ฉูปินไห่พาเจ้านกฮูกตาปรือมาให้กับเสี่ยวหงฮวา เจ้านกฮูกนี้ได้ชื่อมาใหม่มาป๋ายป๋าย เพราะมันก็ตัวขาวๆ ดำๆ น่าสนใจยิ่ง สองคนนั้นช่วยกันฝึกเจ้านกน้อยให้บินไปมาหาคนทั้งสองคน เสี่ยวหงฮวาดีใจมาก พยายามใช้นกหวีดสื่อสารกับมันอยู่ตลอดทั้งวัน นางได้รับนกหวีดคู่กันกับฉูปินไห่ สองคนเป่านกหวีดสั้นยาวแบบทหารสื่อสารกัน เสียงที่ดังออกไปยังเรียกพวกมือปราบให้มาสอบถามดู จนพบว่ามีคุณชายและคุณหนูสองคนที่ไร้เสียงใช้นกหวีดสื่อสารกัน มือปราบยิ้มขึ้นมาบางๆ ขยับโค้งกายแล้วจากไป คิดว่าหากในวันใดมีสัญญาณนกหวีดนี้ดังขึ้นมาจะสนใจให้มากขึ้นไปอีกนิด
“สองคนเรียนดีดพิณไปร่วมกัน ร่ำเรียนอยู่นานจนฝ่ามือน้อยๆ นั้นแดงมากจนเจ็บปวด ฉูปินไห่ช่วยนางเป่าและทายาลงไปให้ ก่อนที่จะให้อาหยวนไปซื้อถุงมือนุ่มและปลอกเล็บเงินแสนงดงามมาให้นาง สองคนตั้งใจร่ำเรียนวิชาไป ก่อนที่ ในมิช้าเสี่ยวหงฮวาก็ต้องเริ่มต้นเรียนร่ายรำขึ้นมา นางร่ำเรียนร่ายรำอยู่ในสวน และมีผู้คนคอยดูแลนางมิห่าง ส่วนคุณชายนั้นนั่งเรือแดงออกไปกับข้ารับใช้ออกไปที่สะพานเรือแล้ว
ยามที่ไปถึงสะพานเรือนั้น ยามแรกเรือข้ามฟากผุ คุณชายจึงปรายสายตาไปที่เรือแดง และให้อาหยวนไปนำมันมาใช้ผูกโยงให้คนนั้นใช้มันเดืนข้ามฟากผ่านออกไป เรือแดงถูกนำมาใช้ให้ผู้คนนั้นข้ามฟาก โดยที่ผู้คนนั้นมิรู้สิ่งใดๆ
ทุกคราที่คนผ่านมันไปมา ร่างกายของฉูปินไห่ก็คล้ายมีพลังงานที่ดีวนเวียนอยู่ ฉูปินไห่ถอนหายใจขึ้นมา ดูว่ามีใครแก่ชราหรือตายไปเลยหรือไม่ แต่ก็มิพบว่ามีอันใดร้ายแรงนัก เช่นนั้นจึงใช้มันผูกโยงไว้ตลอดวัน และใช้มันโดยสารกลับเรือนไปเท่านั้นเอง ยามราตรีเรือนั้นก็ส่องสว่างขึ้นมา ดูสวยงามมากกว่าในทุกวัน
” เฮอะ สวรรค์ ท่านขังข้าไว้ให้ร่ำไห้ในเรือปีศาจมาหลายร้อยปี กลับจะมาบอกข้าว่าให้ทำดีนำเรือมาข้ามฟากเพียงเท่านี้ก็ได้พลังชีวิตของผู้คนแล้ว ช่างน่าอดสูยิ่ง เรือปีศาจแห่งท้องน้ำกลับกลายเป็นเรือนักบุญนำมาใช้เพียงแค่การข้ามฟาก เหอะ น่าสมเพชจริงๆ เลย “
ฉูปินไห่กอดอกหัวเราะเฮอะขึ้นมา และขยับกายไปดูการค้าขายโดยมีอาหยวนนั้นคอยรับคำสั่งไปอีกครา แม้คุณชายสนทนามิได้ แต่รัศมีความอันตรายและร่างกายที่กำยำที่พกดาบเหน็บอยู่ข้างเอวนั้นก็ทำให้ผู้คนมิอาจจะดูดายได้ ฉูปินไห่จึงสามารถทำการค้าขายได้อย่างราบรื่นไปตลอดวัน
มิคิดว่าในปีนั้นที่คิดทำลายกองเรือสกุลจ้าวลงไป ในที่สุดท้ายได้ช่วยสนับสนุนสกุลเซี่ยของสตรีที่เคยรักได้และยังมีเหลือสัดส่วนแบ่งมาในสกุลฉูให้ลูกหลานสกุลฉูนั้นเก็บภาษีการค้าและควบคุมการค้าทางเรือได้ต่อมา แม้ในยามนี้ราชวงศ์ฉูล่มสลาย แต่การค้าขายกับหวยเหอยังมิหมดหนทางไป ในทางเมืองหลวงนั้นมิเหลือสิ่งใดแล้ว แต่ทว่าในหวยเหอนี้กลับมีความหวังของสกุลฉูดำรงอยู่ ฉูปินไห่หลับดวงตาลงไปและเดินลงมาหลบแดดแรงในเรือน้อยๆ ก่อนจะนั่งมองสายน้ำออกไป
“สุ่ยหงฮวาชาตินี้นั้นคงต้องตัดวาสนากันแล้ว ต่อไปสวรรค์บันดาลสิ่งใดๆ ข้านั้นจะมิฝืน คนชั่วช้าสามานย์เช่นข้านั้นรักษาสิ่งใดมิได้หรอก มีแต่จะผุสลาย “
ฉูปินไห่นั่งจิบชาในเรือน้อย ที่เป็นชาของมนุษย์จริงๆ มิใช่เช่นสุราที่เซ่นไหว้มาเช่นทุกครา อดยิ้มและหัวเราะมิได้ที่ตอนนี้ตนเองนั้นมีขนมจากดอกไม้น้ำสีแดงชาดหวานละมุนลิ้นอมอยู่ในปาก
” เฮ่อ ชีวิตนี้ช่างหวานล้ำ มิขมเฝื่อนเช่นสุราเซ่นไหว้ที่ได้ดื่มมากมายในหลายร้อยปีที่ผ่านมาเลย “
บุรุษบ่นเบาๆ โยนขนมลงไปในปากตนแล้วอดทนออกไปสู้แสงแดด ควบคุมคนขนของลงเรือไปอีกครั้ง โดยมีอาหยวนยืนใกล้ๆ ฉูปินไห่จดบันทึกข้อความต่างๆ ลงไป และให้นายท่านั้นไปจ้างคนของทางการมาตรวจสิ่งของในเรือที่ขึ้นมาในท่าของตนเองอีกทางด้วย เพื่อมิให้มีปัญหาใดๆ ในภายหน้า เพราะสกุลฉูมิยิ่งใหญ่เท่าเดิมแล้ว การที่จะหยิ่งผยองมากจนเกินไปย่อมที่จะได้ผลออกมามิได้ดี
ฉูปินไห่ทำงานอย่างตั้งใจมากกว่าในทุกๆ ชาติที่ผ่านมาแล้วถอนหายใจออกมาในคราหนึ่ง เขียนข้อความบอกอาหยวนให้นำเรือแดงนี้ไปถวายที่วัดนับจากกลับเรือนนี้ไป มิน่าเชื่อยามที่อาหยวนนำเรือไปถึงที่วัดไต่กง เรือกลับสลายหายไปในสายตา ไต้ซือไต้อี้ถอนหายใจแรงๆ ขึ้นมาและเอ่ยบอกออกมาในอีกครั้ง
” แรงปรารถนาที่ดีและการสร้างบุญกุศลเท่านั้นที่จะช่วยคุณชายของเจ้าได้ต่อไปนี้ “
อาหยวนเดินออกมาหน้าวัด ขึ้นรถม้ากลับจวนด้วยความตื่นตกใจขึ้นมา นี่คุณชายของตนเองนั้นคือจิ้งจอกร้ายหรือปีศาจตนใดหรือไม่นะ เพราะอยู่ๆ คุณชายที่เป็นห้าเทียนมิรู้ตนจะรู้สึกตนมาเป็นบุรุษที่เลอค่าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน คิดแล้วก็น้ำตาริน คิดในใจว่า อย่างน้อยตนเองนั้นติดตามนายท่านฉูมานานแล้ว หากว่าทอดทิ้งคุณชายใหญ่ไปตอนนี้ย่อมมิอาจจะทดแทนบุญคุณได้ หากคุณชายนั้นคือหมาจิ้งจอกทดแทนคุณ ตนเองนั้นก็ยอมที่จะสละชีวิตปกป้องปีศาจหมาป่าตัวนี้ตลอดไป
” ฮัดชิ่ว “
ในขณะที่หัวสมองของอาหยวนนั้นวุ่นวาย คุณชายใหญ่ก็นั่งจามไปมิรู้กี่คราแล้วในยามนี้
” ฮร่า ข้าจะเป็นหวัดหรือนี่ ร่างกายนี้คือร่างมนุษย์จริงๆ แล้วซินะ “
ฉูปินไห่หัวเราะตนเองเบาๆ ขึ้นมา และไปแอบยืนกอดอกมองสาวน้อยเสี่ยวหงฮวาร่ายรำในลานดิน นางยังอ้วนมิงดงามเท่าใดนัก แต่ก็ทำให้นึกถึงองค์หญิงน้อย น้องสาวเพียงผู้เดียวที่สนิทสนมกันในวัยเยาว์ และส่ายหัวขึ้นมาในความดื้อดึงของตนเองในชาติที่แล้วนั้น ในยามสุดท้ายก่อนตายนั้นได้ทนฝืนปีนขึ้นไปบนบัลลังค์ทองและตกตายอย่างน่าอนาถใจเป็นที่สุด ช่างโง่เขลายิ่งแต่เป็นสิ่งสุดท้ายที่พระองค์นั้นสามารถทำได้ในยามนั้น หากทรงไตร่ตรองชีวิตให้ดี ชีวิตคงมีคามสุขได้ดั่งในเช่นวันนี้ ที่ได้ดูเจ้าเด็กอ้วนร่ายรำในลานดิน ฉูปินไห่หัวเราะดังขึ้นมา เสียงหัวเราะกังวาลดั่งมิใช่คนใบ้อีกต่อไป สาวใช้มองตามไปตาโตและอุดปากวิ่งไปบอกนายท่านผู้เฒ่าอย่างรีบเร่ง
” นายท่านเจ้าขา คุณชายใหญ่หัวเราะเสียงดังได้แล้วเจ้าค่ะ “
“โอ สวรรค์ สวรรค์บันดาล มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นแล้ว พวกเจ้าไปหาหมอเทวดามาและบำรุงคุณชายให้ดี”
” เจ้าค่ะ “
การทำงานหนักทำให้ฉูปินไห่หลับลงไปอย่างเหนื่อยล้าในยามราตรี มิมีเรี่ยวแรงเหลือเอาไว้เพื่อจะคิดสิ่งใดๆ ต่อไปอีก ส่วนสาวสาวน้อยในห้องข้างเคียงก็นอนหลับกันง่ายดายทำให้ทั้งเรือนนั้นเงียบสงบสบายใจ คลายความกังวลไปทุกสิ่ง
ฉูปินไห่ใช้วันเวลาอันมีค่าจนหมดไป จนถึงยามที่ในยามเช้าเจ้าเด็กอ้วนนั้นมีฤดูขึ้นมา สาวใช้ต้องอธอบายให้นางมิตกใจกลัว ทุกสิ่งนั้นได้ยินดังออกมาเล็กน้อย ฉูปินไห่เคยดูแลสตรีในจวนมากมายและมีน้องสาวและพระมารดาอยู่เช่นกันในชาติก่อน เช่นนั้นจึงเขียนกระดานดำออกไปและให้อาหยวนไปสั่งแม่ครัวทำน้ำขิงต้มน้ำตาลมาให้สาวน้อยเสี่ยวหงฮวาเสีย
เสี่ยวหงฮวาหน้าแดงที่ถัดมานางได้ขนมถั่วแดงร้อนต้มขิงและข้าวสีแดงกับปลาทอด นางเริ่มเรียนรู้ทุกสิ่งไปช้าๆ และรู้ว่าวันเวลาเช่นนี้นั้นมิควรก้าวออกไปที่นอกเรือน นางจึงนั่งปักผ้าคัดอักษรและเก็บตนให้ดีมากยิ่งขึ้น