ตอนที่ 12
พัทธดนย์และกมลฉัตรเดินทางมาถึงบ้านสวนในเวลาเกือบสามทุ่ม บรรยากาศภายในบ้านสวนนั้นเงียบสนิทเนื่องด้วยป้าและลุงข้างบ้านไม่คิดว่าหญิงสาวจะกลับมาในวันนี้ ก็เลยไม่ได้มาเปิดบ้านไว้รอ ทำให้กมลฉัตรต้องไปเรียกลุงกับป้าอยู่พักใหญ่ด้วยความเกรงใจ
สองเท้าเล็กก้าวเข้าบ้านหลังน้อยพร้อมภาพวันเก่าๆ ในวันที่พ่อและแม่ของเธอยังอยู่วนเวียนเข้ามา ดวงตากลมซึ่งดูสดใสเมื่อครู่เริ่มรื้นขึ้นด้วยหยาดน้ำตา ก่อนยกมือน้อยปัดป่ายอย่างลวกๆ เมื่อเธอไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว
พัทธดนย์ลอบสังเกตหญิงสาวนานแล้ว แม้จะรู้จากประวัติการสมัครงานของเธอมาแล้วว่าพ่อและแม่เสียชีวิต แต่เขาก็ไม่เคยเห็นหญิงสาวที่ดูเข้มแข็งและยังชอบวุ่นวายกับเขาได้ทุกวี่ทุกวัน ทำหน้าเศร้าสร้อยแบบนี้เลย
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ปะ...เปล่าค่ะ เชิญคุณนั่งที่นี่ก่อนนะคะ เดี๋ยวฉัตรจะไปเอาน้ำมาให้” เธอบอกเสียงแผ่ว เชื้อเชิญชายหนุ่มให้นั่งลงที่เก้าอี้ไม้เก่าๆ ติดกับหน้าต่างพร้อมลมเย็นๆ พัดเข้ามา
พัทธดนย์พยักหน้ารับ แต่ไม่ได้นั่งลงตามที่หญิงสาวบอกเมื่อเขานึกอยากเดินสำรวจบ้านสวนหลังน้อยขึ้นมา
ร่างสูงเดินวนรอบๆ บ้านแล้วมาหยุดนิ่งที่ท่าน้ำ ที่มีเก้าอี้ตัวยาวพร้อมสายลมพัดเอื่อยๆ แสงไฟสลัวๆ ทำให้พัทธดนย์นึกอยากเอนกายพักสักนิด ก่อนทิ้งตัวลงนอนโดยให้ศีรษะพาดลงที่พนักวางแขน ก่อนหลับตาลงพร้อมกับเสียงหายใจเข้าออกเริ่มสม่ำเสมอขึ้นเรื่อยๆ
“คุณดนย์” กมลฉัตรที่อยู่ในบ้านร้องเรียกชายหนุ่มทันทีเมื่อออกมาแล้วไม่พบเจ้านายหนุ่ม
“คนบ้า นึกจะกลับก็กลับ ไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ ไอ้ผู้ชายใจร้าย” ได้ทีต่อว่าชายหนุ่มและแอบน้อยใจเขาขึ้นมา ก่อนพาตัวเองมาหยุดที่หน้าต่างแล้วมองออกทางหลังบ้าน สายตาคู่สวยเพ่งพิศมองเงาดำๆ ที่นอนอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว แต่ขนาดของมันคงไม่พอดีกับคนที่ล้มตัวลงไปนอน ทำให้ท่อนขาแข็งแรงยื่นเลยออกมา เรียวปากสวยเผลอยิ้มขำๆ กับภาพที่เห็น ก่อนก้าวเท้าเดินออกไปดูให้แน่ใจ
“คุณดนย์ นี่ยังไม่กลับเหรอเนี่ย ฉัตรขอโทษนะคะที่เผลอด่าคุณ” กมลฉัตรก้มลงไปกระซิบบอก เป็นจังหวะเดียวกับที่คนหลับลืมตาขึ้น
“ด่าอะไรผม กมลฉัตร” เขาถามเสียงห้วน
“ปะ...เปล่านะคะ” เธอรีบปฏิเสธ
“แต่ผมได้ยินที่คุณพูดเมื่อกี้” เขาว่าพลางจ้องหน้าหญิงสาว โดยที่ยังนอนในท่าเดิม
“ก็บอกว่าเปล่าไง ว่าแต่ทำไมคุณดนย์ถึงมานอนอยู่ที่นี่ล่ะคะ” กมลฉัตรรีบเฉไฉไปเรื่องอื่นทันที
“ไม่ต้องมาแกล้งถามหรอก อย่าให้รู้นะว่าคุณแอบด่าอะไรผม ไม่งั้นคุณโดนแน่” เสียงทุ้มขู่
“ฉันเปล่าจริงๆ นะคะ” เธอยืนกราน
“ไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ผมรู้สึกหิวแล้ว คุณช่วยทำอะไรให้ผมทานได้ไหม” พัทธดนย์พูดขึ้นเมื่อเสียงท้องร้องประชดเจ้าตัว
“ได้ค่ะ แต่ที่บ้านฉัตรมีแต่บะหมี่นะคะ”
“อะไรก็ได้ ผมทานได้ทั้งนั้นแหละ”
“งั้นคุณดนย์รอสักครู่นะคะ” กมลฉัตรรีบกุลีกุจอไปจัดการทันที
เพียงไม่นานบะหมี่ชามโตก็วางอยู่ตรงหน้าพร้อมกลิ่นหอมกรุ่น สองหนุ่มสาวต่างพากันกินบะหมี่ท่ามกลางแสงจันทร์ ซึ่งก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบในความคิดของพัทธดนย์ แถมบะหมี่แสนธรรมดากลับอร่อยกว่าทุกครั้ง
รถลีมูซีนคันงามแล่นวนอยู่รอบๆ เมืองเมื่อไม่รู้จะไปที่ไหนดีหลังจากเขาขับรถไปตามท้องถนนอย่างไร้จุดหมายพร้อมเสียงถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนมาหยุดนิ่งที่สวนสาธารณะ ภูวเดชเลื่อนมือกดปุ่มเปิดหลังคารถเพื่อเอนตัวลงนอนมองดูดาวบนท้องฟ้า ซึ่งมองไม่ค่อยเห็นมากนักเพราะแสงไฟจากตึกสูงๆ ทำให้ความงดงามของดวงดาวลดน้อยลง มือหนาสอดใต้ศีรษะพร้อมทั้งหลับตาลงช้าๆ ครุ่นคิดเรื่องที่มารดาบังคับให้แต่งงานกับหญิงสาวที่เขาไม่เคยรู้แม้แต่ชื่อ
ความนึกคิดที่วิตกกังวลของภูวเดชสะดุดลงเมื่อเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ราคาแพงร้องไม่หยุด คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย
“ว่าไงครับเอมี่”
“เอ๋...ทำไมวันนี้เสียงคุณภูมิฟังดูเหนื่อยๆ ล่ะคะ” เอมี่เอ่ยถามเสียงหวานพร้อมทั้งบรรจงแต่งหน้าให้สวยสะดุดตา เมื่อในวันนี้เธออยากออกไปสังสรรค์กับเพื่อนเก่าสมัยยังทำงานที่ไนต์คลับ เพราะตั้งแต่เธอมีภูวเดช เขาก็ให้เงินเธอทีละมากๆ ทำให้สาวสวยไม่ต้องเข้าไปทำงานที่ไนต์คลับอีก แต่เอมี่ยังอดเสียดายไม่ได้ เพราะโอกาสที่จะได้พบเจอผู้คนมากมายในยามค่ำคืนนั้นคือสิ่งที่เธอชอบ และอยากแสดงความสามารถในการเต้นให้นักท่องราตรีได้ดูและชื่นชม แต่เมื่อมีคนให้เงินเธอใช้ แถมยังไม่ต้องทำงานอะไร เธอก็ขอเลือกไว้ก่อน อนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงเธอก็ไม่สนอยู่แล้ว
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ” เขาบอกเสียงทุ้ม ด้วยนึกอยากระบายความทุกข์ในใจด้วยการกอดรัดร่างเซ็กซี่ซะตอนนี้
“งั้นหรือคะ ถ้างั้นคุณภูมิพาเอมี่ไปเที่ยวไนต์คลับได้ไหมคะ แล้วเอมี่จะทำให้คุณภูมิหายเครียดเองค่ะ”
“ได้ครับ” ภูวเดชรีบตอบตกลงทันที นับแต่นี้เขาจะใช้ชีวิตให้มันคุ้มค่าเสียหน่อย เพราะอีกเดี๋ยวก็ต้องแต่งงาน แต่กระนั้นชีวิตหนุ่มโสดเช่นภูวเดชก็ยังต้องสรรหาความสุขจากร่างกายของหญิงสาวได้ตามใจชอบ เพราะเขาไม่ต้องการหยุดอยู่ที่ใคร ริมฝีปากหนายกยิ้มตรงมุมปากน้อยๆ แล้วขับรถลีมูซีนคันงามไปหาคู่ขาทันที