บทที่ 2

2765 Words
หนึ่งเดือนที่แสนเศร้าผ่านพ้นไป แต่ความมัวหมองที่กัดกินหัวใจยังคงเกาะแนบสนิทอยู่อย่างนั้น วิถีชีวิตเดิมๆ ก็ยังดำเนินไปตามครรลองของมันและหญิงสาวก็เช่นกัน เธอยังคงต้องใช้ลมหายใจที่เหลืออย่างอับเฉาเดียวดาย เพียงเพื่อให้เวลามันหมดไปแต่ละวันเท่านั้น            "เร็วเข้าโมบาย รถเมล์จะมาแล้วนะ"            "อ๋อ...อืมๆ เสร็จแล้วล่ะ" บัวบงกชหันมองเพื่อนที่ลุกลี้ลุกลนหอบสัมภาระเตรียมตัวออกไปรอรถเมล์ตรงป้ายหน้ามหาวิทยาลัย เธอจึงรีบเก็บงานที่ทำค้างอยู่บ้าง ก่อนที่ทั้งคู่จะรีบลุกจากซุ้มนั่งเล่นเดินออกไปด้วยกัน     "เอ...นั่นพ่อบุญธรรมเธอหรือเปล่าโมบาย เขามารับแน่ะ สงสัยวันนี้ฉันต้องกลับคนเดียวแล้วล่ะ"                                                               สายตาหันมองตามเสียงบอกกล่าวของเพื่อนโดยไม่ได้ปริปากตอบหรือแสดงความคิดเห็น รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่เห็นเขาอยู่ที่นี่ ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่มารดาเสียชีวิตไป            หรือก่อนหน้านั้นต่อให้เขามารับมาส่งก็ไม่ได้บ่อยครั้งนัก และมักมีผู้ให้กำเนิดของเธอติดสอยห้อยตามมาด้วยตลอด            "เรากลับด้วยกันก็ได้ เดี๋ยวฉันจะบอกเขาเองว่าให้แวะไปส่งเธอด้วย"            "หืม...ไม่ล่ะ พ่อบุญธรรมเธอดูน่ากลัวจะตาย อีกอย่างฉันเกรงใจขอกลับรถเมล์เหมือนทุกวันแหละดีแล้ว ไปก่อนนะเดี๋ยวไม่ทัน เย็นๆ แบบนี้รถติดจะแย่"             เด็กสาวรีบปลีกตัวและโบกมือลาเพื่อนเมื่อรู้ตัวว่าวันนี้คงไม่ได้เดินทางกลับด้วยกันอย่างทุกๆ วัน ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนจับสัมภาระแน่นไว้กับตัว นึกทำอะไรไม่ถูกด้วยไม่ค่อยชินกับสถานการณ์แบบนี้            มองเพื่อนเดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปจนลับตาพอหันกลับมายังลานจอดรถอีกสายตาก็สะดุดกับร่างใหญ่ที่ยืนห่างอยู่เพียงคืบ            "ฉันมารับ"            "เอ่อ...ค่ะ"            "ขึ้นรถสิรออะไรอยู่เพื่อนเธอคงขึ้นรถเมล์ไปแล้วล่ะ ฝนกำลังจะตกเราก็ต้องรีบกลับ" เขาคว้าเอาหนังสือและสัมภาระที่เธอกอดเอาไว้มาถือแล้วเดินกลับไปที่รถ เปิดประตูด้านข้างคนขับทิ้งเอาไว้ก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อทำหน้าที่พลขับ                                                                         เขาเร็วมาก...จนเธอต้องรีบก้าวเท้าตามและขึ้นรถด้านฝั่งที่เขาเปิดประตูทิ้งเอาไว้ให้ รถออกตัวช้าๆ เพราะสภาพการสัญจรที่ค่อนข้างหนาแน่น บรรยากาศรอบตัวเธอก็เริ่มรู้สึกอึดอัดชวนวิงเวียนตามไปด้วย                "เมารถเหรอ หรือไม่สบาย"                                                           "เปล่าค่ะ หนูเหนื่อย"            "ถ้าอย่างนั้นก็แวะหาอะไรกินกันก่อนนะ โฮปไปออกค่ายอีกหลายวันกว่าจะกลับ ไม่ต้องทำกับข้าวให้วุ่นวายกันอีก อยู่กันแค่สองคน"            เขาเหมือนจะบอกกับเธอแต่ก็คล้ายพร่ำไปไม่ยี่หระให้เธอออกความเห็น หญิงสาวนั่งสอดสายตาออกไปด้านนอกตัวรถ เหม่อแลไปเรื่อยเปื่อยเพื่อบรรเทาความอึดอัดที่ไม่เคยคุ้นชิน เมื่อต้องอยู่กันสองต่อสองแบบนี้            ถึงแม้มีฐานะเป็นพ่อบุญธรรมลูกเลี้ยงกัน แต่ความสัมพันธ์ค่อนข้างย่ำแย่ เริ่มจะมีพูดคุยกันบ้าง ก็หลังจากที่มารดาเสียชีวิตไปนี่แหละ เพราะความไม่มีที่ไป เธอก็ต้องจำยอมอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกับสองพ่อลูกแม้จะไม่ได้ความเกี่ยวข้องใดๆ ทางสายเลือดกันเลย แต่ก็เป็นทางเลือกเดียวในตอนนี้            องศาเองเป็นรุ่นน้องแม่เธอหลายปีแต่กลับมีลูกชายซึ่งอายุมากกว่าเธอ ช่องว่างระหว่างวัยภายในครอบครัวจึงค่อนข้างสลับซับซ้อน และยากยิ่งที่คนนอกจะมองในแง่ดี รถเลี้ยวเข้าจอดในร้านอาหารเล็กๆ บรรยากาศสบายๆ แห่งหนึ่ง ก่อนฝั่งพ่อบุญธรรมจะเปิดประตูรถออกมาเดินนำหน้าเข้าไปนั่งด้านใน กำแพงครึ่งหนึ่งกันด้วยกระจกใสทำให้มองเห็นด้านนอกชัดเจน การตกแต่งเน้นธรรมชาติและสวยงามสบายตาไม่หรูหราหรือเรียบง่ายจนเกินไปพนักงานเสิร์ฟนำเมนูมาวางให้กับทั้งคู่ บัวบงกชจึงสั่งอาหารจานเดียวง่ายๆ กับเครื่องดื่ม แอบเหลือบพ่อบุญธรรมกรายๆ ด้วยปลายหางตา เมื่อเขาสั่งเบียร์ ช่วงหลังมานี้สังเกตเห็นว่าองศาเมาหลับไปบ่อยมาก คงเพราะความเครียดและความเสียใจที่มีไม่ต่างกัน                  แต่เขาก็ค่อนข้างควบคุมตัวเองได้ดี ไม่เอะอะโวยวายหรือระรานใครให้เกิดปัญหา มักนั่งดื่มคนเดียวเงียบๆ อยู่ในโลกส่วนตัวที่ยากจะเข้าถึง "กินแค่นี้เมื่อไหร่จะโต..." สายตาคมกล้าเหลือบขณะตักอาหารเข้าปากตัวเองอีกฝ่ายหลบแววตาดุดันนั้นอัตโนมัติเหมือนเคย เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกตำหนิ            "คุณเฮิรตซ์ดื่มเบียร์มากขนาดนั้นเดี๋ยวจะขับรถไม่ไหวนะคะ" เธอเบี่ยงเบนความสนใจ ติงเรื่องการดื่มแอลกอฮอลล์ของเขาบ้าง ซึ่งปกติไม่ค่อยมีโมเม้นแบบนี้หรอก ส่วนมากจะเป็นประเภทถามคำตอบคำด้วยกันทั้งคู่เสียมากกว่า            "พากลับถึงบ้านได้ก็แล้วกัน ไม่ต้องห่วงหรอก" ว่าแล้วเขาก็จัดการรวบช้อนวางบนจานที่เพิ่งรับประทานอาหารได้ไปไม่ถึงครึ่ง แล้วยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มซ้ำอย่างไม่รู้สึกรู้สาต่อรสชาติของมัน            "กับข้าวเหลือตั้งเยอะ หนูกินคนเดียวไม่หมดนะคะ" หญิงสาวอ้อมแอ้มบ่นกับบรรดาอาหารที่พ่อบุญธรรมของเธอสั่งเอาไว้เต็มโต๊ะ แต่แล้วเขากลับอิ่มเสียดื้อๆ ปล่อยให้เธอรับผิดชอบในส่วนที่ไม่ใช่ของตัวเองโดยใช่เหตุ                                                                                                   "ก็เอากลับไปกินที่บ้าน พรุ่งนี้เช้าจะได้ไม่ต้องทำกับข้าว"                  "..." เธอรวบช้อนและยกน้ำผลไม้ปั่นดื่มบ้าง ก่อนจะนั่งอย่างสงบรอเขาบอกให้พนักงานเก็บเงิน ซึ่งคงอีกนานเมื่อมองดูปริมาณเบียร์ในเหยือกที่เพิ่งกดเติมมาใหม่ ชั่วพริบตาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง องศากรอกเบียร์เข้าปากเกือบจะสามเหยือกไปแล้ว!                                                                   "คุณเฮิรตซ์หนูมีการบ้านเยอะนะคะ"                                             "อ๋อ...งั้นกลับเลยก็ได้" เหมือนเขาจะได้สติรีบกวักมือพนักงานในร้านมาคิดเงินค่าอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมด และนำอาหารที่ยังไม่ได้ทานใส่กล่องให้หญิงสาวหิ้วกลับไปด้วย เกือบหกโมงเย็นตะวันโพล้เพล้เย็นย่ำเข้าไปทุกทีทำให้คนนั่งเบาะข้างกระสับกระส่ายมองดูแต่นาฬิกาจนสารถีต้องเอ่ยปากถามเมื่อเส้นทางยังห่างไกลกันนักจากบ้านที่อาศัย            "นัดใครเอาไว้หรือเปล่า" น้ำเสียงขององศาผิดเพี้ยนเล็กน้อย ใบหน้าคมคายแดงระเรื่ออาจเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ที่ดื่มเข้าไปซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่าก่อนหน้าเขาจะจัดเบาๆ มาบ้างแล้วก็เป็นได้ เป็นที่รู้กันในบ้านว่าของมึนเมาทุกชนิดเป็นที่โปรดปรานนักสำหรับเขาในช่วงนี้            เมาแล้วมันดีหรือไร...            เมาแล้วจะผ่อนคลายหายเศร้าอย่างนั้นหรือ องศาถึงได้เกลือกกลั้วแต่เมไรไม่ยอมห่าง เช่นนั้นแล้วหากเธอปรารถนาอยากดื่มด่ำให้ความทุกข์ที่มีในใจเจือจางลงบ้างก็คงดีไม่น้อย            "ว่าไง..."            "เปล่าค่ะ ก็หนูบอกไปแล้วว่ามีการบ้านเยอะ"                                  "อ๋อ...ขอโทษทีนะเดี๋ยวจะช่วยดูให้ก็แล้วกัน" ชายหนุ่มตอบส่งๆ พยายามตั้งมั่นกับการทำหน้าที่พลขับ ในขณะที่รู้ตัวถึงความไม่ปกติ วันนี้เขาดื่มตั้งแต่เช้ายันบ่าย จวนเจียนจะพลบค่ำอยู่รำไรก็ยังไม่รู้สึกอยากจากน้ำเมานั้นแม้แต่น้อย                                   แทบอยากกลืนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมันให้รู้แล้วรู้รอดจะได้ไม่ต้องรู้สึกรู้สาต่อความในใจที่รุมเร้าไม่เหือดหาย                  การสูญเสีย...ทำให้เขาเสียศูนย์ แต่ก็ต้องหักดิบหัวใจให้เด็ดเดี่ยวเพราะภาระหน้าที่มันค้ำคอ ก็มีบ้าง....ที่วูบหนึ่งความอ่อนไหวจะฉกฉวยโอกาสเข้ามาเกาะกร่อนหัวใจ "คุณเฮิรตซ์เมานะคะ ให้หนูขับดีกว่าไหมอีกตั้งไกลกว่าจะถึงบ้าน อีกอย่างถ้ามีตำรวจระหว่างทางต้องถูกจับแน่ๆ ค่ะ"            "เรามีใบขับขี่เหรอ...ค่าเท่ากันแหละ ฉันยังไหว" รู้สึกว่าแอลกอฮอลล์มันจะไม่ออกฤทธิ์เสียทีเดียวเมื่อดื่มมันเข้าไป แต่ค่อยๆ ซ่านซึมสู่เลือดเนื้อทีละน้อยทำให้สมองรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างดี            เขาไม่ใช่คนขาดสติแม้จะถูกกลบกลืนด้วยอำนาจสุราก็ตาม เพียงแต่ต้องเพ่งสมาธิให้มากกว่าเก่าก็เท่านั้น            กว่าการเดินทางจะดำเนินถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพก็เล่นเอาผู้โดยสารหัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่เป็นจังหวะ ลุ้นตัวโก่งกับความปลอดภัยของทั้งเธอและเขา            องศาเมาหนักแต่ก็ยังพยุงร่างเข้าในบ้านได้ด้วยตัวเองส่วนบัวบงกชนั้นคอยจับตาดูห่างๆ เมื่อเห็นว่าพ่อบุญธรรมของเธอค่อนข้างดูแลตัวเองได้แล้ว จึงถอยหลบเข้าห้องไปจัดการธุระของตัวเองเงียบๆ                              เพราะต่างคนต่างอยู่มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ความผูกพันจึงคงระดับเอาไว้แค่คนที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันเท่านั้น ความสนิทสนมก็เหมือนจะเลือนลางตามไปด้วย แม้จะมีความเป็นห่วงอยู่ลึกๆ บัวบงกชก็ยังไม่คิดจะคอยดูแลเขาเฉกเช่นบุตรสาวพึงกระทำต่อบิดา            ก็เพราะเขา...ไม่ใช่พ่อของเธอจริงๆ เสียหน่อย            หญิงสาวอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดลำลองเสร็จก็คว้ากระเป๋าจัดแจงเอารายงานมานั่งทำ พลางก็มองรูปผู้ให้กำเนิดที่ยืนยิ้มให้กำลังใจอยู่ในกรอบสวยงาม ท่านเป็นนางฟ้าของเธอเสมอตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ แม้กระทั่งในตอนนี้            น่าเสียดายนักที่ความสำเร็จยังไม่ถึงฝั่งฝันท่านก็มาด่วนจากไปเสียก่อน สาวน้อยสวมชุดครุยในวันรับปริญญาจึงรู้ชะตากรรมว่าต้องเดียวดายและอ้างว้างขนาดไหนเมื่อถึงเวลานั้น            อย่างน้อย...เธอจะทำให้แม่ภาคภูมิใจให้ได้นั่นคือความหวังอันสูงสุด เวลาเพียงเดือนเศษๆ ไม่อาจลดความคิดถึงที่มีต่อผู้ให้กำเนิดแต่มันก็ช่วยให้เธอเข้มแข็งขึ้นและมีสติมากพอที่จะดำรงตนให้อยู่กับปัจจุบันเพื่อไม่ให้ดวงวิญญาณของมารดาต้องเป็นทุกข์ใจ            หญิงสาวพยายามลากเอาสมาธิมาจดจ่อกับการบ้านที่กองอยู่ตรงหน้าจนในที่สุดเธอก็ทำสำเร็จ เธอบิดเอี้ยวตัวเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้า พอเหลือบมองนาฬิกาก็ปรากฏว่าล่วงเลยมาจนเกือบจะสองทุ่มในอีกไม่กี่นาที            คิดคำนวณดูก็สมควรอยู่เพราะไหนกว่าจะออกจากมหาลัยไหนจะแวะทานมื้อเย็นและกว่าคนเมาจะหอบสังขารพากลับมาถึงบ้านอีก ร่างแบบบางหายใจหนักๆ เดินไปปิดหน้าต่างเตรียมตัวจะเข้านอน            แต่แล้ว...            "คุณเฮิรตซ์ ตายจริงนี่มานั่งดื่มเหล้าต่อเหรอเนี่ย"                           บัวบงกชรีบดึงหน้าต่างและผ้าม่านปิดสนิทก่อนจะรีบออกจากห้องและเดินไปยังโต๊ะม้าหินอ่อนด้านนอกตัวบ้าน สภาพชายร่างใหญ่ที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะรอบๆ เต็มไปด้วยขวดเบียร์นั้นไม่ได้ต่างจากที่เห็นตอนยืนอยู่ริมหน้าต่าง "คุณเฮิรตซ์ คุณเฮิรตซ์คะ เป็นยังไงบ้าง" เธอสะกิดชายหนุ่มเบาๆ และลงแรงมากขึ้นจนกลายเป็นผลัก แต่กลับได้ยินเสียงครางคลุมเครือสนองตอบ            "เมาขนาดนี้ทำไงดี...พี่โฮปก็ไม่อยู่ด้วยสิ เราคนเดียวจะไหวไหมเนี่ยตัวใหญ่ยังกะยักษ์เลย" บัวบงกชพ้อกับตัวเอง ถอนหายใจด้วยความหนักอกกับงาน กับภาระตรงหน้า ครั้นจะนิ่งดูดายไม่แยแสหรือก็ดูจะใจจืดใจดำเกินไป อย่างไรเสียก็อยู่บ้านเดียวกัน แถมเธอยังเป็นแค่คนอาศัยเสียด้วย            "คุณเฮิรตซ์ รู้สึกตัวบ้างไหมคะ" เธอลองเขย่าร่างใหญ่ที่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะอีกครั้งก็ได้ยินเสียงครางอือออตอบรับเช่นเคย            "เข้าบ้านนะคะ นอนตรงนี้ยุงกัดตายแน่ๆ มาค่ะหนูช่วย" เมื่อเห็นว่าองศาคงเมาไม่รู้เรื่องไม่ได้สติอีกแล้วหญิงสาวจึงตัดสินใจจับแขนของเขายกพาดบ่า แทรกตัวเองให้ประชิดตัวก่อนจะพยายามใช้แรงกระตุ้นให้เขายืน เพราะลำพังเธอจะลากหามเขาเข้าบ้านนั้นคงเป็นไปไม่ได้แน่ๆ            "คุณเฮิรตซ์ ช่วยหนูหน่อยนะ คุณตัวหนักมากๆ ไม่อย่างนั้นเราจะแย่ทั้งคู่นะคะ" น้ำเสียงใสแหลมปรี๊ดขึ้นเมื่อคนเมาเทน้ำหนักทั้งตัวมายังเธอ ทำเอาโซซัดโซเซไปตามๆ กัน                                                                     ดูเหมือนจิตสำนึกที่ยังตกค้างจะพอทำให้องศารู้ตัวอยู่บ้างว่าควรทำยังไง เขาเริ่มพยุงตัวเอง โดยมีบัวบงกชคอยช่วยอีกแรงเพื่อไปพำนักยังที่อันสมควร                                                                                     กว่าจะเข้ามาถึงในห้องได้ก็เล่นเอาคนตัวเล็กเหนื่อยหอบปนเหม็นเ**ยน กับกลิ่นแอลกอฮอลล์ที่โชยมาจากตัวเขา ไม่รอช้าเมื่อเห็นเตียงนอนอยู่ตรงหน้าเธอจึงดันผลักให้เขาทุ่มตัวลงบนฟูกจนได้ยินเสียงครางประท้วงฮึมฮำ แต่แล้วก็หายเงียบไป            "หลับแล้วเหรอ...เฮ้อ! ทั้งเหนื่อยทั้งเหม็นเลยอาบน้ำแล้วแท้ๆ ต้องอาบใหม่อีก คุณเฮิรตซ์นะคุณเฮิรตซ์ เห็นแก่ตัว...หาทางออกอยู่คนเดียวหนูสิ อยากทำแบบคุณก็ทำไม่ได้" ดวงตากลมใสซื่อมองร่างที่นอนคว่ำตะแคงเพียงสวนใบหน้าเหมือนคนไม่รู้ร้อนรู้หนาว            นึกอิจฉาที่เขาไม่ต้องอยู่ในขอบเขต นึกอยากหาหนทางไหนมาคลายทุกข์ก็ได้ อยากดื่มอยากกินอยากเที่ยวทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวเองซึ่งต่างจากเธอมากมายนัก ที่ได้แต่เก็บทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้หาวิธีระบายให้คลายความกลัดกลุ้มไม่ได้เลย ต้องทนจำยอมต่อชะตากรรมของตัวเองอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง           "เจอกันพรุ่งนี้นะคะคุณเฮิรตซ์" เธอหันหลังกลับเมื่อเห็นว่าหมดหน้าที่ของตัวเองแล้ว แต่เสียงครางฮือพร้อมเพรียกหาชื่อใครบางคนทำให้เท้าเล็กต้องหยุดชะงัก            "บัว...นั่นคุณใช่ไหม"            "..." บัวบงกชหันกลับมามองพ่อบุญธรรมหนุ่มอีกครั้ง คราวนี้พบว่าเขานอนหงายและเอามือก่ายหน้าผากตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้            "โมบายค่ะ ไม่ใช่แม่ คุณเฮิรตซ์รู้สึกตัวแล้วเหรอคะ"            "บัว...ผมคิดถึงคุณ..."            ดูเหมือนสิ่งที่เด็กสาวคิดจะผิดถนัด สติเขาไม่ได้กลับคืนมาแม้แต่น้อย เสียงพร่ำเพ้ออ้อแอ้แทบฟังไม่ได้ศัพท์แต่ก็ยังพอจับใจความสำคัญได้อยู่ ถึงสาเหตุที่ทำให้เขาเห็นน้ำเมาเป็นน้ำเปล่าที่ใช้ประทังชีวิตอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน    ร่างใหญ่เริ่มคว้าสะเปะสะปะ และพลิกตัวทำท่าจะลุกนั่งทั้งที่ศีรษะนั้นแทบตั้งตรงไม่ได้ด้วยซ้ำ สาวน้อยในวัยยี่สิบเข้าไปประคองตามสัญชาตญาณเมื่อเห็นดังนั้น แต่เพราะแรงและน้ำหนักที่มากกว่าหลายเท่าตัวทำให้เธอเพลี่ยงพล้ำถูกเขาผลักกลิ้งลงบนที่นอน ซ้ำร้ายไปกว่านั้น...            "คุณเฮิรตซ์! นี่หนูนะคะ โมบายนะไม่ใช่แม่ คุณอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ!!" ร่างใหญ่ที่ใช้ความเร็วประหนึ่งฤทธิ์สุราไม่ได้บั่นทอนกำลังพลิกทับตัวเธอเอาไว้ทันควัน ทำให้สาวน้อยตกอยู่ในอ้อมแขนอันมิควรนี้ แถมระยะร่างกายยังแนบชิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยที่เธอไม่เคยตั้งตัวกับเรื่องราวเหล่านี้มันทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำทั้งสับสนและหวาดกลัว            "บัว...กลับมาหาผมแล้วใช่ไหม คุณกลับมาหาผมแล้ว"            "คุณเฮิรตซ์!! อื้อออ อืม..." ร่างแบบบางดิ้นสุดฤทธิ์จนรับรู้ถึงความร้อนรุ่มในตัวเพราะเลือดสูบฉีด อารมณ์ตกใจจนหูอื้อดวงตาพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำอุ่นๆ ทันทีเมื่อกลีบปากสั่นระริกถูกกดประทับจับจองด้วยริมฝีปากสากหนา และร้อนรุ่ม            สัมผัสที่ไม่เคยได้ลิ้มลอง หรือแม้แต่คิดก็ยังไม่มีอยู่ในสมอง กลับถูกฉกฉวยจูบแรกไปอย่างง่ายดายด้วยน้ำมือบุคคลที่ต้องห้ามที่สุดในชีวิต       สามี...ของแม่   
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD