6. ดูแลนอกเวลางาน (1)

1415 Words
ร้านอาหาร @ภูเก็ต “โอ้โห เฮ้ย ของโปรดของพวกเราทั้งนั้นเลยพี่ชิน พี่ตุลย์ พี่ควินน์ ไอ้ลม ดูสิ” เสียงของคิงดังขึ้นมาในขณะที่ฉันกำลังเดินเข้ามายังส่วนบริเวณที่ทางร้านอาหารจัดเตรียมสถานที่ไว้ให้พวกเราโดยเฉพาะจากการขอร้องของน้องจินที่ช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ ซึ่งฉันรู้สึกว่าน้องจินเป็นผู้ช่วยที่ช่วยงานฉันได้ดีมากเลยทีเดียวในความคิดของฉัน “พี่โรสเป็นคนบอกเมนูอาหารให้จินจัดอาหารให้ทุกคนเลยนะคะ” น้องจินได้บอกกับทุกคนที่ยืนมองอาหารตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ประหลาดอย่างเห็นได้ชัด ยกเว้น ควินน์ที่ยังคงรักษาสีหน้าที่เรียบเฉยนั้นอยู่จนฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉันทำให้ไปมันถูกใจเขาด้วยหรือเปล่า “สวยแล้วยังใส่ใจดีมากอีก แบบนี้เป็นผู้จัดการวงของพวกเราถาวรไปเลยก็ดีนะครับ...พี่โรสคนสวย” คิงพูดออกมาพร้อมกับส่งสายตาโปรยเสน่ห์มาให้ฉันอีก จนฉันรู้สึกว่าเหมือนมีใครบางคนและคนคนนั้นก็คือคนที่กำลังยืนอยู่ข้างฉันด้วย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าเขากำลังแผ่รังสีไม่พอใจใส่ฉันอีกแล้ว “พี่ควินน์ดูสิ จานนั้นของโปรดพี่เลยนี่นา จานนี้ของมึงเลยไอ้คุณหมอสายลม” คำพูดของคิงทำให้ฉันเผลอไปสบตากับคนที่ถูกเอ่ยชื่อคนแรกอย่างบังเอิญ ทำให้เราสองคนได้สบตากันอย่างไม่ตั้งใจ จนฉันต้องรีบเบือนหน้าไปมองทางอื่นทันทีเพราะกลัวคนอื่นๆจะผิดสังเกตกับพฤติกรรมของตัวเองที่มีอาการแปลกๆออกมา คำพูดและการกระทำของคิงทำเอาฉันใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อเห็นสีหน้าของพวกเขาแต่ละคนดูจะพอใจกับร้านอาหารที่น้องจินเลือกให้ รวมถึงเมนูอาหารที่ฉันได้เป็นคนบอกให้น้องจินจัดเตรียมไว้ให้พวกเขา ซึ่งอย่างน้อยวันนี้ก็น่าจะผ่านไปได้ด้วยดี ฉันภาวนาให้เป็นอย่างนี้จนจบงาน โดยอย่าได้มีอุปสรรคใดๆเข้ามาเลยในช่วงที่ฉันทำหน้าที่อยู่ “รีบกินกันได้แล้วจะได้รีบกลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้ต้องพร้อมกับคอนเสิร์ตจริง” ชินบอกกับคิงที่ยังคงพูดถึงเรื่องอาหารไม่หยุด ส่วนคนอื่นๆพากันมองอาหารเหมือนกำลังเล็งว่าจะลองเมนูไหนก่อนดี “แล้วจานข้าวของพี่โรสกับของน้องจินล่ะครับ” ชินเอ่ยถามเมื่อเห็นชุดจานข้าวที่มีเพียงห้าชุดเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าฉันเตรียมไว้เฉพาะพวกเขาห้าคน “พวกชินทานกันได้เลยค่ะ เดี๋ยวพี่กับน้องจินจัดการตัวเองทีหลัง” ฉันบอกกับชินไปแบบนั้น เพราะฉันคุยและตกลงกับน้องจินแล้วว่าเดี๋ยวสมาชิกในวงทานกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันให้จินแยกไปทานข้าวได้เลย ส่วนฉันจะดูแลต่อเองโดยไปส่งพวกเขาทั้งห้าที่โรงแรมแล้วค่อยไปหาอะไรทานเอง “เฮ้ย ไม่ได้พี่ ทานด้วยกันเลยครับ พี่กับน้องจินจะมายืนเฝ้าพวกผมที่เป็นผู้ชายทานข้าว แล้วตัวเองยังไม่ได้ทานอะไรนี่นะพี่ น้องครับขอจานข้าวอีกสองชุด เดี๋ยวนี้เลย” ตุลย์ที่ได้ยินฉันบอกออกไปอย่างนั้นก็พูดออกมาเหมือนมันเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับพวกเขาที่ทานข้าวกันโดยมีผู้หญิงสองคนยืนมอง “พี่โรสนั่งข้างไอ้ควินน์เลยครับ” ตุลย์ที่เริ่มเจ้ากี้เจ้าการให้ฉันและน้องจินนั่งทานข้าวด้วยกันกับพวกเขา แล้วยังเจ้ากี้เจ้าการบอกให้ฉันนั่งข้างกับคนที่ฉันไม่อยากนั่งด้วยอีก ซึ่งตั้งแต่มาถึงร้านนี้ ฉันยังไม่ได้ยินเขาพูดอะไรขึ้นมาเลย มีแต่แผ่รัศมีไม่พอใจใส่ฉันเป็นระยะๆ “นั่งสิ” คำพูดสั้นๆที่เอ่ยออกมาทำเอาฉันรีบนั่งลงทันทีเหมือนหุ่นยนต์ทำตามคำสั่งเจ้าของ ไม่ใช่น้ำเสียงของเขานะที่ทำให้ฉันยอมนั่งลงว่าง่ายแต่เป็นสายตาของเขามากกว่าที่ทำให้ฉันไม่กล้าที่จะดื้อและปฏิเสธที่จะไม่ทำตาม และแล้วมื้อเย็นของวันนี้จึงเป็นการรับประทานอาหารของห้าหนุ่มวงแบดกายและสองสาวที่เป็นผู้จัดการวงพร้อมกับผู้ช่วยไปโดยปริยาย ในขณะที่พวกเราทั้งหมดกำลังรับประทานอาหารกันอยู่นั้น อยู่ๆก็มีเสียงเพลงดังขึ้นมาเบาๆ เหมือนสร้างบรรยากาศในการรับประทานอาหารให้มีอรรถรสดีขึ้น แต่เพลงที่เปิดนี่ทำไมมันสะกิดใจฉันยังไงก็ไม่รู้ “มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจ มันเกิดขึ้นจริงจริงหรือฝันไป การที่เรานั้นได้พบกันที่บนโลกนี้ ก็ไม่รู้จะพูดมันอย่างไร แต่หมดทั้งหัวใจที่ฉันมี ฉันเชื่อว่าสิ่งนี้ คือเรื่องมหัศจรรย์ที่เราได้พบกัน คือเรื่องมหัศจรรย์ที่ฉันได้รักเธอ คือเรื่องมหัศจรรย์ที่สุดที่ฉันเคยได้เจอ เธอคือเรื่องมหัศจรรย์” Credit: เพลง เรื่องมหัศจรรย์ ของ Sofa อาการที่นั่งนิ่งฟังเนื้อเพลงนี้โดยนึกว่าตัวเองอยู่ร้านบาร์ดนตรีสด จนลืมไปว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารมันคืออะไร ซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจร่างกายของตัวเองเหมือนกัน แต่ที่ฉันรู้สึกได้อีกอย่างคือเหมือนมีสายตาของใครบางคนมองมาที่ฉันอีกแล้ว ในขณะที่เพลงนี้กำลังบรรเลงไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็คิดว่าตัวเองคิดไปเอง พอเหลือบสายตามองไปคนที่นั่งด้านข้างก็เห็นสายตานั้นมองมาทางฉันจริงๆ โชคดีที่ไม่มีใครสนใจใครเลยตอนนี้เพราะตอนนี้แต่ละคนบนโต๊ะอาหารเริ่มรีแล็กซ์ตัวเองด้วยการที่บางคนหันไปสนใจมือถือในมือบ้าง บางคนพูดคุยกันถึงคอนเสิร์ตที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้บ้าง และบางคนก็กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ดูเหมือนจะมีเพียงฉันและเขาล่ะมั้งที่ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรนอกจากสนใจอาหารตรงหน้า ประมาณว่ากำลังตั้งหน้าตั้งตาทานอาหารตรงหน้ากันอย่างเดียวอะไรประมาณนี้ ทั้งที่จริงแล้วตัวฉันในตอนนี้กำลังเผลอไปคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเพลงที่พวกเรากำลังฟังอยู่ดังขึ้นมาในท่อนฮุกของเพลง “คิดอะไร” หืมม อย่าบอกนะว่าอ่านใจฉันออกก่อนจะหันไปมองคนที่พูดด้วยอยู่ด้านข้าง “เปล่า” ฉันตัดสินใจโกหกออกไปอย่างนั้นเพื่อตัดปัญหาการสนทนาต่อแล้วก็ก้มหน้าตักข้าวใส่ปากต่อ โดยไม่สนใจคนที่นั่งด้านข้างอีก “ทำไมเพลงนี้ขึ้นมาถึงนิ่ง” ยัง ยังไม่จบ ยังจะมาถามอีก ทำไมเป็นคนช่างสังเกตอะไรอย่างนี้นะ “เพลงเพราะ...เลยตั้งใจฟัง ควินน์ทานอันนี้สิ ของขึ้นชื่อของร้านเลยนะ พี่ เอ่อ เราทานไปแล้ว อร่อยดีนะ” ฉันรีบตักอาหารตรงหน้าเขาแทนการตอบคำถามที่ไม่รู้จะตอบเขาว่ายังไงดี แล้วดูเหมือนว่าเขาจะรับรู้ความรู้สึกฉันหรือเปล่าก็ไม่รู้ เมื่อฉันตักกับข้าวตรงหน้าให้ก็ตักเข้าปากเคี้ยวแล้วไม่ถามอะไรต่อ อาหารเย็นจบลงไปด้วยดี ทุกคนชอบและถูกใจกับสถานที่และอาหารที่จัดให้เป็นอย่างมาก แต่มันก็มีเรื่องให้ฉันหนักใจขึ้นมา เมื่อมีประโยคสุดท้ายของตุลย์นี่แหละ ที่เขาพูดว่า “หลังจากจบคอนเสิร์ตวันพรุ่งนี้ พวกเราไปฉลองกันนะครับ” หืมม ฉลองนี่ ฉันต้องไปด้วยหรือเปล่า หรือฉันต้องเตรียมสถานที่ หรือต้องเตรียมอะไรให้พวกเขาไหม แล้วมันต้องมีพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาไหม แล้วทางบริษัทจะโอเคหรือเปล่าที่พวกเขาจะมีการฉลองกันหลังจบคอนเสิร์ต ฉันควรทำยังไงต่อไปดีล่ะงานนี้?
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD