‘บารมี’ วางเอกสารในมือลง หลังได้รับรายงานจากเพื่อนกึ่งลูกน้องว่าเขากำลังถูกนายสมโกง
เพราะความไว้วางใจให้ช่วยบริหารงาน จึงยอมให้อีกฝ่ายช่วยเหลือ เคยตรวจสอบประวัติพบว่าขาวสะอาด โปร่งใสดี รวมถึงมีผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนช่วยแนะนำมาให้อีกทีจึงไว้ใจมากกว่าใครคนอื่น เผื่อใจไว้บ้างแล้วแต่ไม่วายเจอเล่ห์กลโกงขั้นเทพ ชนิดที่ว่าหากเขาไม่ใช้คนที่ชำนาญการมากกว่ามาตรวจสอบอีกทีคงไม่พบว่ามีการฉ้อโกงครั้งนี้เกิดขึ้น
อีกฝ่ายแก้ไขเอกสาร ตัวเลขการส่งออก ทั้งยังลักลอบยักย้ายถ่ายเทผลผลิตล็อตใหญ่ไปขายโดยไม่ลงรายงาน แล้วนำของที่ไร้คุณภาพมาบรรจุใส่แทนในนามของไร่มากล้นบารมี ขาดทุนไม่พอ ยังเสียชื่อเสียง กลายเป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้อีกด้วย
คงเห็นว่าเขาใจดีเกินไปแล้วละมัง
“ทำมานานแค่ไหนแล้วหนุ่ย”
เสียงถามนั่นเคร่งเครียดเต็มไปด้วยโทสะอัดแน่น
ชายร่างสันทัดสูงไม่ทัดเทียมคนเป็นนายเจ้าของชื่อ ‘หนุ่ย’ มองบารมีที่แม้ภายนอกดูนิ่ง แต่ข้างในคงเดือดดาลน่าดู เทียบเคียงภูเขาไฟรอปะทุอยู่ทุกวินาที ก่อนตอบเสียงเครียดปานกัน
“สายสืบเรารายงานว่าทำมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้วครับ แก้เอกสาร แก้ตัวเลขในบัญชีมาเรื่อยๆ มีคนในของเรากลุ่มหนึ่งคอยช่วยนายสมด้วยครับ”
“ระยำเถอะ!”
เค้นเสียงสบถอย่างเหลืออดในพฤติกรรมของนายสม
หนุ่ยชำเลืองมองชายรุ่นพี่ที่ควบตำแหน่งเจ้านายด้วยสายตาเห็นใจ แม้บารมีจะเป็นลูกเศรษฐีมีชื่อในจังหวัด แต่เขาไม่เหมือนลูกคนรวยทั่วไป และเพราะไม่ยอมสานต่อกิจการของทางบ้าน จึงถูกตัดขาดการช่วยเหลือของทางนั้นอย่างสิ้นเชิง ไม่มีเงินทุนช่วยหนุน ไม่มีใครคอยช่วยเหลือติดต่อประสานงานใดๆ ให้ บารมีต้องทำเอง เริ่มเองทั้งหมด พอตั้งใจทำอะไรแล้วมีคนคอยทิ่มแทงอยู่แบบนี้ก็จะให้เป็นสุขอยู่ได้อย่างไร
บารมีเองมักทำตัวติดดินมาเสมอตั้งแต่เด็ก และที่หันมาจับงานเกษตรนี้ก็ด้วยใจรักล้วนๆ เขาเริ่มต้นจากศูนย์ มุทำงานบนพื้นที่เล็กๆ ไม่กี่ไร่ จนผลผลิตงอกงามเป็นไปได้ด้วยดี ก็มีนายสมเข้ามาเสนอตัวช่วยงาน
ทั้งที่ปกติแล้วบารมีไม่ใช่พวกเชื่อใจใครง่ายๆ แต่นายสมเข้ามาถูกจังหวะที่บารมีต้องการความช่วยเหลือพอดิบพอดี บวกกับความเป็นคนมีฝีปากเก่งและฝีมือการโกงที่เชี่ยวชาญจึงทำให้บารมีพลาดจนได้ และเครียดจัดอยู่ในขณะนี้
หนุ่ยตัดสินใจส่งซองเอกสารสีน้ำตาลในมือให้คนที่ตนนับถือเป็นนาย ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว รู้อีกสักเรื่องไปเลยก็แล้วกัน
“อะไร” บารมีมองก่อนถามด้วยน้ำเสียงระแวง
“ข้อมูลของคุณญาดาครับ”
“พี่ไม่ได้อยากรู้” คนเป็นนายมักแทนตัวเองว่าพี่กับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทุกคน หนุ่ยถอนใจเบาๆ พยักหน้าน้อยๆ บอกอย่างจำใจ
“แต่เรื่องนี้พี่ควรต้องรู้ครับ”
มองสบตาหนุ่ยแล้ว บารมีรับมาเปิดออกดู ยิ้มหมิ่นแคลน สบถออกมาอีกคำ พร้อมนึกถึงหญิงสาวที่ชื่อ ‘ญาดา’ ส่ายหน้าชิงชังด้วยความสะอิดสะเอียน
ญาดาเข้ามาทำตัวสนิทสนมกับเขาได้พักใหญ่ โดยติดตามนายสมมาที่นี่ด้วยเสมอ เจ้าหล่อนอ่อนหวาน เอาใจเก่ง พูดจารู้อยู่รู้เป็น แล้วหากต้องออกไปข้างนอกด้วยกัน เธอก็จะทำตัวให้ดูเหมือนว่าสนิทสนมกับเขามากเป็นพิเศษ บารมีมั่นใจว่าหากใครมองเข้ามาที่เขากับญาดา ก็ต้องคิดว่ากำลังคบหาดูใจกันอยู่เป็นแน่
บุตรสาวของนายสม สวยสดงดงามจริง ญาดารู้จุดเด่นของตัวเองดีว่ามีตรงไหนที่ใช้มัดใจชายได้ก็จะดึงเอาออกมาใช้
เจ้าหล่อนชอบที่จะส่งสายตาหวานฉ่ำพร้อมเอ่ยคำพูดหยอกเย้าป้อยอทุกครั้งที่แวะเวียนมาหา ชายผู้ไม่ค่อยมีเวลาสนใจมองใครเพราะมัวแต่มุ่งทำงานอาจมีเคลิบเคลิ้มเผลอไผลไปบ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นหลงใหลขนาดชายคนอื่นที่เธอเที่ยวหว่านเสน่ห์ใส่
‘รู้จักคนอย่างบารมีกันน้อยเกินไปแล้วละมัง’
หนุ่ยคิดอยู่ในหัว เมื่อเห็นใบหน้าของบารมีนิ่งเฉย อ่านและคาดเดาความคิดไม่ออก แต่กระนั้นหนุ่ยก็พอทราบอารมณ์ของคนเป็นนายได้อย่างดี เพราะเติบโตมาด้วยกัน
บารมีอายุมากกว่าเขาเพียงสามปีเท่านั้น แต่นิสัยโตกว่ารุ่นเดียวกันมาก รวมถึงทัศนคติ การวางตัว และลึกๆ แล้วนายของหนุ่ยเป็นคนเด็ดขาดขั้นสุด คำไหนคำนั้น เป็นคนถนอมวาจา เงียบ เปี่ยมไปด้วยบารมีสมชื่อ เขามีคนรู้จักมากหน้าหลายตาส่วนหนึ่งมาจากนามสกุลดังที่ต่อท้าย แต่อีกส่วนที่รู้จักก็เพราะความมีมิตรไมตรีชอบช่วยเหลือคนของบารมีเอง จึงได้รับการตอบแทนเป็นความช่วยเหลือเกื้อกูลกลับมาเมื่อเขาต้องการเช่นกัน แต่ไม่เคยมีใครกล้าทำกับบารมีอย่างที่นายสมทำมาก่อน
จากความคุ้นชินกันเป็นอย่างดีนี้เอง หนุ่ยคาดว่าอาการนิ่งขรึม ควบคุมตัวเองได้อยู่เสมอนั้น ภายใต้ลงไปข้างในลึกๆ คงกำลังคิดหนทางเอาคืนอีกฝ่ายอยู่เป็นแน่
บารมีเป็นคนประเภทรักแรงเกลียดแรง ฝังใจเจ็บ ชอบและสนุกกับการแก้แค้นเอาคืน
เขาไม่ใช่พ่อพระมาเกิด แม้จะมีน้ำใจช่วยเหลือใครต่อใคร แต่ภายในจิตใจลึกๆ ด้านมืดแล้ว บารมีมีความผูกใจเจ็บชนิดที่ว่าสามารถเล่นงานอีกฝ่ายให้ย่อยยับจมดินได้ด้วยเหตุผลเล็กๆ น้อยๆ ที่คิดมาหยามหมิ่นความตั้งใจดีของตัวเอง บารมีสามารถทำได้ทุกวิถีทางให้คนประสงค์ร้ายกับตนนั้นไร้ซึ่งที่ยืน ไร้ซึ่งทุกสิ่งอย่างได้แบบไม่สนใจสิ่งใดๆ เลยทั้งสิ้น
ใครดีมาบารมีดีตอบ แต่หากใครร้ายมาคาดว่าคนผู้นั้นต้องชะตาขาดในอนาคตอันใกล้นี้อย่างไม่ต้องสงสัย
จริงอย่างที่หนุ่ยคาด วินาทีนั้นเองบังเกิดความคิดชั่วร้ายแวบหนึ่งในหัวของบารมี รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากก่อนลงนั่งนิ่งๆ พร้อมแผนการตอบโต้นายสมให้หน้าแหกกลับไปเช่นกัน
คนอย่างบารมีไม่เคยทำใครก่อน แต่หากใครคิดมาต่อกรด้วย เห็นว่าเขาเป็นหมูในอวย ก็คาดว่าคนผู้นั้นคงคิดผิดไปมหันต์
‘พลิน’ เป็นลูกจากเมียคนที่ห้าของ ‘นายสม’
ภรรยาคนแรกของนายสมเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่คลอดลูกคนแรกออกมานั่นก็คือ ‘ญาดา’
หลังจากนั้น นายสมมีภรรยามาอีกเรื่อยๆ แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงคนใด นายสมไม่มีบุตรธิดากับใครอีกเลย จนมาถึงนางพยอม หลานสาวคนงานเก่าในบ้านตัวเอง จะว่าไปนางพยอมก็เทียบเคียงคนรับใช้คนหนึ่งในบ้านของนายสม นายสมเข้าหานางพยอมกลางดึก แรกๆ ใช้กำลังบังคับ สมัยนั้นนางพยอมยังเด็กไม่ประสาก็ก้มหน้ารับสภาพไป แล้วก็ตั้งครรภ์จนได้ทั้งๆ ที่คุมกำเนิดอยู่แท้ๆ
เมื่อคลอดออกมาแล้วก็เลี้ยงดูตามประสา นายสมเองไม่ได้ไยดีลูกจากเมียบ่าวคนนี้เท่าไรนัก นั่นเพราะนางพยอมไร้ศักดินา ไร้เงินตรา และลูกที่ออกมายังเป็นบุตรสาวเสียนี่
‘เสือกจะมาเกิดทั้งที ทำไมไม่เป็นผู้ชายวะ’
นายสมออกปากแบบนั้นเมื่อนางพยอมคลอดออกมาเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ท่าทางอมโรค นางพยอมอุ้มไปให้หลวงตาที่วัดตั้งชื่อให้ ท่านก็ว่าให้ชื่อ ‘พลิน’ จากนั้นเป็นต้นมา
พลินถูกเลี้ยงดูตามมีตามเกิด ส่วนญาดา บุตรสาวกับภรรยาแต่งคนแรกที่เสียไปนั้น นายสมส่งเสียเลี้ยงดูเป็นอย่างดีราวเจ้าหญิงก็มิปาน
ญาดาได้เรียนในโรงเรียนชั้นเลิศที่กรุงเทพฯ จบออกมา เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ค่าเทอมค่าใช้จ่ายแพงหูดับเลยทีเดียว แต่นายสมก็สามารถส่งเสียได้ไม่ขาดตกบกพร่อง
บุตรสาวจากนางพยอมนั้นได้เรียนที่โรงเรียนรัฐบาลใกล้บ้านตั้งแต่เล็กจนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่ด้วยความใฝ่ดี ใฝ่รู้ รักการอ่าน แม้จะเป็นเด็กเก็บเนื้อเก็บตัว พูดน้อย แต่ฉลาดดี เสียแต่ไม่ค่อยเฉลียว พลินสอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดังระดับประเทศได้ด้วยความมุ่งมั่นของตัวเอง
ญาดา ผู้พี่ แม้ต่างมารดากัน แต่อีกฝ่ายไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจพลิน น้องที่เกิดจากเมียบ่าวของนายสม กลับกันเสียอีก เจ้าหล่อนมักแสดงตัวว่ารักและเอ็นดูพลินอยู่เสมอ
เช่นเวลานี้ที่เจ้าตัวกลับมาถึงบ้าน ก็ร้องเรียกหาน้องสาวร่วมบิดาเสียงอ่อนเสียงหวาน
“พลินจ๋า”
เมื่อไม่พบหน้า เลยเดินล่วงเข้าไปยังในครัว คิดว่าน่าจะพบตัวในนั้น เพราะพลินช่วยงานนางพยอมเป็นนิจ
ญาดากลับมาบ้านค่อนข้างบ่อย เคยได้ยินนายสมอวดอวยบุตรสาวคนโตว่า ญาดายังเรียนไม่จบดีก็ไม่อยากให้เสียเวลากลับมาบ้านทุกสองสัปดาห์ บ้างก็ทุกสัปดาห์แบบนี้ แต่ญาดายืนยันว่าที่กลับมานั้น เพื่อมาช่วยงานบิดา
นายสมเป็นตัวแทนประกันภัยขึ้นป้ายเป็นชื่อบริษัทเล็กๆ เช่าอาคารสามคูหาในตัวจังหวัดเป็นสำนักงาน มีคนงานในนั้นเพียงคนเดียวเป็นหญิงหน้าตาคร่ำเคร่งชื่ออุสา ญาดากลับมาบ้านทีไร ก็มักเข้าไปช่วยงานเอกสารให้นายสมทุกที
พอมีคนถามว่าญาดาเรียนใกล้จบแล้วหรือยังเพราะเห็นเรียนมาหลายปีดีดักแล้วยังไม่ได้รับปริญญากับเขาเสียที เพื่อนที่เข้ามหาวิทยาลัยไปรุ่นราวคราวเดียวกันจบออกมาก็หลายคน เจ้าตัวให้เหตุผลสวยๆ ว่าคณะของตนเรียนแปดปีจึงจบ เท่านั้นเลยไม่มีใครปริปากถามอะไรอีก
“คะพี่ดา” เสียงขานรับนั่นเป็นของพลินเอง
พอได้ยินว่ามีคนเรียกหา จึงขานเมื่อได้ยิน พอดีกับที่พยุงนางพยอมมาส่งยังเก้าอี้ในห้องครัว ค่อยเห็นญาดาเดินพ้นอีกประตูจากด้านในบ้านเข้ามาในห้องครัวเช่นเดียวกัน
อีกฝ่ายมองนางพยอมที่เคลื่อนไหวกายลำบากเพราะมีปัญหาเรื่องปวดหลัง ปวดขา ก็ไม่ใคร่ใส่ใจอยากถาม แล้วปรี่เข้าไปกอดพลินเสียแน่น หอมแก้มซ้ายขวาจนพลินออกอาการเขินหน่อยๆ กับท่าทีของผู้พี่
ญาดาผลักคนน้องออกเพื่อมองสำรวจอีกฝ่ายด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ น้องสาวพ่อเดียวกันแท้ๆ แต่สวยแทบไม่ได้ครึ่งของเธอเลยด้วยซ้ำ พลินผอมมาก อีกทั้งผิวพรรณยังดำคล้ำกระดำกระด่าง แขนขายาวเก้งก้างราวโครงกระดูกเดินได้ ดูไปก็คล้ายพวกเด็กต่างด้าวอยู่ไม่ใช่น้อย แต่กระนั้นปากช่างพาทีที่ได้มาจากนายสมก็เอ่ยแสดงความยินดีกับน้องสาว ตามวิสัยคนช่างป้อยอ
“ดีใจด้วยนะพลินที่สอบเข้าคณะอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ได้แล้วน่ะ ดูสิเก่งกว่าพี่สมัยนั้นตั้งแยะแน่ะ พี่ยังสอบไม่ติดเลยสักที่จนต้องไปสมัครเรียนมอเอกชน แล้วนี่คุณพ่อทราบเรื่องหรือยัง”
พลินยิ้มให้พี่สาว ปลอบแล้วว่าเชิงขอร้อง เพราะอยากให้บิดารู้จากปากของตัวเองมากกว่า “พี่ดาเก่งออกค่ะเรียนคณะนั้นใช้แต่ภาษาอังกฤษ ให้พลินไปเรียนก็ดูท่าจะไม่ไหวเหมือนกัน เรื่องสอบได้พลินยังไม่ได้บอกท่านค่ะ พี่ดาอุบไว้ก่อนนะคะ อย่าเพิ่งบอก”
ญาดากดมุมปากลงชั่วขณะก่อนคลายออก เมื่อมองคนที่ต่ำกว่าตนเองทั้งรูปลักษณ์ วัยวุฒิและฐานะก่อนว่า
“แหม...เราเนี่ยอะไรก็ไม่รู้ต้องทำเป็นอุบเอาไว้ก่อนด้วย”
เกือบหลุดปากออกไปแล้วว่าต่อให้บอกไป บิดาก็ไม่ได้ดีใจเท่าไรนัก แต่ยั้งปากไว้ทัน เข้าเรื่องที่ตนเองมาร้องเรียกหาอยู่นี่
“งั้นเราไปฉลองกันนะ พี่เลี้ยงเอง”
พลินยิ้มจนตายิบหยีดีใจที่พี่สาวร่วมบิดาใจดีกับตน ไม่เคยนึกรังเกียจที่ตนเป็นน้องคนละแม่เลย แล้วหันไปทางมารดาที่นั่งมองสองสาวสนทนากันอยู่
“แม่จ๋า...”
เอ่ยออกมาแค่นั้น นางพยอมก็ยิ้มอ่อนโยนพยักหน้าทำนองว่าตนได้ยินหมดแล้ว และหากว่าไปกับญาดา บุตรสาวคนโตสุดโปรดของนายสมก็จะเป็นอะไรไป อย่างน้อยๆ ก็พี่กันน้องกัน
ญาดากลับจากกรุงเทพฯ แต่ละครั้ง นอกจากจะมีของมาฝากน้องต่างมารดาอย่างพลินแล้ว ยังมักพาเด็กสาวออกไปเที่ยว ไปกินข้าวนอกบ้านแบบนี้เสมอ และในวันนั้นเองที่พลินได้พบกับบารมี ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาที่มีแววตาคมเข้มดุดันจริงจัง
เขาคือเจ้าของไร่มากล้นบารมี ชายผู้ซึ่งผันตัวเองมาเป็นชาวไร่เต็มตัวที่ซึ่งสาวๆ ทั้งจังหวัดหมายปอง
“อุ๊ย! คุณบารมี”
ญาดาทักทายยิ้มแย้ม น้ำเสียงอ่อนหวานติดอ้อนอยู่ในที เมื่อเดินสวนกับชายหนุ่มคนนั้นเข้า เขาทำเพียงยิ้มมุมปากก่อนทักกลับตามมารยาท
“สวัสดีครับคุณดา”
ท่าทีสุภาพ แต่กระนั้นดูไว้ตัว ญาดาชำเลืองมองคนในร้านเมื่อเห็นว่าคนอื่นพากันมองมาที่ตนเองและบารมีก็ผละเข้าไปจนชิด แสดงท่าทีสนิทสนม จงใจให้คนอื่นมองว่าเธอกับชายคนนี้ไม่ใช่แค่รู้จักกันผิวเผิน ไม่สนใจท่าทีของอีกฝ่ายเลยสักนิดว่าอยากสนิทกับตนด้วยหรือไม่
“มาธุระหรือนัดเลี้ยงใครที่นี่คะเนี่ย”
พลินมองพี่สาวกับชายหนุ่มคนนั้นเสวนากัน แล้วก็ให้ร้อนใบหน้าขึ้นวูบหนึ่ง เมื่อเขาปรายตามองมาที่เธอชั่ววินาที ท่าทางเขาดูไม่น่าเข้าไปพูดคุยพูดเล่นด้วยเลย แต่คงสนิทกับญาดาจริง พี่สาวของเธอถึงได้คุยกับเขาด้วยท่าทีสนิทด้วยเช่นนั้น น้ำเสียงเขาฟังดูทุ้มละมุนหูท่าทางคล้ายจะใจดี แต่ก็คล้ายว่ามีบางอย่างซุกซ่อนอยู่ภายใต้ดวงตาสีดำคมกริบคู่นั้นของเขา
พลินเลยเสมองไปทางอื่นอย่างไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านี้
รู้มาบ้างว่าบารมีเก่งที่สามารถพลิกฟื้นผืนดินรกร้างให้เกิดผลผลิตได้ทั้งไร่ ด้วยการปลูกข้าวรวมถึงผลไม้ พืชผักออร์แกนิกหลายชนิด จึงเป็นหัวข้อให้คนทั้งจังหวัดนำมาพูดกันและยอมรับในความสามารถของอีกฝ่ายไม่ใช่น้อย
รู้อีกว่าเพราะเขาไม่ยอมขายที่ผืนนั้นที่เป็นมรดกของบรรพบุรุษ ทั้งยังหัวดื้อไม่รับช่วงต่อกิจการของครอบครัวจึงถูกตัดหางปล่อยวัด ไม่ได้รับการช่วยเหลือทางเงินทุน หรือแม้แต่การติดต่อทางการค้าก็ด้วย บารมีต้องดิ้นรนด้วยตัวเองทั้งสิ้น เขาไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ ทั้งนั้นจากครอบครัว เงินที่ลงไปในไร่ทั้งหมดจึงเป็นของบารมีคนเดียวทุกบาททุกสตางค์
และพอเงียบฟังจากที่เขาสนทนากับญาดา ก็จับใจความได้ว่าเขาออกมาเลี้ยงสังสรรค์กับคู่ค้าธุรกิจของเขาที่ร้านอาหารแห่งเดียวกันนี้ พลินลอบมองเขาตลอดตอนที่อีกฝ่ายหันไปคุยกับญาดา พอจังหวะที่เขาหันหน้ามามองเธอ เลยได้สบตากันแวบหนึ่ง พลินรีบหลบตาจากเขาทันที รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงกับแววตาทรงอำนาจคู่นั้น
คุยกันไม่นาน บารมีขอตัวกลับไปยังโต๊ะของเขาด้วยท่วงท่าองอาจ เปี่ยมบารมีสมชื่อ หน้าตาหล่อเหลาคมคายของเขายังคงติดตาตรึงใจพลินอยู่ไม่สร่างซา รวมถึงสายตาคมกริบราวใบมีดที่แฝงอะไรบางอย่างข้างในนั้นด้วย
“พลิน”
เสียงพี่สาวต่างมารดาเรียก พอหันขวับไปมอง ญาดาก็ยิ้ม แล้วเอ่ยปากคล้ายแซวเธอ “มองตาค้างเลยหรือไง”
“พลิน...” อึกอัก เสียงเบาตามนิสัย หลบตาพี่สาวก่อนว่า “...พลินแค่เหม่อ เอ่อ...แค่คิดอะไรเล่นๆ เท่านั้นเองค่ะ เผอิญมองไปทางนั้นพอดี ไม่ได้มองใครตาค้างนะคะพี่ดา”
พลินที่เพิ่งเคยเห็นตัวเป็นๆ ของชายชื่อบารมีเป็นครั้งแรกตอบพี่สาวออกไปไม่เต็มเสียงนัก เมื่อตอนได้ยินเรื่องของเขา นึกว่าคงอายุมากกว่านี้ อย่างน้อยก็น่าจะอายุสักสี่สิบปีปลายๆ แต่ตัวจริงเขายังดูหนุ่มอยู่มาก คาดว่าอายุไม่น่าเกินสามสิบปีด้วยซ้ำไป ที่สำคัญเขาดูดี หล่อเหลาไม่น้อยเลยทีเดียว
ญาดายิ้ม ส่ายหน้าทำนองว่าไม่เชื่อถือคำพูดของเธอ ใครพบบารมีแล้วไม่เคลิ้มในความเป็นเขา ให้อมโคลนมาพ่นใส่หน้าเธอได้เลย
มีสาวๆ ไม่น้อยเทียวล่ะที่คลั่งไคล้ในตัวบารมี แต่ไม่ใช่เธอ
“นี่คุณพ่อบอกเราหรือยัง” จู่ๆ ญาดาก็เอ่ยขึ้นมา
พลินที่เสยกน้ำขึ้นดื่ม วางแก้วในมือลง ถามกลับด้วยความใคร่รู้
“บอกอะไรหรือคะ”