บทที่ 3

1730 Words
"อื้อ!" น้ำตาแห่งความเสียใจไหลรินร่วงเผาะไม่ขาด แต่คนเบื้องบนก็ดูท่าจะไม่ยี่หระต่ออาการนั้น อาจเพราะความเมาและใยเสน่หาที่มีอยู่ในสำนึกมันล้นหลามจนไม่อาจยับยั้งช่างใจได้            เขาบดเบียดเสียดขยี้ริมฝีปากนัวเนียกับความอ่อนนุ่มและหอมหวาน แต่บัวบงกชกลับรู้สึกวิงเวียนอึดอัดและเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างแล่นพล่านอยู่ในกายเธอ มันร้อนระอุและแปลบปลาบจนยากบรรยาย... แรงผลักน้อยนิดไม่ได้ก่อความระคายแก่ร่างใหญ่ที่กำลังมัวเมารสสัมผัสจากเธอ มือไม้เขาเริ่มรุกรานไปตามส่วนต่างๆ ลูบไล้ตะบมคล้ำขยำเคล้นกระตุ้นสัญชาตญาณบางอย่างของอีกฝ่าย ซึ่งมิได้ยินยอมพร้อมใจให้กับเขาเลย                                                  ลิ้นอุ่นสากหนาทะลวงล้วงเข้าสู่โพรงปากสาวน้อยไร้เดียงสา เธอเกร็งเมื่อถูกรุกรานล้ำลึกและเถื่อนทมิฬหนักหน่วงขึ้น ได้กลิ่นแอลกอฮอลล์จากลมหายใจร้อนรุ่มชัดเจนจนแทบจะซึมซับความมึนเมาตามกันไปในขณะเดียวกัน สุ้มเสียงประท้วงที่ครางฮืออยู่ในลำคอส่งเสริมให้ผู้รุกรานยิ่งฮึกเหิมลำพองตน ดุนดันเรียวลิ้นร้อนระอุสู่โพรงปากหอมหวน มันอบอุ่นและนุ่มล้ำลึกจนไม่อยากถอดถอนถอยห่าง ออกสู่โลกภายนอกแม้แต่สักวินาที            มือใหญ่เคลื่อนคล้อยลูบลำตัวเนื้อนวลที่ยังอยู่ภายใต้ผืนผ้าอาภรณ์ แต่ไม่ได้ส่งผลต่ออารมณ์หื่นห่ามที่บังเกิดขึ้นในร่างหนุ่มใหญ่ เขากำลังทำผิดมหันต์โดยไร้ซึ่งสติอันสมบูรณ์แบบ และกำลังฝากฝังบาดแผลอันเจ็บปวดที่สุดให้แก่เด็กสาวผู้ไร้เดียงสาไม่มีทางสู้หรือแม้แต่จะคิดต่อต้าน            "แม่จ๋า...แม่ช่วยหนูด้วย!!" เสียงเรียกหาร่ำร้องดังขึ้นทันทีเมื่อกลีบปากบางฉ่ำได้รับอิสรภาพ และนั่นทำให้องศาหยุดชะงักไปกะทันหันเช่นกัน            "แม่..." เขาครางเสียงพร่า            "คุณเฮิรตซ์ ฮือๆ อย่าทำหนูเลย หนูกลัวแล้ว ปล่อยหนูนะคะ" เมื่อเห็นว่าคนคุกคามเหมือนจะกำลังสับสนบัวบงกชได้ทีจึงรีบร้องเตือนสติให้เขารู้สึกตัวเสียที องศาสะบัดศีรษะและปิดตาที่แดงก่ำของเขาชั่วครู่แต่ยังไม่ยอมพลิกลงจากเรือนร่างระหงแบบบาง            "คุณเฮิรตซ์ได้สติซะทีสิคะ คุณกำลังทำบาปอยู่นะ" หญิงสาวพยายามผลักตัวเขาให้ออกห่าเพื่อที่ตัวเองจะได้ฉกฉวยโอกาสหลบนี้ออกไปจากกรงเล็บมัจจุราชนี้เสียที            "โม...โมบาย อ่า...ฉัน...ทำอะไรลงไปเนี่ย..." อาจเพราะฤทธิ์สุราเจือจางหรือสำนึกส่วนดียังพอมีอยู่ หรือบางสิ่งดลใจให้สติหวนกลับมาแม้เพียงน้อยนิดแต่ก็ยังสร้างความหวังการอยู่รอดให้กับสาวน้อยที่นอนอยู่ใต้อาณัติเขาเบื้องล่าง            เมื่อเห็นว่าไม่อยากผลักไสคนตัวใหญ่ให้ออกห่าง บัวบงกชจึงใช้สองแขนกอดรัดตัวเองเอาไว้เป็นการป้องกันตัวตามสัญชาตญาณ ในจังหวะเดียวกันนั้นชายหนุ่มก็กางคร่อมเธอเองไว้ทั้งตัวอีกครั้ง            หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำ...ความปลอดภัยเทียบเท่ากับติดลบในตอนนี้ จะมาหนทางใดหนอ ที่พอจะช่วยทำให้เธอหลุดพ้นจากหนทางแห่งขุมอเวจีอันบาปหนานี้ไปได้            น้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม ความหวาดกลัวตื่นตระหนกถึงจิตวิญญาณไม่ได้ทำให้เธอหลุดรอดไปได้แน่ สติเท่านั้น...โมบาย เมื่อเขาไม่มีสติ เธอก็ต้องใช้สติในการหาทางออก ไม่ใช่เตลิดเพริดพลั้งจนทุกอย่างสายเกินแก้            "หนูเป็นลูกแม่บัว ภรรยาของคุณไงคะ จำได้หรือยัง คุณเฮิรตซ์เมามากจำให้ได้ซะทีสิคะ แม่บัว...แม่บัวไงคะ..."            "บัว...โธ่...คุณจากผมไปแล้ว บัว..." องศาหายใจหอบถี่ กะพริบตามองสาวน้อยเบื้องล่าง มันพร่ามัวและทับซ้อนด้วยใบหน้าใครบางคนที่ฝังตรึงอยู่ในมโนสำนึก            "ป่ะ...ปล่อยหนูนะคะ คุณนึกออกแล้วใช่ไหม หนูไม่ใช่แม่บัวนะ หนูคือโมบายได้โปรดปล่อยหนูนะคะคุณเฮิรตซ์"            "บัว...ผมคิดถึง...คุณ ผม...เหนื่อย..."            "โอ๊ะ! คุณเฮิรตซ์" จู่ๆ ร่างใหญ่ทรงพลังก็ล้มทับฟุบลงบนตัวเธอเสียเฉยๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย คาดเดาไม่ได้ว่าเกิดจากเหตุใด อาจเพราะความเมาหนัก หรือเพราะอาการง่วง เพลียบวกผนวกเข้ามาด้วยก็ไม่แน่ แต่อาการสงบและลมหายใจที่ผ่อนลงจนเกือบเหมือนคนปกติทำให้บัวบงกชค่อนข้างวางใจ ว่าเธอรอดจากการทำบาปมหันต์ได้อย่างหวุดหวิดจนแทบไม่น่าเชื่อ           เด็กสาวสังเกตการณ์จนรู้สึกว่าเขาหายใจสม่ำเสมอและมีเสียงกรนเบาๆ ของผู้ชายดังขึ้นแสดงถึงนิทราที่สมบูรณ์แบบของเขา            จากนั้นจึงค่อยๆ ผลักดันคนตัวใหญ่ให้พลิกหงายลงจากร่างของตัวเอง ผ่อนคลายความหนักอึ้งและแสนจะอึดอัดที่ดำเนินมาค่อนข้างนานพอสมควร จนความปวดเมื่อยก่อเกิดตามกล้ามเนื้อแขน ขา และลำตัวซึ่งเกิดจากการเกร็งเครียดและต่อต้านในช่วงที่ถูกพ่อบุญธรรมหนุ่มรุกราน            ในที่สุดก็ทำสำเร็จ            แต่...ปรากฏว่าคนเมาหลับไม่รู้ตัวกลัววาดวงแขนกอดรัดเธอเอาไว้แน่น ผลักดัน แกะ แงะเท่าไหร่ก็ไม่ยอมปล่อย พอออกแรงมากๆ อีกฝ่ายก็ครางประท้วงคล้ายไม่ชอบใจเอาหนักหนา บัวบงกชจึงจำต้องยอมอยู่เฉยเสียดีกว่า เพื่อไม่ให้เขาตื่นขึ้นมาอาละวาดกับเธออีก ไม่เช่นนั้นความโชคดีอาจไม่เข้าข้างเหมือนเช่นในครั้งแรก            "ทำไมเรื่องบ้าๆ แบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับเราด้วย แม่จ๋าหนูขอโทษ หนูไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นเลย หนูจะทำอย่างไรดี" เธอพ้อกับฝ้าเพดานห้อง ครวญหามารดาผู้ล่วงลับ ในหัวอกนั้นแค้นแน่นจนจุกจนต้องกลืนความทุกข์ระทมนั้นให้หายลงคอไป                                                                                   บัวบงกชคิดว่าอีกสักครู่องศาคงคลายอ้อมแขนที่กักขังเธอประหนึ่งงูเหลือมรัดเหยื่อนี้ในอีกไม่ช้า เมื่อเขาหลับสนิทดีแล้ว เธอจึงแน่นิ่งผ่อนลมหายใจและคอยลอบสังเกตการณ์พ่อบุญธรรมหนุ่ม จนกระทั่ง...เผลอผล็อยหลับไปไม่รู้ตัว                                                                                                                                                                                       อรุณรุ่งมาเยือนอีกครั้ง สลับกับดวงจันทร์สีนวลที่หลบหายไปกับเส้นขอบฟ้า ค่ำคืนอันมืดมิดถูกแทนที่ด้วยแสงรำไรที่ส่องสว่างเข้ามา             ร่างใหญ่ขยับตัวตื่นด้วยความเคยชินเมื่อถึงเวลา แม้จะมีอาการมึนและหนักศีรษะอยู่ แต่สัญชาตญาณของการต้องลุกทำภารกิจแต่เช้าเป็นกิจวัตร มันกระตุ้นให้เขาจำต้องละทิ้งนิทราด้วยความเสียดายและขยับตัว            บางอย่างที่ผิดปกติและไม่คุ้นชินทำให้ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วและรับหันหน้าไปมองด้านข้าง แล้วหัวใจอันแกร่งเกรี้ยวเหมือนหินผาก็มีอันต้องอ่อนวูบ เลือดลมสูบฉีดจนร้อนผ่าวไปทั่งร่างภายในช่วงเวลาเพียงไม่ถึงเศษเสี้ยวนาที            "โมบาย...นี่มันอะไรกัน..." อาการเมาค้างอาจทำให้เขาผิดปกตินิดหน่อย แต่คงไม่ถึงขนาดตาฝาดพร่ามัวจนเห็นลูกเลี้ยงของตัวเองนอนหลับใหลอย่างเป็นสุขอยู่ข้างๆ ไปได้หรอก นอกเสียจากมันจะเป็นความจริง            "โมบาย! โมบายตื่น นี่มันเกิดอะไรขึ้น!" เสียงทุ้มห้าวร้องเรียกคนนอนหลับให้ตื่นโดยไม่แตะต้องตัวเธอแม้แต่น้อย สายตาคมวาวนั้นจับจ้องด้วยความสับสนและหวาดหวั่น            "คุณเฮิรตซ์..." บัวบงกชงัวเงียกระพือตาตื่นขึ้นมาตามเสียงด้วยความง่วงที่ยังคั่งค้าง แต่พอเห็นและลำดับเหตุการณ์ได้เท่านั้นแหละเธอก็ลุกพรวดดีดตัวขึ้นมานั่งและคว้าผ้าห่มมาคลุมตัวโดยอัตโนมัติ            "คุณ...คุณเฮิรตซ์..."                                                                  "มันเกิดอะไรขึ้นทำไมเธอมานอนในห้องนี้" ดวงตาแดงก่ำของเขาจ้องราวจะกินเลือดกลืนเนื้อ หญิงสาวห่อตัวสั่นหลบหน้าด้วยความกระดากใจ            เขาลืม...แต่เธอจำได้ทุกเศษเสี้ยวของช่วงวินาทีนั้น...            "คือ...คุณเมาหนูก็เลยพยุงเข้ามานอน แล้ว...แล้ว"            "แล้วอะไร..."            "คือ คุณตัวหนักมากแล้วล้มทับหนู หนูขยับตัวไม่ได้ก็เลยรอให้คุณพลิกตัวเอง แล้วสงสัยจะเผลอหลับไปค่ะ"            "แค่นั้น..." อีกฝ่ายตะแคงใบหน้าถามซ้ำจดจ้องคาดคั้น            "ค่ะ..."            "ฉัน...ไม่ได้ทำอะไรเธอใช่ไหม"            "ไม่! ไม่เลยค่ะ คุณเมามากๆ แทบยืนไม่อยู่ด้วยซ้ำ คุณไม่ได้ทำอะไรหนูวางใจได้นะคะ"            "อืม...ถ้างั้นก็ขอโทษด้วยนะที่ทำให้ลำบาก"            "ค่ะ คือสายแล้วหนูต้องไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน" เด็กสาวกระวีกระวาดลุกจากที่นอนขนาดคิงไซส์นั้น แล้วเปิดประตูห้องรีบวิ่งออกไปโดยไม่คิดหันกลับมามองเขาอีก องศาสะบัดศีรษะด้วยความปวดหนึบและพยายามคร่ำคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน            "ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย..." ด้วยสัญชาตญาณของตัวเอง แน่นอน...ชายหนุ่มมั่นใจว่าสิ่งที่บัวบงกชพูดมานั้นไม่ใช่เรื่องจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ หากแต่ไม่แน่ใจว่ามีสิ่งใดซ่อนเร้นอยู่บ้าง            ได้แต่หวัง...ว่าความเถื่อนต่ำในตัวเขาคงยังพอมีขอบเขตและศีลธรรมหลงเหลืออยู่บ้าง            ฤทธิ์ของเมไรที่ยังคั่งค้างอยู่ในตัว ดูเหมือนจะไม่ยอมสงบง่ายๆ ทั้งปวดหัวปวดขมับลามเลยไปถึงเบ้าตาและส่งผลให้ร่างกายต้องกายร้อนรุ่มไปหมด ต้องการน้ำดื่มเพื่อบรรเทาความกระหายอย่างหนัก เพราะแอลกอฮอลล์มันแผดเผาคอจนแห้งผาก กลืนน้ำลายยังเจ็บฝืดระคายเคือง            องศาพยุงร่างซบเซาของตัวเองลุกจากที่นอนบ้าง แม้จะมีกิจการเป็นของตัวเองแต่เขาก็ต้องทำงาน เรื่องเมาเป็นเรื่องปกติ แต่เมาจนไม่ได้สติมันมักไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก และถึงขนาดต้องทิ้งงานทิ้งการเพื่อเป็นทาสสุราอย่างสมบูรณ์แบบ มันก็ไม่ใช่ตัวตนของเขาอีกเช่นกันนั่นแหละ            หลายคน...ไม่รู้หรอกว่าบุคลิกภายนอกที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนมีความรับผิดชอบ เป็นแฟมิลี่แมนเต็มตัว ในอีกซีกด้านหนึ่งนั้น...กลับเคลือบแฝงไว้ด้วยความดำมืดทมิฬจนน่าหวาดกลัว...จนไม่อาจนึกเดาคาดคิดไปถึง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD