ในเมืองหวยเหอมีตำนานหนึ่งเล่าขานถึงเรือปีศาจที่จะร้องเรียกหาสตรีคนรักอยู่ตลอดทุกยาม ตำนานนี้คือเรือสกุลฉู ว่ากันว่าตำนานนี้เล่ากันมาว่าฉูหวางทรงผิดหวังในความรัก ยามที่ชิงบัลลังค์มิได้ช่วงชิงความรักก็มิได้ จึงตายไปอย่างมิสงบ ในยามตกตายถูกฝังเดียวดายมิมีสตรีไปเคียงคู่ จึงเป็นปีศาจอาภัพรักต้องตามหาความรักอยู่ร่ำไป
ว่ากันว่าเรือปีศาจนี้มีความงดงามแสนวิเศษ สตรีใดโชคดีเพียงแต่จะถูกปีศาจนั้นล่อลวงไปเสพกามาและได้เงินทองกลับคืนมา หากว่าโชคร้ายสตรีนั้นจะหายไปจนตลอดกาลมิกลับมาคืนเรือนอีก
“ฮ่า ฮ่า ตำนานเรือปีศาจนี้ ข้าว่าจะต้องเป็นพวกค้าขายสตรีนั้นปั้นแต่งขึ้นมา สตรีดีๆที่ใดจะออกมานอกเรือนในยามราตรีกันเล่า สตรีที่ล้วนขาดแคลนทรัพย์ออกไปขึ้นเรือบุรุษทั้งหลายได้แล้วได้เงินทองกลับมาก็ย่อมคือน้ำใจในราคาเรือนร่างของพวกนางแล้ว“
บุรุษแจวเรือในฝั่งน้ำหัวเราะกันขึ้นมา และพากันชี้ชวนดูสตรีที่ผ่านไปมาอย่างลับๆ
คุณชายตัวน้อยผู้หนึ่งได้ยินเข้าก็ขมวดคิ้วบึ้งตึงขึ้นมา
“ฮึ่ม มินึกเลยว่าคำสาปของเรืออาถรรพ์นั้นจะทำให้ข้ามิอาจไปผุดไปเกิดได้ ต้องวนเวียนพายเรือร่ำสุราอยู่ยาวนานแล้ว แม้ว่าพยายามเผาทำลายมันเท่าใด เรือนั้นก็คล้ายมีพลังงานแห่งชีวิตของมันเอง ช่างบัดซบนัก”
ฉูหวางหรือในยามนี้คือฉูปินไห่ในวัยสิบขวบปีบ่นขึ้นมา
ราตรีที่ผ่านมานั้นเหมือนฝันไป อยู่เรือปีศาจที่กักขังวิญญาณของฉูหวางเอาไว้ในเรือนั้น ก็ผุดขึ้นมาต่อหน้าสามีภรรยาคู่หนึ่ง ฉูหวางที่ร่ำสุราที่มีผู้คนนั้นทำบุญมาให้มิขาดมิแคลนก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ยามที่ลืมดวงตาขึ้นมาได้ ก็พบว่าตนเองนั้นมีรูปลักษณ์เปลี่ยนไปเป็นบุรุษยั่วเมืองแล้ว นึกสิ่งใดมิได้จึงเชื้อเชิญสามีภรรยาขึ้นเรือตน และบุรุษนั้นก็ต้องทำคลอดสตรีของตนเองอย่างน่าเวทนา
ยามที่ทารกเกิดขึ้นร้องไห้จ้า ฉูหวางพลันคล้ายถูกบีบในหัวใจจนแทบจะขาดใจตาย เสียงเรือลำน้อยร้องเรียกสตรีในดวงใจตนดังขึ้นมา
“เสี่ยวหงฮวา ”
ยามนั้นฉูหวางน้ำตาริน สามีภรรยาชาวบ้านแสนดีใจนึกว่าคุณชายรูปงามนั้นช่วยตั้งชื่อให้บุตรสาว จึงเอ่ยขอบคุณคนขึ้นมา
“ขอบคุณคุณชายมากเจ้าค่ะ ที่ตั้งชื่อบุตรสาวให้พวกเรา ”
“ฮ่า ฮ่า เสี่ยวหงฮวาเช่นนั้นหรือ เสี่ยวหงฮวา ”
สามีภรรยาได้อยู่ในเรือลำนั้นถึงสามวันสามราตรี แล้วก็ลาจากไป ก่อนไปฉูหวางยังพบว่าที่ข้างกายมีกล่องใบหนึ่ง ในกล่องนั้นมีหยกลวดลายดอกไม้แดงสลักคำว่าฉูเอาไว้ ฉูหวางยื่นมันออกไปอย่างยินดีและเอ่ยกล่าวความขึ้นมา
“ข้านั้นติดอยู่ในเรือนี้มานานยังไม่มีเจ้าสาว หากต่อไปเด็กผู้นี้ปักปิ่นแล้ว ท่านก็นำนางไปที่สกุลฉูเถิดนะ ”
บุรุษรูปงามหมั้นหมายทารกของชายหาปลาที่ยากจนมากเหลือเกิน ชายหาปลาดีใจที่ยังได้หีบทองคำสองใบกลับบ้านไป หลังจากคู่สามีภรรยาและทารกน้อยจากไปแล้ว วิญญาณของฉูหวางก็ถูกดึงเข้ามาอยู่ในร่างของเด็กชายใบ้ที่ไม่เคยขยับตนเองตอบสนองผู้คนมานานแล้ว เด็กชายผู้นี้คือบุตรชายคนโตของสกุลฉู ที่ยามนี้เป็นเพียงตระกูลคหบดีแสนร่ำรวย
ฉูหวางหัวเราะเรื่องราวในคราวนี้ขึ้นมาที่มิได้กลับมาเกิดเป็นตนเองอีก แต่เกิดมาเป็นผู้อื่นแล้วยังเป็นใบ้ บัดซบนัก ดีที่หน้าตาดีและหูยังได้ยิน ทั้งยังรู้หนังสือมาก่อนในชาติที่แล้ว มิเช่นนั้นคงจะแย่แน่ๆ
ฉูปินไห่นั่งถอนหายใจปลงๆ มิเคยคิดเลยว่าจะมาเช้าร่างเด็กชายใบ้ ดีที่วาสนานั้นยังเป็นคุณชายใหญ่ในตระกูล ยามที่ฉูปินไห่เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา จากที่นอนนั่งเป็นผักและพิการทางสมองมาอยู่นาน หัวหน้าสกุลฉูถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาในทันที เพราะบุตรมากมายที่เกิดมาอีกนั้นเป็นสตรี มิมีประโยชน์ในการสืบสกุลนัก
ฉูปินไห่ทำสิ่งแรกในยามตื่นลืมดวงตาขึ้นมาก็คือการลุกออกไปมองหาคันฉ่อง และทำดวงตาโตขึ้นมา เพียงเท่านั้นทุกคนในสกุลฉูก็หวีดร้องลั่น
“โฮ ปินไห่ เจ้ารู้สึกตนแล้ว สวรรค์ ลูกชายของแม่”
“คุณชายใหญ่รู้ตนเองแล้ว สวรรค์ สวรรค์ประทานพรแล้ว ”
ฉูปินไห่พยายามที่จะพูดสุดท้ายจึงคลำลำคอของตนเองแล้วพยายามอ้าปากร้องขึ้นมา เสียงที่ออกมาคือเสียงคนใบ้ ฉูปินไห่โกรธมากจนทุบทำลายสิ่งของขึ้นมา บุรุษทุกคนหัวเราะร่าและเข้ามาโอบกอดคุณชายใหญ่กันทั้งสิ้น
“โอ เอาเลยเด็กดี ทุบทำลายมันลงไปเสีย ขอเพียงเจ้านั้นมีเรี่ยวแรงทำลายมันลงไป ปู่ของเจ้าก็จะมิตีเจ้าเลยซักนิดเดียว ปินเอ๋อร์ของปู่ โอ หลานปู่ สวรรค์ประทานพรนัก ”
ฉูปินไห่ฟังแล้วสมเพชคนรอบข้างขึ้นมาจึงหยุดทุบทำลายของลงไป สุดท้ายจึงกอดบุรุษชราที่คล้ายว่าคือปู่ของร่างเด็กชายนี้และท่านพ่อของเด็กชายลงไป ยังมีท่านอาและท่านลุงอีกมากมาย สกุลนี้มีบุรุษมากมายเสียจริงๆ แต่ทว่าในรุ่นสามนั้นมิมีบุตรชายอื่นเกิดขึ้นมา
ยามที่รู้สึกตนได้มิน้ำลายยืดอีก ฉูปินไห่ถูกพาไปอาบน้ำร้อนและขัดถูร่างกายเป็นอย่างดี อาบน้ำแล้วก็มีนมอุ่นๆกับขนมมากมาย ฉูปินไห่รู้สึกพอใจอาหารอื่นใดที่นอกจากสุราร้อยปีในเรือผีมากมายจริงๆ กินขนมไปมองสตรีงดงามที่เป็นมารดาแล้วนั่งฟังนางร่ำไห้เล่าความดีใจที่เก็บไว้ในหัวใจทั้งนับสิบปีที่ผ่านขึ้นมา ฉูปินไห่ยิ้มบางๆและขยับขนมไปที่ปากมารดาตน ใช้นิ้วจิ้มที่รอยยิ้มของตนเองให้ชม สตรีมารดาแสนน่ารำคาญจึงยิ้มออกมาได้แล้วทั้งน้ำตานั้น ฉูปินไห่จึงกอดนางและขยับตัวกินขนมไปอย่างรื่นรมย์
“ฮร่า ชีวิตนี้ก็มิเลวนัก ร่างนี้ก็หน้าตาหล่อเหลามิใช่ชั่ว หากแต่งตัวยั่วยวนสตรีเสียหน่อย ในชาตินี้ก็คงได้ลิ้มรสสตรีอีกมากมาย ใบ้แล้วอย่างไรเล่า มังกรของข้าพ่นน้ำได้ก็พอแล้ว หึ หึ หึ ”
ฉูปินไห่คิดในใจตนอย่างชั่วร้ายขึ้นมา พอกินอิ่มแล้วก็ลุกเดินไปรอบๆ มีบ่าวชายคอยพยุงไป ยามเดินไปก็พบว่าสกุลนี้นั้นครอบครองหนึ่งในตำหนักของพระองค์เอาไว้เช่นนั้นเอง ใบหน้าบุรุษน้อยจอมยั่วเมืองจึงยิ้มสดใสขึ้นมา แล้วมองลงไปในดอกไม้น้ำสีแดงสด ในสระน้ำรอบๆจวนนั้นอย่างพึงใจยิ่ง
”แกว๊ก แกว๊ก แกว๊ก “
ยามเดินไปมินานก็พบกับกรงนกฮูกน้อยๆ ที่มีนกฮูกตาปรือถูกขังเอาไว้ ใบหน้าคมยกยิ้มร่าเริง เข้าไปจับมันออกมาและจับมันมาแนบแก้มลงไป หัวเราะอยู่ผู้เดียวในทันที
”ฮร้า สวรรค์ คุณชายชอบนกฮูกขอรับ ต่อไปนำกรงนกไปให้คุณชาย คอยดูกันให้ดีว่าคุณชายอยากได้สิ่งใด พวกเจ้าพาคุณชายไปในห้องอักษร ไปนำกระบี่ไม้และลูกหนังผ้าไหมทองคำมาให้คุณชายด้วย “
”ขอรับนายท่านผู้เฒ่า “
ฉูปิ่นไห่ได้ยินจึงแย้มรอยยิ้มฟันขาวมีลักยิ้มปรากฎขึ้นมา ทุกคนนั้นพากันเช็ดน้ำตาสิ้น ติดตามเอาใจคุณชายไปมิห่าง ฉูหวางที่ได้นกฮูกมาตัวหนึ่งแล้วก็ดีใจ พยายามหาวิธีสื่อสารกับเจ้านกฮูกน้อยอย่างวุ่นวายใจ
”ฮึ่ม เกิดใหม่ทั้งทีกลับเป็นใบ้ สวรรค์นะสวรรค์ท่านรังแกข้าอีกคราแล้ว “