5. ไม่ชอบ (2)

1830 Words
ฉันเดินเข้ามาในฮอลล์เพื่อดูพวกเขาซ้อมเพลงต่อ ในตอนที่ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองบนเวที ฉันก็เห็นแววตาของควินน์มองมาที่ฉันดูไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่นักถ้าดูจากสายตาที่ฉันอ่านได้ ซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจว่าฉันไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจตอนไหน ทั้งที่วันนี้เราสองคนแทบไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ “แปะ แปะ แปะ” เสียงปรบมือจากเหล่าทีมงานที่จัดสถานที่พากันปรบมือรัวๆ เมื่อคอนเสิร์ตแสดงจบลงไป ฉันจึงหันไปส่งซิกเป็นสัญญาณให้น้องที่เป็นผู้ช่วยของฉันไปเรียกนักข่าวและทีมงานของเขาอีกหนึ่งคนเข้ามาเพื่อเก็บภาพเหล่าสมาชิกวงแบดกายแบบห่างๆ ไม่รบกวน “เหนื่อยกันมากไหมคะ นี่ค่ะผ้าเย็น” ฉันเดินแจกผ้าเย็นให้กับพวกเขาทั้งห้าคนโดยไม่ได้ยิ้มออกมาให้พวกเขา จนมาถึงเขาที่รับผ้าเปียกไปพร้อมกับดึงมือฉันไว้ด้วย “มีอะไรหรือเปล่า...คะ” ฉันเอ่ยถามควินน์ที่ยังจับมือฉันไว้ไม่ยอมปล่อย “ไปไหนมา” น้ำเสียงเรียบนิ่งกับคำถามสั้นๆที่ฉันต้องพยายามเข้าใจได้เองว่าเขาหมายถึงอะไรซึ่งในน้ำเสียงที่แฝงด้วยความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ฉันชะงักนิ่งไปสักพักก่อนจะพูดตอบออกไป “ไปไหน...หมายถึงตอนไหนเหรอ” ฉันพยายามเข้าใจคำถามของเขาที่เอ่ยออกมา นี่เขาอยู่บนเวทีแล้วยังมีเวลามามองดูฉันตลอดเลยเหรอถึงได้รู้ว่าช่วงไหนฉันหายไป “ตอนที่....” “สวัสดีครับ” เสียงของนักข่าวคนนั้นเข้ามาขัดจังหวะพอดีในขณะที่ควินน์กำลังจะพูดออกมา แล้วพอมีบุคคลที่สามเข้ามาเขาก็ยอมปล่อยมือฉันพร้อมกับเดินไปรวมกับคนอื่นๆที่นั่งพักและดื่มน้ำ และกินขนมตามอัธยาศัย “เชิญเก็บภาพได้ค่ะ อย่างที่ฉันขอไว้นะคะ อย่ารบกวนพวกเขา” ฉันบอกนักข่าวคนนั้นก่อนจะเดินไปบอกทุกคนในวงถึงการมาของนักข่าวคนนี้ “ทุกคนคะ คือว่ามีสำนักข่าวที่หนึ่งอยากขอมาเก็บภาพหลังซ้อมหน่อยนะคะ แต่ไม่มีการสัมภาษณ์ใดๆทั้งสิ้น แค่ขอเก็บภาพเท่านั้น ซึ่งทุกคนทำตัวตามสบายได้เลยค่ะ” ฉันบอกออกไปให้ทุกคนได้รับรู้ แล้วเมื่อได้การตอบกลับด้วยการพยักหน้าจากทุกคนที่เป็นการบอกว่าอนุญาต ฉันจึงเดินไปหานักข่าวคนดังกล่าวพร้อมกับทีมงานที่มากับเขาอีกหนึ่งคน “เก็บภาพได้เลยค่ะ” ฉันบอกออกไปก่อนจะเดินไปคุยกับน้องผู้ช่วยถึงอาหารเย็นวันนี้ของพวกเขาทั้งห้าคนว่าจะจัดการให้พวกเขารับประทานกันที่ไหน “ว่าไงบ้าง” ฉันเดินไปหาน้องผู้ช่วยของฉันหลังจากที่เห็นเธอเพิ่งวางสายโทรศัพท์ไป “ได้ร้านพื้นเมืองของภูเก็ตค่ะ แต่ว่าเขาทำอาหารภาคกลางได้ แล้วอีกอย่างคือมีมุมส่วนตัวด้วย จินว่าพวกเขาห้าคนน่าจะโอเคนะคะ” น้องที่เป็นผู้ช่วยของฉันบอกออกมาเพื่อให้ฉันตัดสินใจ “งั้นจินจองร้านนี้ได้เลยนะ เดี๋ยวนักข่าวคนนั้นเก็บภาพพวกเขาเสร็จ พี่จะได้บอกพวกเขาทั้งห้าคนว่าจะพาไปร้านนั้น ย้ำที่ร้านด้วยว่าเราขอมุมที่เป็นส่วนตัวที่สุด ไม่ต้องการให้ใครเข้ามารบกวน” “ได้ค่ะพี่โรส เดี๋ยวจินจัดการให้” “ขอบใจจ้า เดี๋ยวพี่ไปดูพวกเขาก่อนนะ ฝากเรื่องอาหารด้วย อาหารตามที่พี่ลิสต์ไว้เลยของแต่ละคน อาจจะเพิ่มอาหารขึ้นชื่อของร้านสักสองสามอย่างด้วยก็ดีนะ พวกเขาจะได้ลองอะไรใหม่ๆบ้าง” ฉันเดินกลับไปหาเขาทั้งห้าคนที่กำลังนั่งพักผ่อนหลังซ้อมใหญ่จบลงไป โดยมีช่างภาพตามเก็บภาพโดยที่พวกเขาทำเหมือนว่านักข่าวคนนั้นและช่างภาพที่มากับเขาด้วยเป็นเหมือนอากาศ นอกจากจะเป็นนักร้อง นักดนตรีที่เก่งกันแล้ว ฉันว่าพวกเขาทั้งห้าคนเป็นนักแสดงมืออาชีพได้เหมือนกันนะเนี๊ย ดูจากการแสดงออกของพวกเขาแต่ละคนสิ ทำตัวเหมือนอยู่ห้องอัด หลังพักเบรกยังไงยังงั้นเลย “เสร็จเรียบร้อยหรือยังคะ” ฉันเดินไปหานักข่าวคนนั้นพร้อมกับเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าช่างภาพที่มากับเขายังรัวถ่ายภาพไม่หยุดเลย “ใกล้แล้วครับ ว่าแต่พวกเขาห้าคนซ้อมเสร็จแล้ว แบบนี้คุณโรสก็เลิกงานแล้วสิครับ” “ถามทำไมเหรอคะ” “พอดีอยากเลี้ยงข้าวขอบคุณที่ยอมให้พวกผมมาเก็บภาพสมาชิกวงแบดกายหลังซ้อมเสร็จน่ะครับ จะได้ไหมครับ” “พอดีว่าฉันยังไม่เลิกงานค่ะ” “โห ทำโอทีต่ออีกเหรอครับ” “งานของฉันจะจบได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาเข้านอนกันแล้วน่ะค่ะ” “หืมม งานหนักใช่เล่นเลยนะครับ ทำงานตั้งแต่เขาตื่นจนเข้านอนเลย” คำพูดที่ฟังก็รู้ว่ากำลังแซวฉันอยู่ ทำให้ฉันทำได้เพียงนิ่งแล้วมองเขาก่อนจะเดินออกไป ในจังหวะที่ฉันกำลังหมุนตัวเพื่อจะเดินออกไปจากบริเวณที่ยืนคุยกับคนตรงหน้า ขาของฉันก็เกิดการพันกันขึ้นมาแล้วทำให้ร่างของฉันกำลังล้มลงไปที่พื้นถ้าไม่ได้คนตรงหน้าคว้าร่างของฉันไว้ “ว้าย! / คุณรสา!” ด้วยความตกใจของตัวเอง ฉันรีบเอามือของตัวเองไปคว้าที่คอของที่เข้ามารับตัวของฉันไว้ “เฮ้อ / เฮ้อ” เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของเราสองคนดังขึ้นมาเบาๆพร้อมกัน “จะกอดกันอีกนานไหม” แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา ในขณะที่ฉันกำลังตกใจอยู่กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไปไม่กี่นาทีนี้เอง โดยที่ฉันเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของคนที่เข้ามาช่วยรับร่างของฉันอยู่ “เอ่อ ขอโทษค่ะ ขอบคุณนะคะที่ช่วย” ฉันรีบเอ่ยขอบคุณคนตรงหน้าออกมาก่อนที่จะผละออกมาจากอ้อมแขนของเขาเพื่อไม่ให้เขาคิดว่าฉันรังเกียจ “ไม่เป็นไรครับ ดีนะครับที่รับไว้ทัน” คนตรงหน้าพูดออกพร้อมกับยิ้มให้ ต่างจากคนที่เรียกสติของฉันที่ตอนนี้ฉันรู้สึกได้ถึงรัศมีอาฆาตอยู่อย่างไรอย่างนั้น “ขอตัวก่อนนะคะ” ฉันรีบเดินออกมาจากคนที่ตรงหน้าไปยังเหล่าสมาชิกวงแบดกายที่ยืนรอฉันอยู่ โดยในระหว่างที่กำลังเดินมายังกลุ่มคนทั้งห้าคนที่ยืนรออยู่นั้นมีสายตาของควินน์ที่มองฉันอยู่ตลอดเวลา ด้วยแววตาที่ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดถ้าสบตามองหน้าเขา แต่เขาไม่ได้แสดงออกมาทางการกระทำเท่านั้น ฉันจึงเลือกเบือนหน้าหลบสายตาคู่นั้นเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกอึดอัดจนเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง เวลาต่อมา @ร้านอาหาร ภูเก็ต “ถึงร้านอาหารแล้วค่ะทุกคน นั่นน้องจินอยู่รออยู่หน้าร้านแล้วค่ะ” ฉันหันมาบอกทุกคนที่นั่งอยู่บนรถลีมูซีนด้วยอิริยาบถต่างๆ บางคนก็นั่งแชทมือถือ บางคนก็นั่งหลับ บางคนก็นั่งคุยโทรศัพท์ ส่วนเขานั้นนั่งจ้องฉันอย่างไม่วางตาทันทีที่ฉันหันหลังมาแจ้งกับทุกคนว่าถึงร้านอาหารที่จองไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อรถจอดตรงลานจอดรถ น้องจินที่เป็นผู้ช่วยของฉันก็เดินนำสมาชิกวงแบดกายทุกคนเข้าไปยังร้านอาหาร โดยเดินผ่านผู้คนให้น้อยที่สุด โดยสมาชิกในวงแต่ละคนก็ใส่หมวกเพื่อไม่ให้ใครจำได้ บางคนก็สวมแว่นกันแดดทั้งที่ตอนนี้เย็นแทบไม่มีแดดแล้ว ส่วนเขานั้นสวมหมวกแล้วเดินออกมาจากรถเป็นคนสุดท้าย ในระหว่างนั้นฉันก็ยืนรอให้ทุกคนเดินไปก่อนเพื่อตรวจความเรียบร้อยของทุกคนแต่ละคนที่เดินผ่านหน้าฉันไปว่าทุกคนจะไม่โดนเหล่าแฟนคลับจำได้แล้วโดนรุมทึ้งก่อนจะได้ทานข้าวเย็น “อ๊ะ!!” ฉันร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อโดนกระชากแขนเบาๆจากคนที่ออกมาจากรถเป็นคนสุดท้าย “ควินน์มีอะไรหรือเปล่า” ฉันหันไปเอ่ยถามคนที่เดินมายืนตรงหน้าฉันพอดีอย่างไม่เข้าใจในการกระทำของเขาตอนนี้ “ถ้าไม่มีอะไร รีบเดินเข้าร้านก่อนจะมีใครมาเห็นดีกว่า” ฉันมองซ้ายมองขวาอย่างกลัวว่าจะมีคนเดินเข้ามายังลานจอดรถ เพราะตอนนี้เหลือเพียงฉันและเขาเท่านั้นที่อยู่ตรงนี้ ส่วนคนอื่นๆนั้นเดินเข้าร้านไปเรียบร้อยแล้ว “อย่าทำอีก” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นมากว่าทุกครั้งที่เวลาพูดกับใครๆ “อย่าทำอะไร...ไม่เข้าใจ” ฉันขมวดคิ้วสงสัยสิ ฉันไปทำอะไรจนเขาต้องมาเตือนฉันแบบนี้ด้วย ฉันล่ะเบื่อไอ้อาการพูดน้อยแบบกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากของเขาจริงๆ จะพูดขนาดความให้เข้าใจหน่อยก็ไม่ได้ “ที่ทำเมื่อตอนซ้อมเพลงกันอยู่” “ตอนที่พวกควินน์ซ้อมเพลงกันน่ะเหรอ” ฉันพยายามนึกว่าฉันทำอะไรบ้างตอนช่วงที่พวกเขาซ้อมเพลง เพราะมันตั้งสามชั่วโมงนะที่ฉันเดินไปมาและยืนเฝ้าพวกเขา แล้วฉันจะรู้ไหมว่าช่วงไหนที่ไม่ควรทำเนี๊ย “อย่ายิ้มให้ผู้ชายน่ะเหรอ” ฉันจำคำพูดหนึ่งของเขาที่บอกฉันในช่วงที่เขาซ้อมกันว่าอย่ายิ้มให้ผู้ชาย แต่หลังจากที่เขาบอกฉันก็ไม่ค่อยจะยิ้มให้ใครเลยนะ “เรื่องนั้นด้วย” เอ๋า มีอีกเหรอ ทำไมเป็นคนที่ช่างสังเกตจังวุ้ย “มีเรื่องอะไรอีกเหรอคะ...แล้วมันเรื่องอะไรอีก” ฉันถามออกไปตรงๆจะได้จบเรื่องไม่อยากให้ปัญหามันยืดเยื้อออกไป “อย่าให้ใครกอดอีก” พอเจอคำพูดที่น้ำเสียงแบบนี้ทำเอาฉันตัวชาวาบขึ้นมาทันทีอย่างไม่รู้ตัว “รู้นะว่า...ไม่ชอบ” เขาบอกออกมาก่อนจะเดินไป โดยทิ้งให้ฉันยืนนิ่งอึ้งเพียงลำพัง “ไม่ชอบเหรอ” ฉันทวนคำพูดของเขาอย่างงงๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD