบชำเลืองมองเจ้าของร่างบางจนกระทั่งประตูห้องปิด เจ้าของร่างสูงจึงนั่งศึกษางานต่อ
เมื่อญานินเดินออกจากห้องเธอก็นั่งถอนหายใจอยู่ที่โต๊ะทำงาน ในหัวของเธอเวลานี้เริ่มประมวลผลหนักมากๆ หญิงสาวคิดถึงเรื่องการแต่งตัวแล้วเครียด ที่เจ้านายคนเก่ากับเจ้านายใหม่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ จะมีทางไหนที่เธอจะทำลายความเนี้ยบของเจ้านายคนใหม่ได้ไหมนะ
เดี๋ยวนะยายนิน แกจะไปเปลี่ยนเขาทำไม เพี้ยนไปกันใหญ่แล้วนะเรา
หญิงสาวบ่นกับตัวเองพร้อมกับยกมือกุมขมับ หรือว่าชีวิตการทำงานเธอจะหยุดลงเพราะรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้กันแน่นะ
ไม่! เธอจะไม่มีวันยอมแพ้คนขี้เก๊กอย่างเขาแน่นอน…
เมื่อฮึดสู้ ญานินก็ยืดตัวตรงแล้วพยายามสูดลมหายใจเข้าจนลึกๆ จนเต็มปอด จากนั้นเธอก็ลงมือทำงานอย่างตั้งใจ หากแต่ว่าปลายหางตายังคงแอบชำเลืองมองประตูห้องของเจ้านายหนุ่มเป็นระยะๆ จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน ทว่าเจ้านายคนใหม่ของเธอยังคงไม่ออกมา ทำให้หญิงสาวถึงกับถอนหายใจเบาๆ ครั้นจะกลับก่อนเจ้านายก็ใช่ที่ ญานินจึงนั่งทำงานต่อจนกระทั่งประตูห้องทำงานเปิดออก
“ยังไม่กลับอีกเหรอ?” น้ำเสียงเข้มเอ่ยถามขึ้น
“เอ่อ ยังค่ะ เผื่อเจ้านายจะเรียกใช้ ฉันก็เลยยังต้องอยู่ต่อค่ะ” หญิงสาวรีบอธิบายอย่างไม่เต็มเสียงนัก ด้วยเพราะหวั่นใจกับอารมณ์ของอีกฝ่ายที่ดูขึ้นๆ ลงๆ
“…” ด้านภูชิตแอบชมอยู่ในใจเพราะสำหรับเขาแล้วเลขาฯ ต้องพร้อมทำงานเสมอ
“เจ้านายจะกลับเลยมั้ยคะ? ฉันจะได้โทรให้คนขับรถของบริษัทเอารถมาสแตนด์บายไว้รอ”
“หืม…แล้วเธอล่ะกลับยังไง?” ภูชิตถามกลับ
“เอ่อ นั่งแท็กซี่กลับค่ะ” ญานินตอบไปตรงๆ
คิ้วหนายกขึ้นอย่างแปลกใจที่หญิงสาวไม่ขับรถมาทำงาน “ทำไมไม่ขับรถมาทำงาน หรือว่ามีคนมารับมาส่ง?”
“ฉันขับรถไม่เป็นค่ะ” ญานินรีบตอบเสร็จก็หยิบสายกระเป๋าขึ้นมาคล้องบ่าก่อนจะเดินไปที่ลิฟต์พร้อมกับเจ้านายจอมเนี๊ยบ เพียงไม่นานทั้งสองก็ลงมาถึงชั้นล่าง เมื่อกลุ่มรปภ.เห็นเจ้านายคนใหม่ทุกคนต่างก็รีบโค้งคำนับภูชิตอย่างให้เกียรติ
“ไปด้วยกันสิ ฉันจะไปส่งเอง” เมื่อลงมาที่ด้านล่างชายหนุ่มก็รีบยื่นข้อเสนอ
“อย่าเลยค่ะ รบกวนเจ้านายเปล่าๆ ฉันขอตัวนะคะ” ญานินรีบปฏิเสธแล้วเดินเลี่ยงไปเพื่อจะเรียกแท็กซี่ ทว่ายังไม่ทันที่สาวเจ้าจะได้ก้าวขาออกไป เจ้าของมือแกร่งก็รีบยึดข้อมือเล็กเอาไว้อย่างเผด็จการ
“ไปด้วยกัน ฉันมีเรื่องที่จะคุยกับเธอ” ภูชิตรีบบังคับหญิงสาวให้ขึ้นรถ พร้อมกับก้าวขึ้นไปนั่งประกบคู่กับเธอที่เบาะหลัง เพียงไม่นานคนขับรถก็รีบเคลื่อนรถออกไปจากบริษัทอย่างรู้หน้าที่
“เจ้านายมีธุระอะไรที่จะคุยกับฉันคะ?” ญานินรีบเอ่ยถามทันทีขณะที่นั่งหลังตรงภายในรถ