"รอข้างนอกก่อนนะ พี่จะเข้าไปบอกพ่อก่อนว่าเรามา"
"ค่ะ..." เท้าเล็กหยุดชะงักเมื่อเดินมายังหน้าประตูห้องพักฟื้นและทำท่าจะตรงไปต่อ เธอได้แต่เหลือบมองรอบๆ ซึ่งมีผู้ชายร่างใหญ่สองคนในชุดสูทลำลองคอยยืนตีสีหน้าทะมึนไม่รู้ร้อนรู้หนาว คาดเดาไปเองว่าคงเป็นลูกน้องหรือคนใกล้ชิดขององศา ซึ่งเธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
โดยส่วนมากพ่อบุญธรรมเธอจะแยกเรื่องที่บ้านกับที่ทำงานอย่างชัดเจนราวกับต้องการให้อยู่คนละซีกโลก
สักพัก...ร่างใหญ่ในชุดกางเกงยีนเสื้อยืดธรรมดาก็เปิดประตูออกมาและกวักมือเรียกเธอ บัวบงกชไม่รอช้ารีบตามพี่ชายบุญธรรมเข้าไปดูคนป่วยทันที แม้จะทำเป็นไม่แยแส แต่เธอก็ยังจำได้ว่าเพิ่งไม่เจอหน้าเขาเต็มๆ เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น...ทำไมเธอไม่รู้เรื่องอะไรเลย
"คุณเฮิรตซ์..." ภาพแรกที่เห็นทำเอาคนตัวเล็กแข็งทื่อ ขยับปากเรียกขานผู้ที่นอนอยู่บนเตียง ด้วยเสียงแผ่วที่ได้ยินเพียงลำพัง ในช่องอกมันวูบไหวชอบกล
องศาหันมองมายังเธอด้วยแววตาเฉยชาไร้ความรู้สึก ราวกับเอ่ยถามแทนปากว่า 'มาทำไม...'
แต่นั่นไม่ได้บั่นทอนเท่ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยถลอก หลายจุดตามร่างกายที่โผล่พ้นสาบเสื้อผ้าอาภรณ์ก็มีผ้าก็อตสีขาวพันปิดเอาไว้คล้ายจะเป็นแผลฉกรรจ์ พ่อบุญธรรมของเธอถูกทำร้าย...และบาดเจ็บหนักเอาการเลยทีเดียว
"ผมจะเข้าไปดูแลงานแทนพ่อเอง ระหว่างนี้ก็พักให้เต็มที่นะครับ"
"ไม่ใช่หน้าที่ของแกโฮป...ฉันจัดการเองได้"
บัวบงกชหันมองทางฝั่งพ่อทีลูกทีเมื่อรับรู้ถึงรังสีแห่งการปะทะลอยเวิ้งบางเบาอยู่รอบๆ ตัว สองคนนี้มักมีปากเสียงกันเสมอ แต่โชคดีที่ต่างก็พูดน้อยด้วยกันทั้งคู่ทำให้ไม่เคยถึงขั้นรุนแรงมากมาย "ผมยอมไม่ได้..." ราเชนทร์มีสีหน้าเคร่งเครียด ดวงตาฉาบสีเลือดแดงก่ำแสดงให้เห็นถึงความคับแค้นใจเต็มเปี่ยม "ฉันไม่ได้บอกให้แกยอม...แต่แกต้องฟังฉัน แล้วเธอล่ะโมบาย...มาทำไม" คำถามห้วนๆ ทำให้คนตัวเล็กถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกเจ็บฝืดไปโดยอัตโนมัติ
"พี่โฮปบอกว่าคุณอยู่โรงพยาบาล...ก็เลยตามมาด้วยค่ะ เกิดอะไรขึ้นคะ บอกหนูได้ไหม"
"ไม่เป็นไร...อีกสองสามวันก็กลับบ้านได้แล้ว นี่เราจะไปไหน" คำตอบสั้นๆ ไม่ได้ช่วยความกระจ่างอะไรตามติดมาด้วยคำถามที่เธอต้องแถลงแจ้งกลับไปยังเขา
"ไปสมัครงานค่ะ..."
"พาโมบายกลับบ้าน ห้ามออกไปไหนจนกว่าฉันจะกลับ แกก็เหมือนกัน ไปไหนมาไหนก็ระวังตัวด้วย"
"พ่อ!..." ราเชนทร์โต้แย้งกลายๆ แต่ถูกสายตาคมดุห้ามไว้ด้วยความจริงจังที่เคลือบแฝงอยู่ สายเลือดเดียวกันจึงย่อมรู้ว่าสิ่งไหนควรทำ ณ ช่วงเวลาใด
"โอเคผมยอม...แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว"
"..." องศากลอกสายตากลับหันใบหน้าไปทางอื่นไม่สนใจสองหนุ่มสาวอีกเลย ราวกับว่าเขามีตัวตนอยู่ในห้องนี้เพียงลำพัง
"เรากลับกันเถอะโมบาย"
"เดี๋ยวค่ะ! คือ เอ่อ...เราเพิ่งมานะคะ อีกอย่างฉันยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณเฮิรตซ์ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้" อิสตรีเพียงนางเดียวทำท่าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาดื้อๆ เธอเครียดและกังวลใคร่รู้ในสิ่งที่ควรมีส่วนร่วมในฐานะอยู่ในครอบครัวเดียวกัน "ไม่มีอะไรทั้งนั้น...พ่อแค่เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย"
"ถ้าอย่างนั้นหนูขอดูแลคุณที่นี่นะคะ" เธอมองราเชนทร์และเหลือบหันไปขออนุญาตยังผู้มีอำนาจตัดสินใจ
"ไม่ต้อง พยาบาลเยอะแยะลูกน้องฉันก็มี"
"แต่หนู..."
"โมบายอยู่กับพ่อที่นี่จะปลอดภัยกว่า เพราะที่บ้านผมก็คงไม่ได้คอยเฝ้าอยู่ตลอด หรือพ่อว่าไง" ราเชนทร์เอ่ยสมทบอีกแรง ดูเหมือนเหตุผลของเขาจะสร้างความลังเลให้แก่บิดาเล็กน้อย ร่างบนเตียงผู้ป่วยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าเห็นพ้องกับความคิดของลูกชาย
"แล้วโมบายไม่ไปสมัครงานแล้วเหรอ" ราเชนทร์หันมาถามเด็กสาวซึ่งมีสีหน้าชื่นมื่นขึ้น เธอมองเขาและเม้มริมฝีปากเข้าหากัน
"ไว้วันหลังก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะโทร.ไปบอกเพื่อน"
"อืม...ถ้าอย่างนั้นพี่กลับก่อนนะ เย็นๆ จะมารับ" ชายหนุ่มกล่าวแล้วหันไปมองบิดาที่นอนอยู่บนเตียง "ผมไปนะพ่อ...มีธุระนิดหน่อย"
"อย่าทำในสิ่งที่แกกำลังคิด" ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยปากน้ำเสียงทุ้มลึก
"ผมรู้...พ่อจัดการเองได้" ลูกชายหัวแก้วหัวแหวานทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก็จากไป ในห้องพักฟื้นที่กว้างขวางจึงเหลือเพียงผู้มีศักดิ์เป็นพ่อบุญธรรมกับลูกเลี้ยง บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นเหมือนเฉกเช่นทุกครั้งที่ต้องพำนักอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง "ได้หอพักแล้วหรือยัง..." จู่ๆ คนเจ็บก็ถามขึ้นทำลายความเงียบให้สิ้นสุดลง "กำลังหาอยู่ค่ะ อยากได้หอพักผู้หญิงที่มีระบบความปลอดภัยดีสักหน่อย แต่ราคาไม่แพงมาก" "ฉันจะซื้อรถให้...แล้วก็พักที่บ้านเหมือนเดิมก็แล้วกัน"
"เอ่อ..."
"อย่างที่บอกไปนั่นแหละ ดีแล้ว"
"หนูเกรงใจคุณค่ะ ถ้าอย่างนั้นขอไปกลับรถเมล์เหมือนเดิมดีกว่า"
เธอเดินไปนั่งบนโซฟาใกล้ๆ วางกระเป๋าลงและเปิดฉากเจรจากับพ่อบุญธรรมหนุ่ม
องศาหันกลับมามองคู่สนทนา แสยะยิ้มเหนื่อยๆ
"ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะรั้นเก่งขนาดนี้"
หญิงสาวหลบสายตาคมเข้มนั้นในทันที สิ่งที่เขาพูดกับสิ่งที่สะท้อนอยู่ในหัวกลับเป็นคนละเรื่องกัน ภาพในราตรีนั้น สัมผัสที่ผิวแผ่วซึมซาบเข้าสู่สำนึกอย่างง่ายดายเพียงวูบเดียวที่ได้ประสานสายตากับเขา
"เป็นอะไร...ทำไมต้องหน้าแดง" องศาขมวดคิ้วตะแคงมองด้วยความสงสัย สาวน้อยใช้มือลูบแก้มของตัวเองโดยอัตโนมัติ
"เปล่าค่ะ คือ..."
"โกรธที่ฉันว่าเหรอ"
"เอ่อ..." ก็ยังโชคดีที่ชายหนุ่มคิดไปในทางกลับกัน
"หนูแค่อยากลองใช้ชีวิตด้วยตัวเองดูบ้าง จะให้คุณกับพี่โฮปคอยช่วยตลอดเวลาคงไม่ได้ ถึงอย่างไร...เราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันนี่คะ" "อืม...นั่นสินะ แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ โมบายยังเด็กมากฉันคงปล่อยให้ออกไปบินตามอำเภอใจไม่ได้หรอก ฉันเป็นห่วง" สีหน้าเขานิ่งเรียบขึ้นขณะบอกกับเธอ ก่อนจะหันกลับไปนอนนิ่งๆ หน้าตรงอย่างเดิม
คนตัวเล็กถึงกับเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัวเมื่อความห่วงใยนั้นถูกเอ่ยออกมาจากปากเขา เพียงคำพูดสั้น...ทำไมหนอช่างกินลึกได้ถึงเพียงนี้ มันอบอุ่นนุ่มนวลเสียจนละลายความอึดอัดที่มีก่อนหน้าให้จางหายภายในเศษเสี้ยววินาที
"ไม่มีแม่แล้ว...หนูก็ต้องโตเสียที"
"ไม่มีคุณบัวแล้ว แต่ฉันก็ยังอยู่ คิดว่าฉันดูแลเราไม่ได้หรือยังไง"
"ไม่ใช่ค่ะ...คือ แต่คุณ..."
"ไม่ใช่พ่อแท้ๆ?...อย่างนั้นใช่ไหม" เขาต่อประโยคที่บัวบงกชอึกอักไม่อยากพูดออกมาแบบเต็มปากเต็มคำ
"..." หญิงสาวเงียบ ศิโรราบยอมรับ
"แต่ฉันก็รักโมบายเหมือนลูกนะ รับปากคุณบัวไว้แล้ว ไม่อยากผิดสัญญา"
หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นไปเสี้ยววิเมื่อได้ยินดังนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงไม่นึกยินดีแม้แต่น้อย ทั้งที่ควรจะภูมิใจในตัวผู้ชายซึ่งแม่ได้เลือกเป็นคู่ชีวิตในวาระสุดท้าย เขาทำหน้าที่แฟมิลี่แมนดูแลเธอและแม่ได้อย่างดีเยี่ยมดีกว่าคนในครอบครัวของเธอเองเสียอีก
"แล้วถ้าวันหนึ่งคุณมีภรรยาใหม่ล่ะคะ มีครอบครัวใหม่ หนูจะอยู่ยังไง"
"...ที่แท้ก็คิดแบบนี้นี่เอง มันเป็นเรื่องในอนาคต มันคงอีกนานกว่าจะถึงวันนั้น หรือไม่...ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย" คำกล่าวประหนึ่งชายผู้บูชารักแท้ตอกย้ำความรักที่องศามีให้มารดาของเธออย่างไม่ต้องสงสัย ทุกการกระทำ ทุกคำพูดของเขาทั้งต่อหน้าและลับหลังก็ซื่อตรงมั่นคงเสมอแบบนี้สินะ มิน่า...องศาถึงได้เป็นที่ต้องตาต้องใจของสาวๆ แทบทุกคนที่เขาเดินผ่าน ทั้งรูปร่างหน้าตา บุคลิก และนิสัยใจคอ ช่างเหมาะจะเป็นเจ้าชายรูปงามในหนังสือนิยายอย่างแท้จริง
ครั้งหนึ่งเธอเคยนึกแปลกใจว่าทำไมชายหนุ่มที่ดีพร้อมทั้งฐานะและหน้าตาถึงได้มาผูกใจกับแม่ของเธอซึ่งเป็นหม้ายลูกติด ไม่มีอะไรติดตัวแม้แต่เงินสักบาท ถูกขับไสไล่ส่งออกจากบ้านด้วยสภาพไม่ต่างจากขอทานข้างถนน
จนกระทั่งสืบสาวราวเรื่องได้ว่าทั้งคู่เคยสมัครรักใคร่กันมาก่อนตั้งแต่สมัยเรียน ซึ่งองศานั้นเป็นรุ่นน้องแม่เธอถึงห้าปี จึงถูกกีดกันจากทางบ้านและต่างก็แยกย้ายห่างหายไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง
และแล้ว...โชคชะตาหรืออาจเป็นพรหมลิขิตที่เห็นใจให้ทั้งคู่มาพบกันอีกครั้ง ก่อนจะพรากเอาทุกความดีงามไปจากชีวิต...ชั่วนิรันดร์
"ทำไมพูดแบบนั้นล่ะคะ...คุณเฮิรตซ์ก็ยังไม่แก่ สักวันก็ต้องเจอคนดีๆ เข้ามาดูแล หนูไม่อยากเป็นภาระนะคะ"
"ก็ให้ถึงเวลานั้นก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ยังไงเสียฉันก็ไม่ให้เธอลำบากหรอกโมบาย"
"เป็นเพราะแม่...อย่างเดียวเหรอคะ..." ถามออกไปโดยไม่ทันคิด พอฉุกคิดก็ต้องเอามือปิดปากตัวเองทันใด แต่ก็แอบหวังว่าจะได้รับคำตอบที่เป็นเหตุผลอื่นบ้าง
"ใช่...เพราะโมบายเป็นลูกของบัว...ก็เหมือนลูกของฉันคนหนึ่ง" แต่แล้ว...คำ อธิษฐาน ก็ไม่เป็นจริง เธอยิ้มรับคำตอบนั้นด้วยความสะท้อนใจ นึกตำหนิตัวเองว่าต้องการอะไร...ไปเพื่ออะไรกัน
"เราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง คุณไม่สบายอยู่รอให้หายก่อนก็ได้ค่ะ"
"ฉันเข้าใจปัญหาเธอในฐานะของคนที่ผ่านโลกมาก่อน มันไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกโมบาย ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี ลองคิดในอีกแง่มุมนึงของปัญหาที่เธอกำลังแบกรับเอาไว้ดูนะ ทุกอย่างมีสองด้านเสมอสำหรับเราทุกคน"
"...ค่ะ" เด็กสาวยิ้มน้อยๆ ให้กับองศาซึ่งไม่ได้มองเธออีกแล้ว เขาหลับตาส่งสัญญาณถึงความต้องการอยากผ่อนคลาย บัวบงกชจึงนั่งเงียบๆ อยู่อย่างนั้น หนังสือและโทรศัพท์คือเพื่อนที่ช่วยคลายเหงาได้ระดับหนึ่ง แต่มันก็ไม่มากพอถึงขนาดบดบังความปั่นป่วนที่ก่อสุมอยู่ในหัวใจ
หลายครั้งสายตายังเหลือบไปยังเตียงคนป่วย หลายคราที่ภาพในค่ำคืนนั้นยอกย้อนเข้ามาในภวังค์ บางสิ่งวิ่งไหลอยู่ในร่างกายอย่างน่าบัดสี
เธอรู้สึก...แต่ไม่อาจอธิบายเพราะประสบการณ์ยังด้อยนัก รู้เพียงว่าไม่ได้รังเกียจการแตะต้องนั้น แต่หาได้ระแวดระวังไม่ว่า...มันคือสัญญาณอันตรายที่อาจพลิกทุกเกม ชีวิตให้เปลี่ยนไป...ตลอดกาล