งานแต่งคลุมถุงชน

1029 Words
เสียงมโหรีบรรเลงท่วงทำนองตับวิวาห์พระสมุทรและต่อด้วยแขกมอญบางขุนพรหม ทำให้คนที่นั่งนิ่งอยู่ในห้องถึงกับเกร็งไปถึงแนวสันหลัง เพราะทั้งเสียงผู้คนจากด้านนอกและเสียงดนตรีขับกล่อมดังไปทั่วทั้งเรือน ยืนยันได้ว่างานมงคลในวันนี้จะดำเนินต่อไปจนถึงช่วงเวลาที่สำคัญ บุษบามองผ่านบานหน้าที่กรุผ้าม่านเป็นลูกไม้สีชมพูเอาไว้ ใจจริงหล่อนอยากจะเดินออกไปดูว่าเสียงขันหมากที่โห่มานั้นมีใครมาบ้าง ทว่าอาการหน่วงเหนี่ยวในอกกับร่างกายที่สั่นอย่างรู้สาเหตุ ก็ทำให้หล่อนไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้นจากตั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งนี้ เสียงผู้ใหญ่ในบ้านเชื้อเชิญขบวนขันหมากดังมาก็ยิ่งทำให้บุษบาสั่นมากขึ้น ในยามนี้หล่อนอยากให้ใครสักคนเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วโอบกอดให้กำลังใจ หรือจริงๆ แล้ว หล่อนอยากลั่นดานปิดประตูไม่ให้ใครเข้ามาได้ แต่จะทำอย่างนั้นได้อย่างไง ในเมื่อวันนี้คืองานแต่งงานของหล่อนกับผู้ชายที่หล่อนไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำ แต่ด้วยหน้าที่หล่อนจึงจำยอมอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้หล่อนจะถูกส่งไปเรียนกับกลุ่มสตรีต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในสยาม ได้เรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงที่กุลสตรีสยามมีความกล้ามากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออกและกล้าที่จะบอกความต้องการของตัวเองออกไป ดังนั้นกลุ่มสตรียุคใหม่จึงไม่นิยมการคลุมถุงชน เพราะล้วนคิดว่ามีปัญญาไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ สตรียุคใหม่สามารถเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยได้ ดังเช่นแต่โบราณมาก็จะพบว่าสตรีนั้นอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบุรุษทุกๆ สมัย ทว่าในยุคนี้สตรีมิได้จำเป็นต้องอยู่เบื้องหลังบุรุษอีกแล้ว แต่หล่อนกลับได้เรียนรู้ด้วยตนเองแล้วว่า แนวคิดนั้นใช้ไม่ได้กับครอบครัวส่วนใหญ่ อย่างเช่นหล่อนในเวลานี้ที่สุดท้ายก็ต้องยอมแต่งงานกับคนที่ไม่รู้จักเพียงเพื่อความสบายใจของพ่อและเพื่อบอกตนเองว่าหล่อนกำลังทำหน้าที่ของลูกที่ดี บุษบาปล่อยความคิดให้ดำดิ่งไปเมื่อเดือนก่อน ครั้งที่คุณพ่อและคุณย่าน้อยเรียกหล่อนเข้าพบ คำพูดของคุณพ่อแทบทำให้หัวใจหล่อนหยุดเต้น เมื่อท่านถามความสมัครใจว่าหล่อนยินดีที่จะแต่งงานกับพระวิจิตรดุริยางค์หรือไม่ ในยามนั้นหล่อนอยากปฏิเสธเพราะเรื่องแต่งงานไม่เคยอยู่ในความคิด ทว่าเหตุและผลของคุณย่าน้อยกลับทำให้หล่อนต้องชั่งใจและเก็บมาคิดให้ถ้วนถี่ เพราะหล่อนต้องไม่ลืมว่าหน้าที่ของลูกนั้นสำคัญกว่าหัวใจ ยามนั้นหล่อนเข้าใจหัวอกของแม่อุไรแล้ว ในยามที่ต้องเลือกหน้าที่มากกว่าหัวใจนั้นรู้สึกเช่นไร เมื่อหล่อนก็ต้องทำหน้าที่ของลูกเช่นกัน ‘คุณพ่อกับคุณย่าต้องการให้ลูกออกเรือนหรือคะ’ ‘พ่อไม่ได้ต้องการดอกแม่บุษ แต่พ่อมองว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสม และลูกก็อายุพอควรสำหรับการออกเรือนแล้ว หากนานกว่านี้ก็ไม่แคล้วจะเป็นเหมือนพี่ของลูก แม่บุษดูสิ ปีนี้แม่พิกุลก็อายุสามสิบห้า ส่วนแม่ประยงค์ก็สามสิบสาม อยู่เป็นสาวเทื้อคาเรือนกันทั้งคู่ และหากมีลูกเพิ่มขึ้นมาอีกคน เรือนพระนาฏกรรมฯ จากที่เคยมีลูกสาวสามใบเถา คงกลายเป็นสาวเทื้อสามใบเถาเป็นแน่’ ‘แค่คุณพ่อกลัวว่าลูกจะเป็นสาวเทื้อหรือคะ จึงอยากให้ลูกออกเรือนไปเสียให้ได้ ทั้งที่ลูกก็ไม่ได้รู้จักคุณพระวิจิตรฯ เลยสักนิด’ ยามนั้นหล่อนอยากจะร้องไห้ น้อยอกน้อยใจว่าคุณพ่อเกรงคำครหาของคนอื่นมากกว่าจะเห็นแก่ความสุขของหล่อน ทว่าเหตุผลของคุณพ่อกลับทำให้หล่อนต้องฟัง ‘นั่นคือเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องที่สำคัญก็คือหากสิ้นพ่อสิ้นคุณย่าน้อย แล้วเหลือเพียงลูกทั้งสามคน ยามนั้นบ้านเมืองจะเปลี่ยนไปอีกเท่าไรก็ไม่มีใครล่วงรู้ได้ ถ้าลูกทั้งสามคนไม่มีหลักยึดไม่มีผู้คุ้มครอง พ่อก็คงจะนอนตายตาไม่หลับเป็นแน่’ ‘แต่บ้านเมืองมีขื่อมีแปนะคะคุณพ่อ คุณพนักงานตำรวจก็มี แม้ลูก คุณพี่พิกุลและคุณพี่ประยงค์จะไม่ได้ออกเรือน แต่ลูกก็ดูแลกันได้นะคะ คุณพ่อสอนลูกให้พึ่งพาตัวเองเสมอมาอย่าได้คิดพึ่งพาผู้ชาย แล้วเหตุใดวันนี้คุณพ่อถึงได้เห็นว่าลูกควรจะออกเรือนเพื่อให้มีผู้ชายมาคุ้มครองเล่าคะ” ‘นั่นมันก่อนที่บ้านเมืองจะเป็นเยี่ยงนี้นะแม่บุษ ยามนั้นเพราะต้องการให้ลูกเรียนรู้ทุกสิ่งอย่างที่เข้ามาในสยาม ให้ลูกรู้ภาษา รู้วิถีการใช้ชีวิตของพวกฝรั่งที่เข้ามา ให้ลูกไม่กลัวที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า พ่อจึงต้องสอนให้ลูกเก่งกล้า แต่ในยามนี้ เมื่อพ่อแก่ตัวลงก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่งที่รอเวลาผุพัง พ่อกลับไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คิดทั้งหมดนั้นคือดีแล้ว ตั้งแต่มีสงครามพ่อแทบจะนอนหลับไม่เต็มตื่นเลยสักคืน พ่อกลัวไปหมด กลัวว่าหากพ่อไม่อยู่ แล้วลูกของพ่อโดนรังแก แม้ว่าแม่พิกุลจะเก่งกล้ารู้จักคนใหญ่คนโตมากมาย ทว่านั่นก็เป็นแค่การพึ่งพาอาศัยไม่ใช่คนในครอบครัว ยิ่งแม่ประยงค์พ่อยิ่งห่วงหนัก อย่างที่ลูกเห็นแม่ประยงค์นั้นอยู่แต่ในเรือนไม่เคยก้าวทันสิ่งที่สยามเปลี่ยนแปลง เรื่องใดก็ตามแม่ประยงค์ได้รู้ล่ากว่าคนอื่นเสมอ และตัวลูกเอง... แม่บุษ พ่อและคุณย่าน้อยปั้นลูกโดยหัวใจ ใคร่อยากเห็นแม่บุษบาของพ่องดงามเป็นแม่ศรีแม่เรือนกับชายที่คู่ควร ไม่ใช่ว่าพ่อจะเห็นชายสำคัญกว่าหญิงดอกนะ เพียงแต่เรือนหากขาดผู้ชาย คนไม่ดีทั้งหลายก็จะเอาเปรียบเสียได้ แม่บุษบาเข้าใจที่พ่อพูดไหมลูก’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD