ตอนที่ 2 : ข่าวร้าย

2145 Words
ตอนที่ 2 ข่าวร้าย   ร่างบอบบางนั่งเหม่อลอยอยู่ริมหน้าต่างภายในตำหนักร้างที่ไร้นางกำนัลและขันทีโดยไม่ได้ขยับไปไหนตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนั้นนางตัดสินใจดื่มยาพิษหมื่นพันปีที่องครักษ์ส่วนพระองค์เป็นคนมายื่นให้กับนาง แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าพระสวามีของตนต้องการอะไรก็ตาม มันยิ่งทำให้นางรู้สึกสมเพชตัวเองที่ไปหลงรักคนอย่างเขาเพียงเพราะคำมั่นสัญญาที่นางหวังว่าสักวันเขาจะจำมันได้ หญิงสาวหลับตาลงช้า ๆ เพื่อทบทวนเรื่องราวที่ไหลเวียนเข้ามาในความทรงจำไม่ขาดสาย ในเวลานี้นางจำทุกอย่างที่เกี่ยวกับอดีตของตนเองได้แล้ว และยังคงสับสนกับความรู้สึกของตัวเองที่ยากจะยอมรับ แต่จะโทษใครได้ ในเมื่อนางเป็นคนดันทุรัง เต็มใจที่จะอยู่ในกรงทองนี้เอง เพียงเพราะความโง่งมของนางที่ปักใจรักเพียงแต่เขาจนเผลอทำเรื่องเลวร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ สุดท้ายจึงต้องถูกขับไล่ไสส่งให้มาอยู่ที่ตำหนักร้างหลังวังเช่นนี้ แถมนางกำนัลและขันทีที่เคยรับใช้นางก็ถูกเรียกตัวกลับไปหมด ปล่อยให้นางต้องอยู่อย่างยากลำบาก แม้แต่สำรับอาหารที่จินเถานำมาให้ก็มีแต่ผัก ไม่มีเนื้อสัตว์เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ช่างอนาถอะไรเช่นนี้... ดูเอาเถิด ตัวนางเองเป็นถึงฮองเฮา มารดาของแผ่นดิน แต่กลับต้องถูกนำมาทิ้งไว้ในตำหนักร้างให้ตายทั้งเป็น แต่เหมือนสวรรค์จะเห็นใจนางอยู่บ้าง พอฟื้นขึ้นมายาพิษที่อยู่ในร่างกายของนางกับถูกขับออกมาจนหมด อันที่จริงมาอยู่ในตำหนักร้างเช่นนี้ก็ดี นางพอมีความรู้ความสามารถอยู่บ้าง และเพราะร่างเมื่อภพที่แล้วของนางก็เรียนจบถึงระดับปริญญาตรี แม้จะเป็นเด็กกำพร้า แต่นางก็กัดฟันจนถึงวันที่นางเรียนจบ ยังมิทันที่จะได้ใช้ชีวิตให้คุ้ม นางกลับต้องมาอยู่ในชาติภพนี้ ถ้าเป้าหมายสำเร็จนางจะได้ไปเกิดในภพนั้นอีกหรือไม่? ...นางอยากเป็นนางสาวเนตรนภา มิใช่เยว่มี่ฮวา แต่เนตรนภากับเยว่มี่ฮวาก็คือนางทั้งคู่ เฮ้อ!! ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ก่อนอื่น นางอยากพบท่านพ่อกับท่านแม่ ถ้าได้สวมกอดพวกท่านนางก็คงรู้สึกดีมิใช่น้อย เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็ขยับกายก่อนจะเรียกหาสาวใช้ส่วนตัว “จินเถา” “เพคะฮองเฮา” “จินเถา ข้าเคยบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกข้าตามเดิมก่อนเข้าวัง เหตุใดเจ้าถึงมิเคยจำ” “จินเถาขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู” “อืม... ช่างเถิด” นางโบกมืออย่างไม่ถือสา “จินเถาท่านพ่อท่านแม่ของข้าเป็นเช่นใดบ้าง” นางเอ่ยถามสาวใช้ประจำตัวของนางด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย แตกต่างจากจินเถาที่พอได้ยินคุณหนูของตนเอ่ยถามก็ถึงกับสั่นสะท้านไปถึงในอก นางลืมไปว่าคุณหนูของนางยังมิทราบเรื่องและนางก็มิคิดที่อยากจะบอก แต่อยู่ ๆ ทำไมวันนี้คุณหนูของนางถึงถามหา และนางจะตอบว่ายังไงดี “คุณหนู อภัยให้จินเถาด้วยเจ้าค่ะ” เสียงคุกเข่าล้มตึงทำให้นางวิ่งถลาเข้าไปหาแทบจะทันที “เจ้าเป็นอะไร ทำไมต้องขออภัยจากข้า” “ฮึก... คุณหนู...” เหตุใดสาวใช้ของนางถึงร้องไห้เช่นนี้ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของนาง “เกิดอะไรขึ้น เล่ามาซิจินเถา” น้ำเสียงกดต่ำและกดดันทำให้จินเถาถึงกับปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ตั้งแต่วันที่คุณหนูล้มป่วย ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งเรียกตัวนางกำนัลและเหล่าขันทีให้ไปดูแลสนมใหม่ ถ้าใครขัดคำสั่งมีโทษถึงประหาร และหลังจากนั้นไม่นานท่านแม่ทัพและเหล่าฮูหยิน ไม่เว้นแม้แต่คุณหนูคุณชายน้อยถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียวเลย เพคะ แถมยังสั่งให้เผาจวนเพื่อทำลายหลักฐานจนมิเหลือแม้แต่ชิ้นเดียวเพคะ” “จะ... เจ้าว่าอย่างไรนะ!!!” นางเผลอขึ้นเสียงใส่สาวใช้อย่างลืมตัว ครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของนางถูกสังหารทั้งตระกูลไม่เว้นแม้แต่บ่าวไพร่โหดร้ายเกินไปแล้ว ท่านแม่... ท่านแม่รอง... เพียงแค่คิดน้ำตาของนางก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย ไม่ว่านางจะพยายามข่มอารมณ์มากเพียงใดก็ตาม นางแทบอยากจะตายอีกสักรอบ จะได้มิต้องทนเห็นสิ่งที่โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ “เจ้ารู้ไหมว่าใครเป็นคนทำ” “หม่อมฉันได้ยินมาว่า... ฝ่าบาทเป็นคนบงการอยู่เบื้องหลัง เพคะ” จินเถาตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หึ!! ฮ่า ๆ ๆ... มันจะมากเกินไปแล้ว ไอ้ฮ่องเต้งี่เง่า เจ้าทำกับข้าเพียงคนเดียวยังมิพอ ยังฆ่าครอบครัวของข้าได้ลงคอ ไอ้ฮ่องเต้ สารเลว ดี ต่อไปนี้เจ้าก็หวังว่าข้าจะอภัยให้เจ้า คนที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้อย่างเลือดเย็นเช่นเจ้า สักวันผลกรรมจะตามทัน” นางหัวเราะอย่างกับคนบ้าทั้ง ๆ ที่น้ำตาไหลพราก นางไม่เคยเจ็บปวดใจกับอะไรเท่ากับการสูญเสียครอบครัวที่นางรัก นางก่นด่าอดีตสามีอย่างหยาบคาย บัดนี้นางไม่เหลือใครแล้ว แม้กระทั่งครอบครัว และเหตุการณ์ทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้น ถ้านางไม่ดื้อรั้น ยืนกรานจะแต่งกับเขา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาไม่เคยมีใจให้นาง นางยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อความรัก ยอมเห็นแก่ตัวเพื่อให้ได้ครอบครองเขา ไม่ฟังคำคัดค้านของบิดามารดา แต่มันสมควรแล้วหรือ ที่จะต้องฆ่าล้างตระกูลของนางจนหมดสิ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวนางเอง และมันก็ถึงเวลาที่นางควรจะพอได้แล้ว บุรุษที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของนางยังมิไยดีนาง แล้วทำไมนางต้องทนเจ็บช้ำปางตายอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ตอนนี้นางไม่มีอะไรติดค้างกับบุรุษผู้นั้นอีกต่อไปแล้ว ทว่าภายใต้ความผิดหวังและเสียใจของสตรีนางหนึ่งที่ตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง กลับมีเงาดำสายหนึ่งกำลังคืบคลานอย่างเงียบเชียบ บุรุษร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำท่าทางองอาจคุกเข่าต่อพระพักตร์ฮ่องเต้อย่างสุขุมเยือกเย็น “เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่คิดว่าพวกเขาจะกล้าลงมืออย่างอุกอาจเช่นนี้” จิ้นหลิง องครักษ์ส่วนพระองค์เอ่ยขึ้น “คอยจับตาดูต่อไป พวกมันคงไม่หยุดแค่นี้แน่ สังหารคนตระกูลเยว่ได้นับว่ามีฝีมือไม่เลว” พระองค์ตรัสขึ้นโดยที่สายตายังไม่ละจากหนังสือ หลังจากที่องครักษ์ออกไปแล้ว ร่างสูงก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ข่าวที่จวนสกุลเยว่ถูกฆ่าล้างตระกูลสร้างความสะเทือนใจให้เขาไม่น้อย ต่อให้เขาจะเกลียดชังสตรีนางนั้นมากเพียงใดก็ตาม แต่ตระกูลสกุลเยว่ก็นับเป็นตระกูลที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา และเป็นครอบครัวที่สงบสุข แตกต่างจากสกุลอื่น ๆ ที่คอยแต่จะแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันจนเขาต้องปวดหัวอยู่หลายครั้ง “จินเถา เจ้าอยู่รับใช้ข้ามานานเท่าไหร่แล้ว เจ้าไม่คิดที่จะออกไปสร้างครอบครัวของเจ้าบ้างรึ ข้ามิอยากให้เจ้าต้องมาลำบากกับข้าที่ตอนนี้ไร้อำนาจเสียแล้ว” นางเอ่ยขึ้นกับสาวใช้คนสนิทในเช้าวันหนึ่ง หลังจากที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักในวันนั้น นางก็ได้คิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ทำให้นางตัดสินใจอะไรบางอย่าง จินเถาได้ยินเช่นนั้นก็ถลาเข้าหาผู้เป็นนายก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คุณหนู บ่าวรับใช้คุณหนูมาตั้งแต่เด็ก ๆ แม้ยามลำบากบ่าวก็มิเคยคิดที่จะจากคุณหนูไปไหน คุณหนูโปรดเมตตาให้บ่าวอยู่ต่อนะเจ้าคะ แม้แต่ชีวิตบ่าวก็ให้คุณหนูได้ ขอแค่คุณหนูเอ่ยมาบ่าวก็พร้อมเจ้าค่ะ” “แต่ข้ากำลังจะไปจากที่นี่ ไปอยู่ในที่ไกลแสนไกล ถ้าเจ้าไปด้วยข้าเกรงว่าเจ้าจะลำบาก ในวังแห่งนี้ ถ้าเจ้าไปรับใช้สนมนางอื่น เจ้าอาจจะสุขสบายกว่า ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องฝืนใจตัวเองเพราะข้า” “ไม่เจ้าค่ะ คุณหนูไปไหนบ่าวไปด้วย ถ้ามิใช่คุณหนู บ่าวขอยอมตายเจ้าค่ะ” เยว่มี่ฮวารู้สึกว่าตนช่างโชคดีนัก แม้ว่าภายในวังจะเต็มไปด้วยอันตรายรอบตัว แต่นับว่าเป็นเรื่องดีที่นางได้ถูกเนรเทศมาอยู่ในตำหนักร้างเช่นนี้ ทำให้ได้เห็นน้ำใจที่แท้จริงของคน “ข้าขอบใจเจ้ามากที่มิเคยทิ้งข้าไปไหน” หลังจากที่ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ นับจากวันนั้นก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้วที่นางเริ่มพยายามฟื้นฟูร่างกายตัวเองให้กลับมาแข็งแรงโดยเร็วที่สุด อย่างน้อยก่อนที่นางจะตบแต่งให้กับเขา นางก็พอเป็น วรยุทธอยู่บ้าง ทั้งสมุนไพรและยารักษานางก็เป็นคนค้นคิดขึ้นมา ไหนจะมีความสามารถของนางที่ปกปิดเอาไว้อีก คงถึงเวลาแล้วที่นางจะต้องกลับมาเป็นนางคนเดิม คนที่ชอบท่องเที่ยวและรักอิสระ สมัยเด็ก ๆ นางชอบหนีบิดามารดาออกนอกจวนบ่อย ๆ โชคดีที่นางชอบฝึกฝนวิชาการต่อสู้จากท่านพี่และบิดา ยามเมื่อนึกถึงพี่ชายที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายนางก็ให้รู้สึกหดหู่ขึ้น โชคยังดีที่พี่ชายของนางหนีรอดไปได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ร่างระหงนั่งเหม่อลอยเหมือนเช่นทุกวัน แต่วันนี้แตกต่างออกไป เมื่อในมือของนางถือของสำคัญที่นางพกติดตัวไว้ตลอดเวลา ของเพียงชิ้นเดียวที่นางเก็บไว้ ไม่เคยมีผู้ใดได้เห็น แม้แต่สาวใช้ของนางเอง มันคือปิ่นปักผมหยกที่ไม่มีลวดลายอะไร นางลูบคลำอยู่นาน ก่อนที่จะเก็บเข้าไปในสาบเสื้อเหมือนเดิม “จินเถา เจ้าเตรียมพร้อมแล้วใช่ไหม” “เจ้าค่ะคุณหนู” เยว่มี่ฮวาพยักหน้ารับรู้โดยที่ไม่พูดอะไร “คุณหนูคิดดีแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?” “อืม” นางตอบรับเพียงสั้น ๆ ใช่แล้ว คืนนี้นางจะหนีไปจากที่นี่ หนีไปให้ไกจากคนผู้นั้น บุรุษที่นางเคยรักจนหมดใจ ยังดีที่นางและสาวใช้คนสนิทพอจะรู้วรยุทธอยู่บ้าง หลายวันที่ผ่านมานางได้สำรวจทางหนีไว้หมดแล้ว เหลือเพียงแค่เอาของสิ่งนี้ไปคืนให้แก่คนผู้นั้น จะได้เอ่ยอำลาเป็นครั้งสุดท้าย ค่ำคืนนั้น ภายในห้องบรรทมของฮ่องเต้หยางหลินเฟย มีเงาดำคืบคลานเข้ามาอย่างช้า ๆ โดยที่เจ้าของร่างสูงยังคงหลับสนิท ร่างระหงในชุดสีดำเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง นางยืนมองเขาเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะเอามือล้วงเข้าไปในสาบเสื้อ แต่แล้วนางก็ต้องชะงักเมื่ออยู่ ๆ ร่างสูงที่คิดว่าหลับสนิทก็พุ่งเข้าหานางอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้ตั้งตัว มือบางถูกมือแกร่งรวบไว้ข้างหลังทั้งสองข้าง “เจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของบุรุษผู้สูงศักดิ์ทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง นางยังคงนิ่งเฉย แม้จะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมากเพียงใด แต่เมื่อนึกถึงวันที่เขาฆ่านางและครอบครัวของนาง ความโกรธแค้นที่มีต่อเขาทำให้นางลืมความเจ็บปวดไปจนหมดสิ้น “หึ หม่อมฉันเป็นใครไม่สำคัญ” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าบังอาจมากที่ลอบเข้ามาในตำหนักของเราเช่นนี้ นับว่าไม่เลว” “มากกว่านี้หม่อมฉันก็ทำได้เพคะ” นางอาศัยจังหวะที่เขาเผลอ สลัดแขนตัวเองจนหลุด ก่อนจะฝังเข็มยาชาเข้าที่ต้นคอเขาอย่างรวดเร็ว เพียงเวลาไม่นาน พระองค์ก็รู้สึกว่าไม่สามารถที่ขยับร่างกายได้ดั่งใจ พระพักตร์จ้องมองสตรีตรงหน้าเขม็ง “เจ้าต้องการอะไร” “หม่อมฉันมิต้องการอะไรจากพระองค์หรอกเพคะ หม่อมฉันแค่นำของมาคืนพระองค์เท่านั้นเอง” นางกล่าวพร้อมกับเอามือล้วงเข้าไปสาบเสื้อและหยิบของสำคัญออกมา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD