เสี่ยวเหยาพยักหน้าหงึกหงัก แล้วกระซิบเสียงเบา “แม้จะอยู่ภายในจวนของเรา แต่เรื่องที่คุณหนูล้มป่วยก็ยังเป็นปริศนาอยู่ ดังนั้นคุณชายใหญ่จึงส่งเสี่ยวจีมาอยู่ข้างกายคุณหนู ถ้ายังไงให้เสี่ยวจีติดตามไปอีกคนนะเจ้าคะ”
นี่คงเป็นครั้งแรกที่มู่ซูเจินใช้สายตาพิจารณาเสี่ยวจีที่ เสี่ยวเหยาเอ่ยถึง ดูแล้วเสี่ยวจีอายุมากกว่านางหลายปี ท่าทางสงบเสงี่ยมดูเรียบร้อย นับตั้งแต่ถูกนางจ้องอีกฝ่ายก็ไม่แม้จะเงยหน้าขึ้นมาเลยสักนิดเดียว ดวงตาหลุบต่ำมองเพียงปลายรองเท้าของตนเองเท่านั้น
“ถ้าเช่นนั้น วันนี้ก็ให้เสี่ยวเหยากับเสี่ยวจีติดตามข้าเพียงสองคนก็พอ พวกเจ้ากลับไปดูแลความเรียบร้อยในเรือนเถิด”
นางเอ่ยแค่นั้นสาวใช้สี่คนพลันยอบกายคำนับถอยกลับไปอย่างเร่งร้อน เมื่อไม่มีผู้อื่นทำให้อึดอัดสายตา บรรยากาศรอบด้านก็ดูผ่อนคลายขึ้น แต่เพราะยังฟื้นความจำจากเจ้าของร่างได้ไม่หมด การไปยังสวนล้อมจันทร์จึงต้องพึ่งพาเสี่ยวเหยาอยู่ดี
“เจ้านำทางเถิด”
“เจ้าค่ะคุณหนู” เสี่ยวเหยาลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สุดท้ายความสงสัยก็มลายหายไป เพราะนึกขึ้นได้ว่าบางทีคุณหนูอาจจะลืมเลือนเส้นทางที่ไปยังสวนล้อมจันทร์จริงๆ ก็ได้ ในเมื่อก่อนหน้านี้คุณหนูนอนป่วยอยู่แต่ในเรือน สภาพแวดล้อมภายในจวนเปลี่ยนแปลงไปมากมายแค่ไหนก็อาจไม่กระจ่างใจนัก สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คงมีแค่เพียงคอยช่วยให้คุณหนูกลับมาใช้ชีวิตได้ราบรื่นยิ่งขึ้น แถมระหว่างนี้ยังต้องคอยปกป้องคุณหนูเป็นอย่างดีอีกด้วย
แน่นอนว่าทิวทัศน์จวนตระกูลองครักษ์ข้างกายฮ่องเต้ย่อมงดงาม มีพืชพันธุ์หายากล้ำค่าจากภายในแคว้นและต่างแคว้นมากมาย ดอกไม้ต้นไม้แต่ละชนิดล้วนได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดียิ่ง บางส่วนยังเป็นของพระราชทานจากเจ้าผู้ครองแคว้น สวนล้อมจันทร์แห่งนี้จึงล้วนงดงามเหนือสวนดอกไม้ในตระกูลเจิ้งของนางมากมายนัก
เสี่ยวเหยากับเสี่ยวจีนึกว่าพอคุณหนูสามออกมาเดินเล่นชื่นชมความงดงามของดอกไม้ที่กำลังผลิบานแล้วจะมีสีหน้าที่ดีขึ้นกลับต้องลอบประสานสายตากัน เพราะยิ่งคุณหนูมองดอกโบตั๋นที่กำลังอวดช่องดงามมากเท่าไรกลับดูเศร้าโศกมากขึ้นเป็นเท่าตัว
และก่อนที่จะได้ยินสาวใช้คนสนิทเอ่ยอะไร มู่ซูเจินพลันฝืนยิ้มพูด
“เดินต่อเถิด ข้าอยากไปดูสะพานโค้งตรงนั้น”
“ตอนนี้ในบึงไม่เหลือดอกบัวแย้มกลีบบานให้คุณหนูได้ชมแล้ว แต่ฝูงปลาในน้ำก็ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง คุณหนูลองให้อาหารปลาสักหน่อยดีไหมเจ้าคะ”
เสี่ยวเหยาพยายามหากิจกรรมให้ทำอย่างกระตือรือร้น
“ปลาพวกนั้นน่ารักนักเจ้าค่ะ”
“ไปเถิด”
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้สัมผัสถึงความเอาใจใส่เช่นนี้ มู่ซูเจินจึงไม่หวงรอยยิ้มเอาไว้อีก ในเมื่อเสี่ยวเหยาหวังดีอยากให้นางสดใสร่าเริงแล้วจะกล้าทำให้อีกฝ่ายผิดหวังได้เช่นไร การแสดงออกเช่นนั้นแม้จะทำไม่เป็นก็ต้องหัดเรียนรู้ไว้
ทันทีที่มาถึงสะพานโค้งสลักลายนกอินทรีเล่นน้ำ ปากสีน้ำตาลของนกอินทรีสีขาวตัวนั้นจมลงไปในน้ำเกือบครึ่งทำให้นางได้แต่มองยิ้มๆ ก่อนจะรับอาหารปลาจากเสี่ยวจีโยนลงไป
“เจ้าปลาพวกนี้น่ารักนัก”
“น่ารักจริงๆ เจ้าค่ะคุณหนู”
“แต่คงดีกว่านี้ ถ้าหากพวกมันไม่ได้ถูกกักกันให้อยู่แต่ในสระน้ำของจวนเรา เจ้าว่าถ้าพวกมันได้พบสระน้ำที่กว้างใหญ่กว่านี้ พวกลูกปลาจะมีความสุขหรือไม่”
“บางที ปลาอาจจะชอบอยู่ในบึงของจวนเราก็เป็นได้ ในเมื่ออยู่ที่นี่พวกมันมีอาหารกิน มีน้ำใสๆ ได้ว่ายเล่น อีกอย่างว่ายออกไปสระน้ำด้านนอก อาจจะถูกจับไปทำอาหาร ถ้าเป็นเช่นนั้นชีวิตของพวกมันก็ยากจะรักษาไว้แล้ว”
เพียงเสียงทุ้มนุ่มดังแทรกขึ้น มู่ซูเจินก็ได้เห็นบ่าวรับใช้ทั้งสองยอบกายลงอย่างอ่อนช้อย
“คารวะคุณชายรอง”
‘คุณชายรอง’
ฐานะนี้ทำให้ร่างกายบางระหงดุจกิ่งหลิวต้องลมเกร็งสะท้านขึ้น นางไม่กล้าแม้แต่จะมองไปยังพี่ชายเจ้าของร่างเลยแม้แต่นิด เพราะในใจลึกๆ ยังคงหวาดหวั่นว่าคนใกล้ชิดเหล่านี้จะจับสังเกตเห็น จึงได้แต่หลุบตามองเพียงรองเท้าปักลายบุปผาสีฟ้าเท่านั้น แถมภายในใจลึกๆ ยังเต้นถี่รัวจนยากจะควบคุมอีกด้วย
เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะหนักแน่นค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ จนมองเห็นชายชุดสีน้ำเงินเข้มปักด้วยลายปีกนกสีดำ รองเท้าที่สวมอยู่นั้นก็ดูล้ำค่าไม่น้อย แต่ถึงอีกฝ่ายจะยืนอยู่ตรงหน้าทว่าในระหว่างที่ยอบกายคำนับเขา มู่ซูเจินก็ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
“พี่ชายรอง”
มู่อวี้เหอทอดสายตามองน้องสาวผู้เพิ่งจะหายจากอาการป่วยด้วยแววตาทอยิ้ม ก่อนจะประสานมือคำนับกลับ
“น้องสาม”
ครั้นอีกฝ่ายยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้น หัวหน้าองครักษ์แห่งวังหลวงพลันขยับมายืนข้างๆ ทอดสายตามองไปยังฝูงปลาในสระน้ำด้วยท่าทีสนใจ แต่เสียงทุ้มนุ่มดุจบ่อน้ำไร้คลื่นลมกลับเอ่ยถามคนข้างๆ
“อาการป่วยของเจ้าดีขึ้นมากแล้วใช่หรือไม่ พี่รองเพิ่งได้ตำรับยาบำรุงร่างกายมา เอาไว้จะนำไปมอบให้เจ้าที่เรือน ร่างกายของเจ้าจะได้แข็งแรงขึ้นเร็วๆ”
มือบางทั้งสองข้างที่ซ่อนอยู่ใต้ชายแขนเสื้อสั่นเทาจนเจ้าตัวต้องกำไว้แน่น จนกระทั่งเสียงของพี่ชายรองดังขึ้นอีกครั้ง
“อะไรกัน ไม่ได้พูดคุยกันตั้งนาน น้องสามไม่คิดจะเงยหน้ามองพี่ชายรองสักหน่อยหรือ”
นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองกันแน่ พอได้ยินเสียงเรียกร้องแสนอ่อนโยนจากบุรุษตรงหน้า การต่อต้านที่ควรมีหรือแม้แต่ควรคิดถึงเรื่องหลีกหนีกลับหายไปจนหมดสิ้น ทำได้เพียงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ เท่านั้น
แววตาอบอุ่นอ่อนโยน ใบหน้าคมคร้ามผ่านการกรำแดดฝนมาอย่างหนัก แต่กลับดูคมคายหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง ปลายจมูกกับริมฝีปากนั้นดูดียิ่งกว่าพี่ชายหลายคนที่อยู่ในจวนสกุลเจิ้งของนางเสียอีก ท่าทีก็ดูอบอุ่น อาภรณ์ที่สวมใส่แม้จะไม่มีลวดลายใดๆ มากมายนักแต่กลับไม่อาจเก็บงำประกายความเฉียบคมของเขาได้เลย
ที่สำคัญเพียงสบประสานกับนัยน์ตาสีดำเข้มคู่นั้นหัวใจดวงน้อยภายใต้อกซีกซ้ายกลับเต้นถี่รัว แรงจนต้องขยับตัวถอยห่างออกมาหลายก้าว ความอึดอัดใจเต้นระรัวเช่นนี้คืออะไรกันแน่ เขาคือพี่ชายรองของนางไม่ใช่หรือ แต่เหตุใดหัวใจของนางถึงเต้นเพราะเขาได้