บทนำ
นางคือสตรีที่โง่เขลาในเรื่องความรัก การกระทำของนางกลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในสายตาคนที่นางรัก...
ส่วนเขาคือบุรุษผู้ที่เย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งพันปี สายตาที่มองนางมีแต่ความเกลียดชัง เพราะนางคือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องพลัดพรากจากคนรัก...
เดิมทีนางเป็นบุตรีของอดีตท่านแม่ทัพใหญ่ที่มีอำนาจสูงสุดในแคว้นต้าจู เป็นบุตรีคนรองที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ นางเป็นที่รักของทุกคนในจวน ไม่เว้นแม้แต่เหล่าภรรยาและอนุคนอื่น ๆ ที่รักนางยิ่งกว่าสิ่งใด ตระกูลของนางนับว่าทุกคนรักใคร่กลมเกลียว ไม่มีความอิจฉาริษยาหรือแก่งแย่งชิงดีกันเหมือนจวนตระกูลอื่น ถือได้ว่ามารดาของนางรับมือได้เป็นอย่างดี และนางก็ยังมีพี่ชายคนโตที่เกิดจากท่านแม่รอง และบรรดาน้อง ๆ ที่เกิดจากเหล่าภรรยาและอนุ ทุกคนต่างรักและเป็นห่วงนาง นางช่างโชคดีที่ได้เกิดมาในตระกูลนี้ และเพราะความที่นางชอบอิสระ นางจึงแอบหนีออกจากจวนตามท่านพ่อกับท่านพี่ออกไปค่ายทหารอยู่บ่อยครั้ง แม้จะโดนดุ แต่นางก็ไม่ได้สนใจ นางยังคงดื้อดึงที่จะฝึกฝนร่ำเรียนวรยุทธจนเชี่ยวชาญตั้งแต่อายุเพียงสิบขวบปีเท่านั้น
จนกระทั่งวันที่นางอายุได้สิบเอ็ดขวบปี นางได้แอบลักลอบหนีออกจากจวนอีกครั้งด้วยม้าอาชาคู่ใจเหมือนเช่นเคย แต่คราวนี้นางเลือกที่จะไปเที่ยวเล่นในป่าลึกทางทิศใต้ เพราะที่แห่งนั้นแม้จะเป็นที่ที่อันตรายที่สุด แต่ก็ปลอดภัยที่สุดเช่นเดียวกัน นางเพียงแค่อยากสำรวจพื้นที่แถวนั้น แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ไปถึงที่หมาย นางกลับได้ยินเสียงร้องของสัตว์ป่าคำรามลั่น ด้วยความสามารถที่มีทำให้นางรับรู้ได้ทันทีว่ามีคนต้องการความช่วยเหลือ นางไม่รอช้ารีบควบม้าคู่ใจวิ่งไปตามทางของเสียง จนกระทั่งนางได้พบกับบุรุษที่งดงามราวกับสตรีกำลังพลาดท่าให้กับสัตว์ป่าที่ดูเหมือนจะเป็นเสือก็ไม่เชิง สิงโตก็ไม่ใช่ แต่เพราะเวลาที่ไม่คอยท่า ด้วยกลัวว่าบุรุษตรงหน้าจะโดนขย้ำเสียก่อน นางจึงหยิบด้ามธนูออกมาพร้อมลูกธนูที่อาบด้วยยาพิษชนิดพิเศษที่นางเป็นผู้คิดค้นขึ้นเอง ก่อนจะเล็งเป้าไปที่สัตว์ดุร้ายตัวนั้นที่กำลังเดินเข้าหาเหยื่อด้วยความหิวกระหาย
เฟี้ยว!!
เสียงลูกธนูพุ่งตรงไปกลางลำตัวของสัตว์ตัวนั้นได้อย่างแม่นยำไม่พลาดเป้า สัตว์ตัวนั้นร้องคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่มันจะล้มลงและขาดใจตายในที่สุด เมื่อทุกอย่างสงบลง นางก้าวออกจากที่ซ่อนและเดินตรงไปหาบุรุษที่โชกไปด้วยเลือดจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้จนพลาดท่าเกือบถูกสัตว์ร้ายขย้ำ
“กินยาห้ามเลือดนี้เสีย” ไม่รีรอให้บุรุษผู้นั้นได้เอ่ยปาก นางรีบหยิบยาลูกกลอนสีดำที่นางทำเองยัดเข้าปากเขาอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัว
“เจ้าไปโดนอะไรมา ดูจากบาดแผลของเจ้าแล้วมันไม่ใช่รอยกัดหรือรอยขย้ำ แต่เป็นรอยฟันจากดาบ หรือว่าเจ้าจะถูกทำร้าย” นางเอ่ยสันนิษฐานหลังจากสำรวจบาดแผลดูอย่างละเอียด
“ข้าถูกลอบทำร้ายระหว่างที่ออกล่าสัตว์” เขาเอ่ยปากในที่สุด ก่อนจะเหลือบมองดรุณีน้อยตรงหน้าที่เข้ามาช่วยเขาอย่างไม่ลังเล ช่างเป็นสตรีที่แปลก
“ใครกันที่กล้าทำร้ายเจ้า แม้แต่เด็กก็ยังมิเว้น” นางเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด
“ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้า ดรุณีน้อย” เขาเอ่ยขึ้นเสียงแหบพร่าเพราะสติของเขากำลังจะเลือนรางด้วยบาดแผลบวกกับพิษไข้อ่อน ๆ แต่เขาก็ยังพยายามที่จะฝืนตัวเอง มือหนาล้วงเข้าไปในสาบเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือดก่อนจะหยิบปิ่นปักผมหยกไม่มีลวดลายให้แก่นาง ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ปิ่นหยกนี้ข้าให้เจ้า เก็บไว้ให้ดี เมื่อถึงเวลาข้าจะมาหาเจ้าที่นี่ ที่ตรงนี้จะกลายเป็นสัญญาของเจ้ากับข้า” เขาเงยหน้าสบตากับดรุณีน้อย ดวงตาสีดอกท้อช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก ถึงแม้จะมิเห็นใบหน้าที่งดงามนั้นเด่นชัด แต่ดวงตาสีดอกท้อเขาจะไม่มีวันลืมนาง นั้นคือความรู้สึกสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดดับลงในที่สุด
“เฮ้!!... นี่เจ้า อย่าเพิ่งหลับสิ” นางพยายามตบใบหน้าของเขาเบา ๆ เพื่อเรียกสติและกังวลว่าเขาจะเป็นอะไร แต่พอจับชีพจรดูก็ทำให้นางถึงกับเบาใจลงได้ แค่เพลียเลยหลับไป นางนั่งเฝ้าเขาอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงควบม้ามาใกล้ ๆ ที่นางอยู่ มือเรียวยกดาบคู่ใจขึ้นมาเพราะนางไม่แน่ใจว่าผู้มาใหม่จะเป็นมิตรหรือศัตรู
จนเมื่อนางมั่นใจว่าเป็นคนของบุรุษผู้นี้ นางก็เบาใจขึ้นมาทันที ก่อนจะขึ้นขี่ม้าคู่ใจวิ่งหายไปอีกทาง...
ตั้งแต่นั้นมาบุรุษผู้นั้นก็เข้ามาอยู่ภายในหัวใจของนางตั้งแต่เมื่อใดก็มิรู้ ยามเมื่อนางมองปิ่นปักผมหยกที่เขาให้ไว้ นางก็คิดถึงเขาขึ้นมาทุกที จนเวลาล่วงเลยผ่านมาอีกห้าปี ตอนนี้นางอายุได้สิบหกหนาวแล้ว แต่นางก็ยังจำคำสัญญาของคนผู้นั้นได้เป็นอย่างดี แม้นางจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน และไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านมากี่ปีนางก็ยังจดจำใบหน้าของคนผู้นั้นได้เป็นอย่างดี
และแล้ววันหนึ่งในขณะที่นางกำลังแอบหนีออกจากจวนเหมือนเช่นเคย เพื่อมาเดินเที่ยวเล่นในตลาดโดยการปลอมตัวเป็นคุณชายน้อย เดินดูนู่นดูนี่อย่างเพลิดเพลิน จนไปสะดุดกับขบวนเสด็จขององค์ชายพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เดิมทีนางก็มิได้สนใจสิ่งใดอยู่แล้ว ถ้าสายตาของนางไม่เหลือบไปเห็นใครบางคนเข้า คนที่แม้จะผ่านไปสักกี่ปี นางก็ไม่เคยลืม แค่เห็นนางก็จำได้แล้ว
มือบางกำปิ่นหยกในสาบเสื้อไว้แน่น นางเจอเขาแล้ว เขาจะจำนางได้ไหม
นางไม่รู้ว่าตัวเองเผลอวิ่งไปขวางทางเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินน้ำเสียงตะโกนด่าทอนาง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงขององครักษ์ แต่นางกลับไม่ได้สนใจและทำเหมือนไม่ได้ยิน ก่อนจะเงยหน้ามองบุคคลที่นางฝันถึงอยู่แทบทุกคืนวัน
“เหตุใดเจ้าถึงกล้ามาขวางทางเรา” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยถามขึ้นพลางมองนางด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
“ท่านจำข้าได้หรือไม่”
นางเอ่ยออกไปพลางจ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างต้องการคำตอบ เขาหรี่ตามองนางเพียงเล็กน้อย ก่อนจะตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ข้ามิเคยรู้จักเจ้ามาก่อน คุณชายน้อย ได้โปรดอย่าขว้างทางข้า”
แต่ก่อนที่นางจะทันได้พูดอะไร น้ำเสียงหวานใสก็ดังขึ้นเสียก่อนทำให้นางต้องชะงักลงพลางมองไปทางต้นเสียงที่มา
“ใครหรือเพคะ องค์ไท่จื่อ”
“เปิ่นไท่จื่อก็ไม่รู้จัก เราไปกันเถิด” ว่าจบเขาก็จับมือหญิงสาวตรงหน้าแล้วเดินจากไป ปล่อยให้นางยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
เขาจำนางมิได้ แถมยังมีคนรักแล้ว
หลังจากที่นางให้คนของนางไปสืบเรื่องของเขา นางก็ได้รับรู้ว่าเขาคือองค์ไท่จื่อ เป็นโอรสสวรรค์องค์โตที่เกิดจากฮองเฮา และยังมากความสามารถตั้งแต่อายุได้ห้าขวบปี ได้เข้าร่วมรบสงครามด้วยอายุเพียงสิบขวบปีเท่านั้น และสตรีที่อยู่ข้างกายพระองค์ก็คือคนที่พระองค์ทรงปักใจรัก นางคือบุตรสาวคนเล็กของเสนาบดี เป็นลูกที่เกิดจากฮูหยินรอง
นับจากนั้นเป็นต้นมานางก็ละทิ้งอิสระของตนเอง และหันมาฝึกเย็บปักถักร้อย ดีดพิณ และร่ายรำอย่างจริงจัง เพื่อให้เขาหันมาสนใจนางและจำคำสัญญาครั้งนั้นให้ได้ แต่เขาก็ยังคงไม่สนใจนาง จนหญิงสาวต้องขอร้องให้ท่านพ่อทูลขอสมรสพระราชทานให้กับนางและองค์ไท่จื่อ บุรุษที่นางรัก ท่านพ่อของนางในตอนแรกก็ไม่ยอม จนนางต้องใช้กลยุทธ์เด็ด ๆ มาต่อรองกับท่านพ่อ ในที่สุดท่านพ่อของนางก็จำต้องรับปากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จนวันพิธีแต่งงานมาถึง หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอยยิ้มของนางดูมีความสุขที่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรัก และคาดหวังว่าเขาเองก็มีความสุขเช่นเดียวกัน แต่นางกลับคิดผิด เจ้าบ่าวของนางทำหน้าบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลา เขาไม่เคยแม้แต่จะชายตาแลมองนางเสียด้วยซ้ำ หรือแม้กระทั่งในคืนเข้าหอ เขาก็ปล่อยให้นางนั่งรออยู่ในห้องเพียงลำพัง ส่วนตัวเขาแอบหนีไปพบกับคนรัก พอกลับมาก็ทำเหมือนนางไม่มีตัวตนในสายตา นางพยายามที่จะใช้ความดีเข้าช่วย แต่ยิ่งทำยิ่งห่างไกล ดูเหมือนว่าเขาจะจงเกลียดจงชังนางที่ทำให้เขาต้องพลัดพรากจากคนรักมาก
จนเวลาล่วงเลยผ่านไปสามปี เขาได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ส่วนนางได้ขึ้นเป็น ฮองเฮา มารดาของแคว้นต้าจู ส่วนคนรักของเขาได้เลื่อนขั้นเป็นกุ้ยเฟย แม้เขาจะไม่บอกกล่าวนางสักคำ และทำราวกับว่านางไม่มีตัวตน แต่นางก็ยังคงจงรักภักดีต่อเขา เพราะคาดหวังในอนาคตว่าเขาอาจจะเห็นความดีของนางไม่มากก็น้อย แต่ทว่านางกลับคิดผิด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่เขาก็ยังคงรักและโปรดปรานคนรักของเขาอย่างสม่ำเสมอ จนแทบไม่เห็นนางและนางสนมคนอื่น ๆ อยู่ในสายตา
ความเจ็บปวดเริ่มเข้ามาปะทุในอกอย่างแสนสาหัส นางเริ่มหยาบคายและไประรานสตรีนางนั้น จนกระทั่งถูกพระสวามีตัวเองสั่งฆ่าอย่างเลือดเย็นโดยการให้องครักษ์เงาคนสนิทของพระองค์วางยาหมื่นพันพิษให้แก่นาง นางรู้ดีว่าพิษชนิดนี้ถ้าโดนเข้าไปก็มีแต่ตายกับตาย แต่ในเมื่อนางหมดสิ้นความหวัง นางก็มิอาจที่จะมีชีวิตอยู่ได้ นางจึงเลือกที่จะแสดงละครงิ้วฉากนั้นจวบจนลมหายใจดับสูญ
ก่อนตายนางจึงได้อธิษฐาน ชาตินี้นางโง่เขลา แต่ถ้าฟ้าดินเป็นพยาน ไม่ว่าชาติหน้าดวงวิญญาณของนางจะไปเกิดเป็นอะไร ที่ภพใด เมื่อถึงเวลา ขอให้นางระลึกชาติได้และกลับมาแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด พาร่างกายนี้ออกไปจากวังวนแห่งนี้ เมื่อนางกล่าวด้วยความเด็ดเดี่ยวและมั่นคงจบ ก็เกิดเสียงดังอื้ออึงของพายุที่โหมกระหน่ำ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงคล้ายกับไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน