สีหน้ากับแววตาที่แปรเปลี่ยนไปแม้เพียงเล็กน้อยทำให้มู่อวี้เหอรีบเดินเข้าไปใกล้ ฝ่ามือกระด้างจากการฝึกซ้อมกระบี่มาอย่างหนักให้ความระคายเคืองเล็กน้อย แต่นางกลับไม่สามารถหลบหลีกสัมผัสของเขาได้เลย
“เป็นอะไร ป่วยอีกหรือไม่”
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” นางยอบกายลงเล็กน้อย “ขอบคุณพี่ชายรองที่ห่วงใย”
ท่าทางประหม่าคล้ายหวาดหวั่นที่อีกฝ่ายแสดงออกช่างไม่คุ้นตาเลยสักนิด ยังจำได้ดีว่าก่อนน้องสามจะล้มป่วย อีกฝ่ายชอบเกาะแกะเขาแค่ไหน ปากอิ่มหวานสีชมพูมักเรียกขานว่าพี่ชายรองเจ้าคะ พี่ชายรองเจ้าขา นางสนิทกับเขามากกว่าพี่ใหญ่เสียอีก แต่ดูเหมือนตอนนี้คงต้องหาทางทำความคุ้นเคยกับนางเฉกเช่นในอดีตเสียแล้ว
“ให้พี่ชายรองมองเจ้าให้ชัดหน่อย พี่ชายรองจะได้แน่ใจว่าน้องสาวคนนี้หายป่วยแล้วจริงๆ”
จู่ๆ เจ้าของร่างสูงใหญ่ขยับมายืนตรงหน้าอย่างใกล้ชิด ดวงตาคมเข้มที่เก็บงำทุกความนึกคิดคู่นั้นทำให้เจ้าของร่างบางหลุบตาลงต่ำ ริมฝีปากเม้มแน่น แม้แต่มือใต้ชายแขนเสื้อก็ยังสั่นไหว
การถูกบุรุษแปลกหน้าที่ไม่เคยคุ้นมาก่อนใช้แววตาพินิจพิเคราะห์เช่นนี้ก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ถาโถม หนำซ้ำยิ่งถูกเขาจ้องมองเท่าไร หัวใจของนางก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้น ดังนั้นเพื่อจบสถานการณ์ชวนอึดอัดจึงต้องเงยหน้าแล้วฝืนยิ้มออกมา
หนึ่งแย้มยิ้มแม้เพียงบางเบาแต่กลับงดงามเหนือดอกไม้ทั้งมวล เพียงมู่อวี้เหอได้สบสายตาของน้องสาวต่างมารดาผู้นี้เขาถึงกับต้องเกร็งตัวขึ้น ใบหน้าที่โน้มลงหวังจะดูหน้าของน้องสามให้ชัดจำต้องถอยห่าง
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ยังเก็บงำท่าทีทุกอย่างไว้ทั้งหมด เพลานี้ดวงตาคมเข้มเลือกเบนไปยังฝูงปลาในสระอีกครั้ง
“ดูเหมือนน้องสามจะดีขึ้นแล้ว พี่ชายรองดีใจจริงๆ”
มู่ซูเจินทำเพียงคลี่ยิ้มแล้วยืนเงียบๆ ชมปลาตัวเล็กตัวน้อยที่แหวกว่ายอยู่ในสระน้ำเบื้องหน้า ดูเหมือนพี่ชายรองเองก็ไม่คิดจะพูดทำลายบรรยากาศเช่นกัน ช่วงเวลาที่ยังไม่ผ่านพ้นยามเฉินเช่นนี้แสงแดดยังไม่จ้ามากนัก รอบๆ กายยังคงมีสายลมของปลายฤดูใบไม้ผลิพัดพาความชุ่มเย็นเข้ามาอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นคนเพิ่งหายป่วยอย่างนางก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี
ท่าทีกระชับเสื้อคลุมกันลมของน้องสามไม่ได้พลาดจากสายตาของมู่อวี้เหอเลยสักนิด องครักษ์หนุ่มจึงรีบถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ของตนคลุมบนบ่าบางนุ่มอีกที แถมยังผูกเชือกให้ด้วยกิริยาอ่อนโยนอีก
จู่ๆ ถูกพี่ชายรองเข้ามาใกล้ชิดอีกครั้ง ก้อนเนื้อในอกที่เพิ่งสงบลงเมื่อครู่พลันเต้นแรงจนต้องกำมือไว้แน่น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่อาจถอยห่างจากอีกฝ่ายได้เลย
“ขอบคุณพี่ชายรอง” นางทำได้เพียงพึมพำด้วยแก้มร้อนๆ
“ช่วงนี้น้องสามเพิ่งหายป่วย พี่ชายรองว่าน้องสามกลับไปพักที่เรือนดีหรือไม่ เอาไว้ให้แข็งแรงกว่านี้ค่อยออกมาชมสวน” ระหว่างพูดสีหน้ากับแววตาขององครักษ์หนุ่มยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นดังแสงแรกของตะวัน “รู้ใช่หรือไม่ ว่าพวกเราทุกคนเป็นห่วงเจ้า”
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้าค่ะ”
นางได้แต่ตอบรับอย่างว่าง่าย ก่อนจะรีบถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่คืนให้ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้า บอกแค่เพียงให้นางไปถึงเรือนแล้วค่อยมอบให้สาวใช้นำมาคืน มู่ซูเจินจึงทำได้เพียงยอบกายกล่าวลาแล้วเดินนำสาวใช้คนสนิทกลับไปยังเรือนพำนัก โดยไม่รู้เลยว่าสายตาของพี่ชายรองยังคงมองตามแผ่นหลังของนางอย่างไม่อาจละสายตาไปทางอื่น อาจเป็นเพราะสำหรับมู่อวี้เหอแล้ว การได้พูดคุยกับน้องสามในครั้งนี้ให้ทั้งความรู้สึกคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยปะปนกัน
ระหว่างทางเดินกลับเรือนเร้นจันทร์ มู่ซูเจินเก็บงำความสงสัยมากมายเอาไว้ จนกระทั่งเข้าห้องชั้นในถึงได้สั่งให้เสี่ยวจีและคนอื่นๆ ออกไปด้านนอก เหลือเพียงเสี่ยวเหยาไว้คอยรับใช้นางเพียงผู้เดียวเท่านั้น
เสื้อคลุมจากพี่ชายรองถูกถอดและพับเก็บไว้ด้านข้างตั่งตัวยาวอย่างเรียบร้อย แล้วนางก็เอนกายลงบนตั่งนั้นด้วยท่าทางอ่อนแรงยิ่ง สายตายังคงมองผ่านหน้าต่างออกไปด้านนอก เฉกเช่นวันเวลาก่อนหน้านี้ไม่มีผิด แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจไม่เปิดปากถามสิ่งที่สงสัยออกมาได้
“เสี่ยวเหยา”
จู่ๆ คนหนูผู้นั่งเงียบมาเกือบครึ่งก้านธูปเอ่ยปากขึ้นเช่นนั้น เสี่ยวเหยาซึ่งคอยรับใช้อยู่ด้านข้างจึงรีบเดินเข้ามาหา
“คุณหนู มีอะไรให้บ่าวทำหรือเจ้าคะ”
เจิ้งซวีจูในร่างมู่ซูเจินพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัวเพื่อไม่ให้สาวใช้ใกล้ชิดเกิดความสงสัยใดๆ เวลาผ่านไปเกือบครึ่งถ้วยชาถึงได้เอ่ยถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าแม้อาการป่วยข้าจะดีขึ้น แต่ความทรงจำก่อนหน้านั้นกลับจำได้ไม่ค่อยดีนัก”
“คุณหนู!” เสี่ยวเหยาตกใจไม่น้อย
นางจึงได้แต่รีบกุมมืออีกฝ่ายบีบไว้แน่น แววตาที่ทอดมองอยู่ล้วนบอกว่าไม่เป็นไร
“อีกหน่อยข้าจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง เจ้าวางใจเถอะ แต่...ข้าอยากรู้ว่ากาลก่อนนั้นข้าสนิทกับพี่ชายรองมากหรือไม่”
คงเป็นเพราะเสี่ยวเหยาคอยรับใช้ดูแลนางมานานใช่หรือไม่ แววตาที่อีกฝ่ายกำลังมองมาในตอนนี้ถึงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดมากมาย แถมยังข่มกลั้นไม่ไหวจนต้องปล่อยน้ำตาไหลอาบแก้ม
มู่ซูเจินหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเช็ดให้สาวใช้อย่างอ่อนโยนและไม่นึกรังเกียจเลยสักนิด “อย่าร้องไห้เลย ตอนนี้เจ้าก็เห็นไม่ใช่หรือว่าข้าดีขึ้นแล้ว”
“คุณหนู อย่าเช็ดน้ำตาให้บ่าวเลยเจ้าค่ะ ผ้าเช็ดหน้าของคุณหนูล้ำค่านัก” เสี่ยวเหยาหักห้าม รับผ้าเช็ดหน้าไปแล้วก็รีบปัดคราบน้ำตาออก “เปื้อนหมดแล้ว เดี๋ยวบ่าวไปซักให้นะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าเก็บไว้ดีหรือไม่ หรือถ้าเจ้าไม่ชอบผ้าเช็ดหน้าลายปักผืนนี้ เดี๋ยวข้ามอบให้อีกหลายๆ ผืนเลย”
นางทั้งปลอบทั้งเช็ดน้ำตาให้ “เอาเถอะ เลิกร้องแล้วตอบมา ข้ากับพี่ชายรองสนิทกันมากหรือไม่”
“สนิทกันเจ้าค่ะ ตอนที่คุณหนูยังไม่ป่วย คุณชายรองกับคุณหนูมักเดินเล่นด้วยกันเป็นประจำ เวลาที่คุณชายรองไปข้างนอกก็จะซื้อขนมกับของขวัญมาให้คุณหนูเสมอ ดูเหมือนคุณชายรองจะสนิทกับคุณหนูมากกว่าคุณหนูสี่อีกเจ้าค่ะ”
“น้องสี่หรือ”
“เจ้าค่ะ”
เสี่ยวเหยาพยักหน้าหงึกๆ แล้วอธิบายต่อ “จะว่าไปแล้ว สำหรับคุณหนูบ่าวเห็นว่า คุณชายใหญ่จะเข้มงวดส่วนคุณชายรองตามใจคุณหนูเป็นอย่างมาก ยามที่คุณหนูหกล้มเดินไม่ได้ คุณชายรองมักแบกคุณหนูขึ้นหลังอยู่บ่อยๆ ส่วนคุณชายใหญ่ชอบนำยามาทาแผลให้คุณหนูแรงๆ เรียกได้ว่าคุณชายใหญ่ทำให้คุณหนูร้องไห้บ่อยจริงๆ เจ้าค่ะ”
“พี่ชายใหญ่ชอบแกล้งข้าหรือ”
“ถึงจะชอบแกล้ง แต่คุณชายใหญ่ก็รักคุณหนูมากนะเจ้าคะ หลายปีที่คุณหนูป่วย เวลาว่างจากงานในวัง คุณชายใหญ่มักมาเฝ้าอยู่ข้างเตียงคุณหนูตลอด ที่คุณหนูยังไม่เห็นหน้าคุณชายใหญ่ในตอนนี้เป็นเพราะคุณชายใหญ่ไปทำงานอยู่นอกเมืองหลวง แต่อีกไม่นานก็คงจะกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ”
พยักหน้า แล้วลอบถามต่อทันที “แล้วท่านพ่อเล่า ดีต่อข้าหรือไม่”
“ใต้เท้า ดีต่อคุณหนูที่สุดเจ้าค่ะ”
นางไม่กล้าถามถึงท่านแม่ เพราะจากที่พบกันในก่อนหน้านี้ ท่านแม่คงรักทะนุถนอมเจ้าของร่างนี้มากจริงๆ ดูเหมือนตั้งแต่หายป่วยคนที่นางยังไม่พบหน้าก็คงจะเป็นฮูหยินรองกับน้องสี่กระมัง แล้วก็รวมถึงพี่ชายใหญ่ด้วย ไม่รู้ว่าพบกันแล้วพวกเขาทั้งสามคนจะคิดเช่นไรบ้าง แต่นั่นเป็นเรื่องของวันข้างหน้า สิ่งที่ควรคิดในตอนนี้คงมีเพียง เหตุใดวินาทีแรกที่พบหน้าพี่ชายรอง หัวใจของนางถึงได้เต้นแรงขนาดนั้น แม้กระทั่งในยามนี้ความรู้สึกเช่นนั้นก็ยังตราตรึงไม่รู้ลืม
ดังนั้นก่อนจะเผยความผิดปกติให้เสี่ยวเหยาเห็น ก็ได้แต่มองไปยังเสื้อคลุมกันลมที่วางเอาไว้พลางยิ้มพูด “เจ้านำเสื้อคลุมของพี่ชายรองไปซักให้ดีแล้วนำไปส่งคืนพี่ชายรองให้เรียบร้อย”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
“แล้วก็อย่าลืมขอบคุณพี่ชายรองแทนข้าด้วยเล่า”
“เจ้าค่ะคุณหนู” เสี่ยวเหยายิ้มรับ ก่อนจะหมุนตัวออกไปทำตามคำสั่งอย่างรีบร้อน
เมื่อเสี่ยวเหยาออกไปได้ไม่นานนัก เสี่ยวจีก็เข้ามาคอยรับใช้ใกล้ชิดแทน ท่าทีหลุบตาเหมือนมีเรื่องอยากพูดเช่นนั้นทำเอามู่ซูเจินต้องละสายตาจากทิวทัศน์ด้านนอกเรือน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบยิ่ง
“เสี่ยวจี เจ้าอยากพูดอะไรกับข้าเช่นนั้นหรือ”
“คุณหนู” เสี่ยวจีคุกเข่าลง “บ่าวมีบางสิ่งต้องพูดกับคุณหนูเจ้าค่ะ”
“ว่ามาสิ”
ท่าทางของเสี่ยวจีในยามนี้ดูระมัดระวังนัก พอสอดส่ายสายตาจนแน่แก่ใจว่าไม่มีผู้อื่นอยู่ ถึงได้คลานเข่าเข้ามานั่งหน้าตั่งตัวยาวแล้วกระซิบเบาๆ “ก่อนคุณชายใหญ่จะออกจากจวนได้สั่งบ่าวว่าให้ดูแลคุณหนูดีๆ ไม่อาจไว้ใจผู้ใดได้ ดังนั้น...”
ครั้นเสี่ยวจีไม่กล้าพูดต่อ นางจึงได้แต่เอ่ยอย่างเข้าใจ “ให้ข้าระวังพี่ชายรองใช่หรือไม่”
“เหตุใดคุณหนูถึงรู้ล่ะเจ้าคะ”
“ก็ไม่ใช่เพราะวันนี้ข้าบังเอิญพบกับพี่ชายรองหรอกหรือ เจ้าถึงได้เป็นกังวลจนต้องหาทางพูดกับข้าเช่นนี้”
“จนกว่าสาเหตุของการป่วยไข้ตลอดหกปีของคุณหนูจะกระจ่าง นอกจากคุณชายใหญ่กับฮูหยินแล้ว ทุกคนล้วนไว้ใจไม่ได้เจ้าค่ะ”
“นั่นก็หมายรวมถึงเจ้าด้วยใช่หรือไม่” ไม่ว่าเสี่ยวจีจะเป็นคนซื่อสัตย์ต่อเจ้าของร่างนี้จริงหรือไม่ เพื่อพิสูจน์ให้รู้อย่างถ่องแท้นางก็จำเป็นต้องเอ่ยออกมา และเพียงอีกฝ่ายคุกเข่าคำนับด้วยตาแดงๆ เช่นนั้น มันก็ช่วยให้ความสงสัยของนางหายไปได้มากทีเดียว ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่เสี่ยวจีว่า นอกจากท่านแม่ พี่ชายใหญ่ และเสี่ยวเหยาแล้ว แม้แต่บิดาแท้ๆ ก็ไว้วางใจไม่ได้ ทว่าสำหรับพี่ชายรองแล้ว นางอยากรู้เหลือเกินว่า นางจะไว้วางใจเขาไม่ได้เชียวหรือ