ตอนที่ 13
ติ๋ง!
กริ่งหน้าประตูห้องดังขึ้น พร้อมกับร่างแม่เสือสาวจอมยั่วเดินนวยนาดมาเปิดประตูพร้อมรอยยิ้มเซ็กซี่บาดใจ สองแขนเรียวคล้องคอหนาและโน้มลง แล้วแนบเรียวปากสีแดงสดบดเบียดดูดดื่มกับริมฝีปากหนาทันที ก่อนผละออกพร้อมส่งสายตายั่วยวน
“วันนี้เป็นอะไรไปคะ ทำไมหน้าตาดูเครียดจัง”
ภูวเดชไม่ตอบ มีเพียงเสียงพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยๆ จากร่างสูง เพียงเท่านั้นสาวสวยก็เดินตรงไปยังบาร์เล็กๆ พร้อมกับรินเหล้ายี่ห้อดังส่งให้ชายหนุ่ม
“ดื่มสักหน่อยนะคะ จะได้หายเครียด” เอมี่ยื่นแก้วให้พร้อมส่งสายตาวาววับ
“ขอบคุณครับ คุณนี่รู้ใจผมจริงๆ” ภูวเดชบอกพร้อมทั้งแนบริมฝีปากดูดดื่มกับเรียวลิ้นเล็กๆ ที่ยั่วยวนอยู่ด้านใน ที่ดูคล้ายจะหลีกหนีแต่กลับหลอกล่อให้ปลายลิ้นหนาซอกซอนเข้ามาต่างหาก แล้วปลายลิ้นทั้งสองต่างก็ลากไล้นัวเนียกันอย่างเร่าร้อน
ฝ่ามือร้อนเลื่อนเข้ามากอบกุมความอวบอูมของทรวงอก พร้อมทั้งลงน้ำหนักมือแบบเน้นๆ และนิ้วเรียวยาวเกลี่ยยอดอกแรงๆ ปลุกความเสียวซ่านให้หญิงสาว ปลายลิ้นร้อนลากไล้ระเรื่อยตามซอกคอระหง ขบเม้มซ้ำๆ ให้เกิดรอยแดง พร้อมเสียงหัวเราะร่วนของหญิงสาว
เมื่ออารมณ์พิศวาสเริ่มลุกฮือ ภูวเดชรีบวางแก้วทรงสวยในมือทันที ก่อนดันร่างหญิงสาวนอนราบบนโซฟา ดึงชุดเกาะอกตัวสวยออก สายตาคมจับจ้องทั่วร่างเซ็กซี่ โดยเฉพาะเนินอกอวบล้นทะลักบราเซียร์นั้น ก่อนกดใบหน้าคมเคล้าคลึง แล้วให้ริมฝีปากลากไล้รอบๆ โดยทิ้งความอุ่นชื้นเอาไว้ ส่วนมือหนาก็เคล้นคลึงที่สะโพกสวยอย่างสนุกมือ
“คุณภูมิขา คิดจะทรมานเอมี่ไปถึงไหนคะ” เอมี่ร้องถามเสียงพร่า
“ผมก็จะทำให้คุณขึ้นสวรรค์ด้วยปากของผมไงครับ” ภูวเดชบอกเสียงทุ้ม แล้วเขาก็ทำตามที่พูดเมื่อปลายลิ้นอุ่นลากไล้มาตามหน้าท้องแบนราบ ไล้วนรอบๆ สะดือ เอมี่บิดร่างอย่างรัญจวนเมื่อฝ่ามือหนาลากไล้ผ่านสิ่งซ่อนเร้นภายใต้กระโปรงรัดรูปตัวสั้น
เขาไล้ปลายลิ้นแสนร้ายวนรอบสะดือจนมันเปียกชื้น ก่อนวกกลับขึ้นมาจุมพิตเรียวปากสวยสดอย่างเร่าร้อนและหนักหน่วง ฝ่ามือก็เคล้าคลึงทรวงอกอย่างรุนแรง โดยไม่กลัวว่าหญิงสาวจะเจ็บและทรมานมากแค่ไหนหรือไม่
เมื่อความร้อนรุ่มที่ถูกชายหนุ่มสุมสร้างให้ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่เขากลับไม่ยอมทำให้เธอหลุดพ้นจากความทรมาน เมื่อเขาไม่ทำเอมี่ก็จัดการผลักร่างสูงใหญ่ออก แล้วกดให้คนตัวโตนอนลงบนโซฟาแทน มือเรียวสวยลากไล้ไปตามแผงอกกำยำภายใต้เสื้อเชิ้ตราคาแพง สะกิดปานสีน้ำตาลทั้งสองข้าง แล้วค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อออกอย่างช้าๆ
“คราวนี้ตาเอมี่บ้างนะคะ” เธอเอ่ยบอกเสียงหวาน พร้อมก้มลงจุมพิตริมฝีปากหนาอีกครั้ง ฝ่ามือร้อนเริ่มลากไล้ผ่านเนินไหล่นวลเนียนมาเรื่อยๆ แล้วหยุดกลางใจสาว ซึ่งเผยอแย้มยามที่เจ้าของแอ่นรับนิ้วเรียวของเขา
“คุณภูมิ” เสียงอุทานราวคนตกใจ ทว่าหญิงสาวกลับชอบใจยิ่งนัก เมื่อปลายนิ้วเรียวยาวเริ่มเคลื่อนไหวในความอ่อนนุ่มของเธอ
มือสวยซึ่งกำลังบรรจงปลดกระดุมเสื้อของชายหนุ่มเริ่มสั่นสะท้าน เมื่อนิ้วร้ายกาจทวีความรุนแรงขึ้น ร่างของแม่เสือสาวโยกไหวราวใบไม้ต้องลม เสียงครวญครางดังกระเส่า
“คุณภูมิขา” ยิ่งได้ยินเสียงของสาวสวยครวญครางดังเท่าไหร่ ภูวเดชก็รีบเร่งปลายนิ้วให้แรงขึ้น แม้จะไม่ได้ทำเหมือนที่บอกเธอไปในคราแรก แต่เขาก็สามารถส่งหญิงสาวขึ้นสวรรค์ได้
ร่างของหญิงสาวทรุดฮวบลงทันทีเมื่อได้หลุดพ้นจากความเสียวซ่าน มือเรียวสวยเริ่มขยับไต่ต่ำลงไปเรื่อยๆ เมื่อได้หยุดหายใจให้เป็นปกติ
“ถึงเวลาคุณแล้ว เอมี่” ภูวเดชบอกเสียงกระเส่า เขาก็แทบจะทานทนไม่ได้แล้วเหมือนกัน ก่อนยกตัวเพื่ออำนวยความสะดวกแก่หญิงสาวได้จัดการกับเสื้อผ้าแสนจะเกะกะของเขาออก เรียวปากสวยฉายรอยยิ้มร้ายไว้ จ้องมองความใหญ่โตของชายหนุ่มนิ่งก่อนเริ่มบรรเลงเพลงพิศวาสอันเร่าร้อนบนความกำยำนั่นครั้งแล้วครั้งเล่า
เช้าต่อมา...ที่หน้าบ้านพักหลังหนึ่ง
สองมือน้อยประคองของใส่บาตรยามเช้าด้วยใบหน้าเศร้าหมอง ซึ่งนับแต่บิดาจากโลกนี้ไปชีวิตของเธอไม่เคยได้พานพบกับรอยยิ้มอีกเลย และเมื่อตักบาตรเสร็จเรียบร้อย ร่างเล็กย่อตัวพร้อมสองมือเรียวพนมไหว้รับพรจากพระสงฆ์
“หนูวริน ใส่บาตรทุกเช้าเลยนะ” หญิงชราวัยเกือบเจ็ดสิบพูดขึ้น โดยมีเจ้าโอเล่ย์น้องหมาตัวโปรดของวรินญาแต่ตอนนี้มันกลับติดคุณยายแจ ยืนกระดิกหางอยู่ใกล้ๆ
“ค่ะ คุณยาย” วรินญาวางถาดลงบนโต๊ะหน้าบ้านแล้วหันมาประคองหญิงชราไว้
“อยู่คนเดียวคงเหงาแย่สินะ” สองมือเหี่ยวย่นลูบศีรษะของ หญิงสาวอย่างอ่อนโยน วรินญาพยักหน้ารับน้อยๆ แทนคำพูด
“ยายว่าหนูควรทำใจได้แล้วนะ พ่อของหนูเขาไปสบายแล้ว ก็มีแต่หนูนี่แหละ ถ้าขืนยังจมอยู่กับความเศร้าโศกเสียใจอยู่อย่างนี้ อาจทำให้คนตายไปแล้วเป็นห่วงเอานะหนู” คุณยายเอ่ยบอกเสียงเนิบนาบ
“วรินพยายามแล้วค่ะคุณยาย แต่วรินก็ไม่เข้มแข็งพอ ตั้งแต่เล็กจนโตพ่อไม่เคยจากวรินไปไหนเลย แล้วมาวันนี้ วันที่ไม่มีพ่อ วรินรู้สึกเหมือนตัวเองโดดเดี่ยว ไม่เหลือใคร” วรินญาบอกเสียงเศร้า หยาดน้ำใสๆ เริ่มรินไหลอาบแก้ม
“อย่าร้องไห้ไปเลยนะ หนูไม่มีใครซะที่ไหนกันล่ะ ก็มียายอยู่นี่ไง มีปัญหาอะไรก็เล่าให้ยายฟังได้ อย่าเก็บไว้คนเดียว” เสียงแหบเนิบนาบเอ่ยบอกด้วยความสงสาร วรินญาพนมมือก้มลงกราบแทบตักของหญิงชราอย่างซาบซึ้ง
“ขอบคุณค่ะ คุณยาย”
“อืม เอาล่ะยายจะไปเอนหลังสักหน่อย เดินนานๆ ปวดแข้งปวดขาไปหมด” หญิงชราพูดขึ้น พลางยกมือลูบศีรษะของหญิงสาวอีกครั้ง
“ให้วรินไปส่งนะคะคุณยาย” วรินญาอาสา
“ไม่เป็นไรหรอกหนูวริน เดี๋ยวยายเดินกลับเอง จะได้ออกกำลังไปด้วย บ้านติดกันแค่นี้เอง”
“ก็ได้ค่ะ แต่คุณยายเดินระวังๆ นะคะ” วรินญาบอกด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นคุณยายเดินเซเล็กน้อยแม้จะมีไม้เท้าค้ำช่วยพยุง ส่วนเจ้าโอเล่ย์หันมากระดิกหางใส่เธอแล้วรีบแจ้นตามคุณยายไป
“หนูก็รีบๆ เข้าบ้านเถอะ แดดเริ่มแรงแล้วนะ” คุณยายไม่วายหันมาสั่งอีกครั้ง ก่อนเปิดประตูรั้วเข้าบ้านไป
เมื่อมองจนคุณยายพร้อมเจ้าโอเล่ย์หายเข้าไปในบ้าน วรินญาก็หันกลับมาหยิบถาดไว้ในมือเตรียมหมุนตัวเข้าบ้านพักบ้าง แต่เสียงรถยนต์ที่ดับเครื่องอยู่หน้าบ้านพักของเธอ ทำให้วรินญาต้องหันกลับไปมองด้วยความสงสัย และเธอก็ไม่รู้จักผู้ชายที่เดินลงมาจากรถเป็นแน่
สองมือน้อยกำถาดแน่นด้วยความหวาดหวั่น แววตาคู่สวยเริ่มสั่นระริก และเธอจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่ได้พบคนแปลกหน้า วรินญาหันรีหันขวางอย่างหวาดระแวง แล้วรีบถอยหลังทันที เมื่อชายแปลกหน้าร่างท้วมแต่งกายด้วยชุดสูทสีเทาย่างเท้าเข้ามาในบ้านพักของเธอ
“เดี๋ยวก่อนหนู” ทนายพร้อมพงศ์เรียกไว้ได้ทัน เมื่อหญิงสาวเตรียมจะเปิดประตูเข้าบ้าน
“นะ...หนู ไม่รู้จักคุณ” วรินญาเอ่ยบอกเสียงสั่น
“ลุงมาดีนะ หนูวริน” ทนายพร้อมพงศ์บอกเสียงนุ่มเพื่อไม่ให้หญิงสาวหวาดกลัว
“หนูไม่เชื่อ ออกไปจากบ้านหนูเดี๋ยวนี้ หนูไม่เคยเห็นหน้าคุณ” วรินญายังบอกเสียงสั่นๆ เช่นเดิม พร้อมทั้งออกปากไล่
“เอาล่ะๆ ลุงจะบอกให้ก็ได้ว่าลุงเป็นใคร หนูยังจำคุณหญิงกัญญาได้ไหม คุณหญิงกัญญาให้ลุงซึ่งเป็นทนายประจำตระกูลอัครไพบูลย์ออกตามหาหนูวริน หลังจากคุณหญิงกัญญาได้รับจดหมายจากคุณอำนาจ พ่อของหนู แล้วที่ลุงมาที่นี่ก็เพื่อพาหนูไปพบกับคุณหญิง” เมื่อทนายพร้อมพงศ์พูดจบ เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของวรินญาก็ดังขึ้นเมื่อเธอได้ยินเพียงแค่นามสกุลของผู้ชายที่ทำให้เธอต้องทนทุกข์มานานถึงห้าปี ร่างเล็กทรุดฮวบลงหน้าประตูทันที ทนายพร้อมพงศ์รีบตรงเข้าไปประคองหญิงสาวไว้ พร้อมทั้งตะโกนให้คนขับรถออกมาช่วยประคองหญิงสาวไปส่งโรงพยาบาล แล้วรีบโทรรายงานคุณหญิงกัญญา