เพลิงอัคคีพกพาใบหน้าถมึงทึงก้าวลงจากรถ ก่อนจะพาขาเท้ายาวๆ มาหาคนบ้าที่ริอ่านอยากตาย ดวงตาคมกล้ากวาดมองร่างเล็กอย่างเอาเรื่อง
“นี่เธอเป็นบ้าอะไรฮะ!” เสียงตวาดดังสนั่น แต่ก็คงไม่ดังมากพอให้ไทยมุงฝรั่งมุงจับตามอง ก้าวอาดๆ มาคว้าเรียวแขนบอบบางได้เสียงคำถามก็ดังขึ้นอีกครา
“ฉันถามว่าเป็นบ้าอะไร ถ้าฉันเบรกไม่ทันเธอได้ตายสมใจแน่”
“ก็ฉันอยากตาย นายเบรกทำไมเล่า!” นั่นคือประโยคแรกที่เพลิงอัคคีได้ยิน
สายตาคมกริบกวาดมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ริมฝีปากหนาแสยะยิ้ม
“เอาสมองส่วนไหนคิด เธอห้อยหัวยืนอยู่บนโลกรึไง ถึงได้สิ้นคิดขนาดนี้” ชายหนุ่มต่อว่า
“นั่นมันก็เรื่องของฉัน”
เกศน์สลิลเงยหน้าขึ้นมาเถียง วินาทีแรกที่เพลิงอัคคีเห็นก็คือผู้หญิงที่มีหน้าตาเป็นอาวุธ หล่อนสวยบาดตาบาดใจ ในชุดแซกสีน้ำตาลอ่อนสั้นเหนือเข่า ไหล่ลาดเนียนนั่นทำให้หัวใจเขาหวั่นไหว จนเกิดอาการตาค้างไปชั่ววินาที แต่ความโง่เขลาเบาปัญญาที่หล่อนกระทำนั้นทำให้ความสะสวยที่หล่อนมีติดลบจนกู่ไม่กลับ
“สวยแต่โง่” ชายหนุ่มนึกในใจ
“ฮือๆๆ ทำไมนายไม่ชนฉัน จะเบรกทำไม” เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังขึ้น ครบสูตรผู้หญิงที่เขาเกลียด หล่อนเริ่มน่ารำคาญ ไม่พูดพร่ำทำเพลงแหกปากร้องไห้กระซิกๆ
“เอาล่ะหยุดร้อง เรามาคุยกันดีๆ”
ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอ เกศน์สลิลเงยหน้าขึ้นมาสบมอง ก่อนจะพยักหน้าให้กับคนแปลกหน้าที่เธอไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม รู้แต่ว่าเขาเป็นเจ้าของรถที่เธอหวังจะให้ชนร่างของตัวเองโครมใหญ่ แต่ดูเหมือนไม่โดนชนแล้วยังจะโดนอบรมเสียมากกว่า
“บ้านคุณอยู่ที่ไหน?” คำตอบก็คือการส่ายหน้า
“แล้วพ่อแม่ญาติพี่น้องล่ะ” เกศน์สลิลส่ายหน้าอีกครั้ง
“เพื่อน แฟน คนรัก ใครก็ได้สักคน” ดวงตาของคนฟังแดงก่ำ มือบางหญิงตัวเองแน่นก่อนจะฝืนส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“นี่คุณ สมองเสื่อมรึไงถึงจำอะไรไม่ได้ แล้วชื่อล่ะจำได้ไหม”
“น้ำพั้นซ์”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาตอบ ส่วนคำถามแรกๆ ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้แต่เธอไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากตอบคำถามที่ประดังประเดเข้ามาต่างๆ นานา ไม่อยากเจอพ่อ ไม่อยากเจอเพื่อน และที่สำคัญไม่อยากเจอ ‘อดีตแฟน’
“ดีที่ยังจำชื่อตัวเองได้ แล้วจะไปไหนผมจะได้ไปส่ง” หญิงสาวแหงนเงยขึ้นมาสบสายตา ก่อนน้ำเสียงมั่นคงจะดังขึ้น “ผับ” สั้นๆ ได้ใจความ สถานที่รื่นเริงของนักท่องเที่ยวราตรี
“ได้ ขึ้นรถสิ”
รถกระบะเคลื่อนตัววกกลับเข้าตัวเมืองเชียงรายอีกครั้ง โดยมีผู้โดยสารคนสวยติดรถมาด้วยหนึ่งคน ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากดื่มอยากเที่ยวอยากปล่อยตัวเองไปกับแสงสียามค่ำคืน โดยชะตาลิขิตให้เพลิงอัคคีทำหน้าที่เป็นพลขับที่ดี จนกระทั่งครึ่งชั่วโมงต่อมารถโฟร์วิลคันใหญ่ค่อยๆ ชะลอและจอดสนิทหน้าผับดังแห่งหนึ่ง
“ถึงแล้วลงไปสิ” เสียงทุ้มดังขึ้น คงฟังหันขวับมามองเสี้ยวหน้าคมๆ แทบจะทันที
“นายไปดื่มเป็นเพื่อนฉันได้รึเปล่า”
เกศน์สลิลนิ่งรอฟังคำตอบ เพลิงอัคคีจ้องมองใบหน้าที่เริ่มรื้นไปด้วยหยาดน้ำตา ดูท่าทางกำลังเสียใจ กำลังเป็นทุกข์อย่างหนัก จู่ๆ เขาก็รู้สึกใจแป้วอย่างประหลาด ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะถอดเสื้อสูทสีดำพาดไว้กับเบาะรถ กระดุมข้อมือของเสื้อเชิ้ตถูกแกะออกจากรังดุม ก่อนจะพับถลกแขนเสื้อขึ้นมาเหนือข้อศอก แล้วก้าวลงจากรถเดินเข้าไปข้างในผับโดยมีหญิงสาวแปลกหน้าเดินตามหลังมาติดๆ
ชายหนุ่มเลือกนั่งที่โซฟามุมสบายของร้าน คนไม่พลุกพล่านมากนัก เสียงเพลงดังกระหึ่ม แสงสีสาดส่องจนรอบบริเวณ ถ้าหากใครไม่เคยเข้ามาคงหวิวๆ ชวนหน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม
“รับเครื่องดื่มอะไรดีครับ” เสียงบริกรหนุ่มเดินเข้ามาถาม
“เบอร์เบิ้นวิสกี้ (Bourbon Whiskey)” หญิงสาวสั่ง เพลิงอัคคีหันขวับ ก่อนจะเอ่ยบอกบริกรเสิร์ฟเช่นกัน
“White Fruit Brandy (บรั่นดีผลไม้สีขาว)”ล
บริกรเสิร์ฟน้อมรับออร์เดอร์และเดินจากไปแล้ว ผ่านไปเพียงชั่วครู่ก็กลับมาพร้อมแก้วเครื่องดื่มอย่างที่ลูกค้าต้องการ ชายหนุ่มมองใบหน้าของคนสั่งเบอร์เบิ้นวิสกี้นิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“อย่างคุณน่าจะดื่มไวน์นะ จะได้ไม่น๊อคซะก่อน”
คนฟังเหลือกตาขึ้นมามองเพียงนิด ก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่ายเต็มกำลัง “ฉันให้คุณมาดื่มเป็นเพื่อน ไม่ได้ให้มาอบรมสักหน่อย”
“โอเค ตามใจนั่นมันตัวของคุณ คุณจะเมาหัวราน้ำก็ตามสบายผมไม่เกี่ยว”
เสียงสนทนายุติลง ความเงียบเริ่มเข้ามาเป็นมือที่สาม ขนาดเสียงเพลงในผับยังให้ความรู้สึกวังเวง เพลิงอัคคีนั่งจิบบรั่นดีไปเรื่อยๆ เผลอแป๊บเดียวแก้วเบอร์เบิ้นวิสกี้ก็วางเรียงรายสามสี่ใบ ใบหน้าคนนั่งฝั่งตรงข้ามเริ่มแดงก่ำ สติของเธอดูเหมือนจะถดถอยจนน่าใจหาย
เกศน์สลิลดื่มหนักมากที่สุดในรอบอายุยี่สิบห้าปี ความทุกข์ในจิตใจเริ่มถูกระบายออกมา ดวงหน้าเรียวสวยนั้นแหงนเงยกวาดมองเพลิงอัคคีที่นั่งฝั่งตรงข้ามก่อนจะพยุงร่างกายที่หมุนวนเหมือนโลกแตกลุกขึ้น ทว่า...เจ้าตัวกลับพลาดถนัดหล่อนเซซังเกือบหัวฟาดโต๊ะกระจกที่วางอยู่ตรงหน้าดีที่ชายหนุ่มคว้าไว้ได้ทัน
“ปล่อย....ฉาน...” หล่อนสั่งเสียงครางยาน
“ก็ไม่ได้อยากจะแตะ นั่งดีๆ สิคุณเดี๋ยวก็ได้หัวฟาดพื้นตายหรอก”
“ดี...ฉาน...อยาก...ตาย...”
เพลิงอัคคีปล่อยคนอยากตายให้เซซังนั่งอยู่ข้างๆ คำก็อยากตายสองคำก็อยากตาย เขาอยากรู้นักเจ้าหล่อนเป็นอะไร “ทำไมคุณถึงอยากตาย” ชายหนุ่มถามและนั่งรอฟังคำตอบอยู่เงียบๆ
เกศน์สลิลนั่งนิ่งหล่อนบอกกับตัวเองว่านิ่ง ทั้งที่ความจริงแผ่นหลังบอบบางแนบอยู่กับพนักพิงของโซฟา มือข้างขวาถือแก้ววิสกี้ที่ส่งกลิ่นเคล้าคลึง ศีรษะได้รูปเอนลงอย่างไร้ทิศทาง น้ำตาที่มันมาจากไหนก็ไม่รู้ไหลเทกระหน่ำราวกับสายฝน เพลิงอัคคีตัวเย็นวาบเมื่อเห็นน้ำตาใสๆ ที่ไหลรินอยู่ตรงหน้า
เขาคว้าร่างระหงเข้ามากอด สติบอกให้ทำอย่างนั้น มือหนาได้รูปเคลื่อนลูบไล้แผ่นหลังบอบบางอย่างปลอบประโลม “ไม่เป็นไรไม่ต้องร้อง เงียบซะนะคนดี” ชายหนุ่มปลอบทั้งที่จริงไม่ควรทำอย่างนั้น แต่ให้ตายเถิดเพลิงอัคคีเกลียดน้ำตาผู้หญิงที่สุด ได้ยินทีไรหัวใจจะขาดเสียให้ได้ ‘โรคแพ้น้ำตาสตรีกำเริบ’
“นาย...กลับ...กัน...เถอะ” หล่อนเอ่ยชวน
ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะวางเงินห้าพันบาทไว้ที่โต๊ะกระจก ค่อยๆ พยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้นก่อนจะก้าวออกจากผับชื่อดังด้วยท่าทางทุลักทุเล แน่นอนสภาพบรรยากาศแบบนี้คงไม่มีใครสนใจถ้าหากจะหิ้วปีกผู้หญิงสักคนออกจากผับมันเป็นเรื่องที่ใครๆ เขาก็ทำกัน