บทที่4.โอ้ย!! เหม็นหน้า
ไอ้หมอนั่นไม่สะดุ้งสะเทือนสักนิด ทับทิมมั่นใจว่าอีกฝ่ายรู้ตัวว่าเธอจงใจว่ากระทบ สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยน มีแต่แววตานั่นล่ะที่ทับทิมเห็น เขาอมยิ้มน้อยๆ เหมือนกำลังขำเธอ
หญิงสาวเดินจากมาพร้อมกับความรู้สึกโกรธที่เพิ่มขึ้น
ถึงจะหล่อจัดจนหัวใจสะดุด แต่หากนิสัยแย่แบบนี้ เธอขอผ่าน
“หน้าหงิกเป็นตูดเลย ใครขัดใจมาอีกล่ะ” ตอนที่ทิ้งตัวนั่งในครัว มารดาทักเสียงแหลม ท่านมองใบหน้าบึ้งๆ ของบุตรสาวพร้อมกับโครงศีรษะ
“ทิมไม่ใช่เด็กแล้วนะแม่ แค่ถูกขัดใจไม่ทำให้ทิมโมโหหรอก”
“เจ็บตัวไหมล่ะ จ้อยบอกว่ารถล้มนี่” ปรางเปลี่ยนเรื่องพูด
“ถามจ้อยเถอะแม่ แล้วจ้อยไปไหนล่ะนี่?”
“จ้อยมันไม่เจ็บหรอก มันกลัวทิมเจ็บนั่นล่ะ แม่ให้เอาปลาไปปิ้ง ปลาตัวใหญ่สุดนั่นแหละ คุณเหนือจะได้กินให้อร่อย”
ทับทิบแอบเบ้ปาก มารดาก็เป็นไปด้วย บุพการีของเธอดูจะปลื้มผู้ชายคนนั้นเหลือเกิน
“แม่รู้จักหมอนั่นนานแล้วเหรอ?” ทับทิมพลั้งปากถาม
เพี้ยะ!!
แม่ฟาดแขนเธอแรงๆ จนสะดุ้ง “ไปเรียกคุณเหนือแบบนั้นได้ยังไง เขาแก่กว่าพ่อทิมอีกนะ” เสียงดุตามมาติดๆ
ทับทิมทำท่าไม่อยากเชื่อ ปรางเลยพูดสำทับ
“คิดว่าแม่โกหกหรือ คุณเหนือแก่กว่าพ่อทิม3ปี”
หญิงสาวยกนิ้วขึ้นมานับ “แม่จำคนผิดหรือเปล่าค่ะ หมอนั่น” พูดยังไม่ทันจบ มารดาก็สะบัดมือตีเธออีกครั้ง พร้อมส่งสายตาปราม “เจ็บนะแม่ จะให้ทิมเชื่อได้ไง เขาหน้าอ่อนกว่าพ่ออีก ไม่ว่าจะมองมุมไหนทิมว่าเขาไม่น่าอายุเกิน35” หญิงสาวแย้ง ยกมือขึ้นลูบแขนตนเองป้อยๆ
“เชื่อเถอะ แม่ไม่มีทางตาฝาดหรอก คุณเหนือปีนี้อายุ53ปี”
ทับทิมอ้าปากเหวอ...ผู้ชายคนนั้นอายุ53ปีเหรอ เธอไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
“เขาไม่ได้ทำงานหนักเหมือนพ่อเรานี่ คุณเหนือเขาดูแลสุขภาพจะตาย สมัยก่อนสาวๆ รุมกรี๊ดยังไง ตอนนี้แม่ว่ายิ่งมีคนกรี๊ดคุณเหนือเขาเพิ่มกว่าเดิมแน่ เหมือนสต๊าฟโครงหน้าไว้เท่ากับตอนหนุ่มๆ เลย”
ปรางชมด้วยความจริงใจ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน เค้าความหล่อของอดีตเจ้านายสามีก็ยังเหมือนเดิม
“หมอนั่นเป็นแวมไพร์หรือไงกันนะ!!” ทับทิมพึมพำบ่น เธอรีบขยับตัวหนีฝ่ามือมารดา เพราะท่านทำท่าเหมือนจะฟาดลงมาอีกครั้ง ตอนที่เธอแขวะผู้ชายคนนั้นอีก
“ทิมไปช่วยจ้อยย่างปลาดีกว่า”
หญิงสาวรีบเผ่น ขืนอยู่ต่อคงโดนมือแม่อีกหลายครั้ง จะให้เธอเชื่อลงได้ยังไง ผู้ชายที่ดูเฟิร์มไปทั้งตัวแบบนั้น อายุ53ปี หากกลับตัวเลขเป็น35 ยังน่าเชื่อกว่า
กลิ่นปลาย่างโชยเข้าจมูก ทับทิมสาวเท้าให้เร็วขึ้น เธอเดินตามกลิ่นหอมๆ นั่นไป
จ้อยกำลังขะมักเขม้นกับการปิ้งปลา
“หูย...ปิ้งหมดนั่นเลยเหรอจ้อย” หญิงสาวฉวยเก้าอี้ไม้มารองใต้ก้น มองปลาย่างบนเตาถ่านตาเป็นประกาย
“ใช่พี่ทิม แม่บอกว่าคุณคนนั้นชอบ”
ทับทิมกระแทกลมหายใจแรงๆ ปลากระมังใหญ่ คนคนเดียวจะกินไงหมด
“ชิ!!”
ความคิดสนุกๆ ผุดวาบ เธอฉวยปลาที่กำลังวางอยู่บนตะแกงมาถือไว้
“ตัวนี้พี่จอง”
เธอเป็นลูกยังไม่เคยถูกเอาใจขนาดนี้เลย ผู้ชายคนนั้นแค่อดีตเจ้านาย ทำไมบิดา มารดารุมเอาใจเสียเหลือเกิน
จ้อยยิ้มแหยๆ “แม่บอกว่าตัวนี้ให้คุณคนนั้นนะพี่ทิม”
“ไม่รู้ล่ะพี่จะกินตัวนี้” เธอจกเนื้อปลาข้างที่สุกแล้วยัดใส่ปาก”
“พูว์! ร้อนจัง แต่อร่อย” จ้อยอ้าปากค้าง มองเลิ่กลั่กไปบนบ้าน “ไม่ต้องกลัวหรอก เดี๋ยวพี่แก้ตัวกับแม่เอง” หญิงสาวจกเนื้อปลายัดใส่ปากอีกครั้ง
จ้อยเริ่มนั่งไม่ติด เด็กชายกลัวถูกปรางดุนั่นเอง
ทับทิมมีความสุขกับการขวางไม่ให้ชายผู้นั้นได้กินปลาเนื้อหวาน เท่าที่เธอเห็น ในกะมังไม่มีปลาตัวไหนใหญ่เท่าตัวที่เธอถือ เธอฉีกเนื้อปลากินอย่างแสนสุข จนกระทั่งปลาตัวใหญ่หายวับไปกับตา
“เอิ้ก!!” หญิงสาวเลอออกมาดังๆ ยกมือลูบท้องพร้อมกับยิ้มหวาน “อร่อย” จ้อยสีหน้าสลดลงเรื่อยๆ
“ไม่ต้องกลัวหรอก อย่างมากแม่ก็ด่า เดี๋ยวพี่รับหน้าเอง” ทับทิมยกมือตบอกเธอรู้ว่าเด็กเจียมตัวอย่างจ้อยกลัวอะไร เธอจะไม่พาดพิงถึง หากมารดาจะดุ เธอจะออกรับเอง
จ้อยก้มหน้าปิ้งปลาต่อ ทุกครั้งที่ทับทิมขยับตัวเด็กชายแทบจะคว้ากะมังที่ใส่ปลาปิ้งหนี เธอกลัวพี่สาวจะสวาปามปลาที่สุกแล้วจนหมด
ทับทิมแอบขำ ปลาตัวเดียวอิ่มจนจุก เธอไม่สามารถยัดปลาส่วนที่เหลือได้หรอก
“จ้อยๆ” เสียงแม่เรียก จ้อยยกตะแกงปิ้งปลาลงจากเตา ปลาชุดสุดท้ายสุกพอดี
“ครับแม่”
“เสร็จยัง เอาขึ้นมาให้แม่สักตัวสิ แม่จะเอาปลาย่างทำน้ำพริก” เสียงปรางตะโกนบอก
“พี่เอาขึ้นไปให้แม่เอง จ้อยดับไฟเถอะ”
จ้อยละล้าละลัง เด็กชายไม่มั่นใจ กลัวปลาทั้งหมดไปไม่ถึงมือปรางนั่นเอง
“เอามาน่า!!” ทับทิมยื่นมือออกไปรับ
จ้อยยอมวางกะมังปลาในมือพี่สาว สายตาละห้อยมองตามทับทิม จนพี่สาวเดินขึ้นบันไดนั่นแหละ เด็กชายถึงได้ยอมดับไฟ
“ไอ้ทิม!!” เสียงแม่แหวดังๆ จ้อยย่นคอหด เตรียมจะเผ่นลงไปด้านล่างต่อ
“อะไรแม่ ทิมหิว ทิมเลยกินปลารองท้องก่อน แต่มันอร่อยนี่ นานๆ ได้กินที” เสียงแก้ตัวของพี่สาว เด็กชายเลยพอใจชื้นขึ้นมาบ้าง เขาชะเง้อมองขึ้นไปด้านบน พยายามเอาใจช่วยทับทิม
“วันอื่นค่อยกินก็ได้ วันนี้แม่จะเอาไว้ให้คุณเหนือกิน”
“ทิมกินไปแล้วแม่ หรือแม่จะให้ทิมคายออกมาล่ะ” ทับทิมเถียง จ้อยยกมือปิดปาก เขาขำจนไหล่สั่น
“ไอ้ทิม!!”
“เรียกจัง ทิมยืนอยู่ตรงนี้ พูดเบาๆ ก็ได้ค่ะแม่ ไม่กลัวขายขี้หน้าแขกกิตติมาศักดิ์หรือไงคะ”
หญิงสาวประชด ปรางเลยลดเสียงลงแต่ไม่วายดุทับทิมอีก
“ไอ้ลูกคนนี้ รู้ไหม คุณเหนือเขามีบุญคุณกับพ่อขนาดไหน ถ้าไม่มีเขา ทุกวันนี้เราไม่มีทางสบายกันหรอก”
แม้จะไม่เห็นด้วย แต่ทับทิมไม่รู้ เขากับบิดาอาจจะมีบุญคุณกันจริง ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เธอไม่ชอบขี้หน้าแล้วนี่ ต่อให้หล่อเริ่ดยังไง...คนไม่ชอบมันก็ไม่ชอบ
“นั่นมันเรื่องอดีตนะแม่ เขาไม่ได้มาช่วยพ่อดำนาเสียหน่อย”
ทับทิมเถียงข้างๆ คูๆ
ปรางถอนใจแรงๆ “แต่ถ้าไม่มีเขา ไม่ว่าบ้าน นา ที่ทำกินที่พ่อมี เราจะไม่มีสิ่งที่แม่พูดถึงเลยนะ”
เสียงของปรางอ่อนลง มรสุมชีวิตครั้งนั้น เกือบทำให้เธอกับสามีคิดสั้น โชคดีที่เหนือสังเกตเห็น เขายื่นมือเข้าช่วย ทัพเลยรักและเทิดทูนเขา แม้จะไม่ได้ทำงานด้วย เพราะอยากมีชีวิตแบบคนทั่วไป เขาชอบทำการเกษตรมากกว่า การเป็นลูกจ้างบริษัทใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองกรุง
“ขนาดนั้นเชียว”
“ใช่...ลดๆ ลงบ้าง สำนึกบุญคุณคุณเหนือด้วย...คุณเขาใจดีจะตาย”
ทับทิมแอบเบ้ปาก คนใจดีแต่นิสัยแย่แบบนั้น เธอนับถือได้ไม่เต็มใจหรอก