“พี่รุจ เมื่อกี้ทำน่าเกลียดไปหรือเปล่า” หม่อมหลวงชัชวิน จุลเดช เอ่ยถามหม่อมหลวงนพรุจผู้เป็นพี่ชายเสียงเครียด พลางยกถ้วยชาที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นดื่ม
“น่าเกลียด?” ผู้ถูกกล่าวหาเลิกคิ้วขึ้นสูง แล้วย้อนถามน้องชายที่มีอายุห่างกันเพียงหนึ่งปีด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “น่าเกลียดตรงไหนกัน”
คนเป็นน้องชายส่ายหน้าอย่างระอา ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจที่เขาพูดแต่ทำเป็นเฉไฉ
“ก็ที่พี่รุจทำท่าทางสนใจคุณเอื้อยจนออกนอกหน้านั่นไง ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าหม่อมอาจองไว้ให้พี่ณุแล้ว”
ดวงหน้าคมคายของคนถูกต่อว่าฉายแววกรุ่นโกรธขึ้นมาทันที
“ก็แค่จองเท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่มีการหมั้นหมาย คนอย่างฉันก็ย่อมมีสิทธิ์ จริงไหมวะวุธ”
คนถูกดึงเข้ามาในวงสนทนาอย่างอาวุธเผยรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะพยักพเยิด
“นั่นสิไอ้หม่อม ฉันเห็นด้วยกับคำพูดแก ตราบใดที่ยังไม่ได้แต่งงาน คนอื่นก็ย่อมมีสิทธิ์ และถึงแม้จะหมั้นหมายไปแล้ว ก็ยังมีวันถอนหมั้นได้นี่หว่า”
สีหน้าของหม่อมหลวงนพรุจดีขึ้นเพราะคำพูดของเพื่อน แต่คนพูดเตือนอย่างหม่อมหลวงชัชวินกลับลอบถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพี่ชายนั้นพยายามจะแข่งขันกับหม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกผู้น้องแต่อายุเท่ากันมาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรืออะไรก็ตาม แต่ก็ไม่เคยชนะเลยสักครั้ง และมักจะตามหลังอีกฝ่ายอยู่เสมอ ทว่าไม่เคยเข็ด
แม้แต่การเลือกสอบเข้าเรียนโรงเรียนนายเรือ ทั้งที่ตัวเองไม่ได้นึกอยากเรียนแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะต้องการแข่งกับอีกฝ่ายจึงจำใจต้องเรียน กีฬารักบี้ที่เขาเคยได้ยินพี่ชายพูดว่าเป็นกีฬาของคนบ้าพลัง ทว่าตอนนี้เจ้าตัวก็เล่นด้วยเหตุผลเพราะหม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์เล่น
ชัชวินไม่เข้าใจเลยว่าคนเป็นพี่ชายจะแข่งขันกับอีกฝ่ายไปเพื่ออะไร ยิ่งมีอาวุธคอยยุอีกก็ยิ่งไปกันใหญ่ เขาไม่ชอบเพื่อนคนนี้ของพี่ชายนัก เพราะแทนที่จะพูดตักเตือนในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง กลับเออออห่อหมกเห็นดีเห็นงามไปด้วยเสียนี่
“ไอ้หม่อม นั่นคุณเอื้อยของแกเดินมาโน่นแล้ว” อาวุธเอียงหน้ามากระซิบบอกเพื่อน
หม่อมหลวงนพรุจ จุลเดช มองตามสายตาของเพื่อน ก็เห็นร่างระหงของหญิงสาวสวยที่ตนพึงใจเดินตรงมา แล้วพลันสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นไม่สบอารมณ์ เพราะผู้ที่ตามหลังโสคนธิกามาติดๆ ก็คือหม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์ ซึ่งเป็นลูกผู้น้อง แถมยังมีอะไรเหนือกว่าเขาทุกอย่าง แม้จะพยายามวิ่งตามเท่าไรก็ไม่เคยทันเลยสักครั้ง แม้กระทั่งคำนำหน้าชื่อของเขาก็ยังด้อยกว่าอีกฝ่าย
ตกลงเขาจะต้องแพ้อีกฝ่ายทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องของหัวใจใช่ไหม!
“คุณรุจ คุณวิน คุณวุธ เอื้อยพาพี่ชายณุกับคุณฉัตรมาขอนั่งด้วยนะคะ”
โสคนธิกาเอ่ยขึ้นแล้วทรุดกายลงนั่งเคียงข้าง ซึ่งหม่อมหลวงนพรุจก็ส่งยิ้มให้ ทั้งที่ในใจนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“เชิญตามสบายครับ คุณเอื้อยลืมไปหรือเปล่าว่าคุณชายณุเป็นเจ้าของบ้าน จะนั่งตรงไหนก็ย่อมได้อยู่แล้ว” ก่อนจะหันไปทางผู้ที่ตนพูดประชด “แล้วแกสองคนออกไปไหนกันมาเหรอ”
เจ้าของร่างสูงสง่าทรุดตัวลงนั่งข้างหม่อมหลวงชัชวิน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับคนถาม ก่อนจะตอบด้วยใบหน้ายิ้มๆ ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดติดประชดของอีกฝ่ายแต่อย่างใด
“ไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกมา”
คนถามทำปากเบ้ เอี้ยวตัวหยิบกาน้ำชามารินลงในถ้วย แล้วยื่นให้โสคนธิกาอย่างเอาใจ
“สูดอากาศบริสุทธิ์อะไรของแก เห็นมีแต่ท้องทุ่งนากับวัวควาย ฉันว่าอากาศไม่บริสุทธิ์เสียมากกว่า”
“นั่นสิคะ ไม่รู้ว่าพี่ชายณุกับคุณฉัตรออกไปทำไมกัน ไม่เห็นมีอะไรน่าดูสักนิด มีแต่ท้องทุ่งนากับฝูงวัวควายอย่างที่คุณรุจว่าแหละค่ะ”
หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวพูดกระเง้ากระงอด จงใจเอนกายไปทางนพรุจจนดวงหน้าแทบจะซบอยู่บนไหล่ของเขาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง แล้วลอบสังเกตปฏิกิริยาของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ด้วยเธออยากเห็นกิริยาหึงหวงของอีกฝ่าย
“ท้องทุ่งนากับฝูงวัวควายที่รุจกับเอื้อยว่านั่นแหละคืออากาศบริสุทธิ์”
หม่อมราชวงศ์หนุ่มบอกญาติผู้พี่ยิ้มๆ รินชาหอมกรุ่นจากกาลงในถ้วยสำหรับเขากับฉัตรพงษ์ แล้วยกขึ้นดื่มอย่างสบายใจ จากนั้นก็ก้มลงกินของว่างในจานที่เพื่อนเดินไปตักมา โดยไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่โสคนธิกากระทำเลยแม้แต่น้อย
“ผมเห็นด้วยกับพี่ณุนะครับ เพราะผมเคยตามคุณพ่อคุณแม่มาเที่ยวตอนครอบครัวพี่ณุย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ยังติดใจไม่หายเลยครับ อากาศที่นี่บริสุทธิ์จริงๆ ถ้าไม่ติดว่าวันหยุดต้องซ้อมกีฬาที่โรงเรียน ผมคงต้องมาเที่ยวที่นี่บ่อยๆ แล้วครับ”
ชัชวินพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของพี่ชายที่เขาสนิทสนมมาตั้งแต่เด็ก พลางชำเลืองมองการกระทำของโสคนธิกาอย่างไม่เข้าใจนัก แต่เมื่อเห็นหม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์ไม่ได้สนใจ ก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“พี่ว่าวินยังโชคดีกว่าเจ้าณุนะที่ได้เห็นบ้านหลังใหม่ก่อนเจ้าตัวซะอีก” ฉัตรพงษ์ที่ค่อนข้างสนิทกับอีกฝ่ายเงยหน้าจากถ้วยชาที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่น แล้วพูดยิ้มๆ
“อ้าว หมายความว่าพี่ณุเองก็เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกหรือครับ” ชัชวินเอ่ยถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแปลกใจ
“ใช่แล้ววิน เพราะที่ผ่านมาติดซ้อมรักบี้ที่โรงเรียนทุกอาทิตย์เลย” นักรักบี้ตัวเก่งของโรงเรียนนายเรือบอกยิ้มๆ แล้วจึงหันไปทางนพรุจซึ่งนั่งทำหน้าตูมอยู่ “ได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้แกลงเล่นรักบี้ด้วยหรือรุจ”
คนถามถามแบบไม่ได้คิดอะไร แค่คิดสงสัยเพราะจำได้ว่าเคยได้ยินอีกฝ่ายพูดว่ากีฬารักบี้เป็นกีฬาที่ใช้กำลังในการเล่น ไม่ค่อยใช้สมอง แต่คนถูกถามนั้นกลับนิ่งอึ้งเพราะไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาชี้แจง เขาเล่นกีฬาชนิดนี้ก็เพราะคนถามล้วนๆ