ยามที่เมืองฝูหลิงมีขุนศึกเพิ่มมาอีกผู้หนึ่ง ก็เพิ่มศักยภาพในการรบได้ดียิ่งขึ้น ทัพเทียนหลิงสามารถช่วยตัวประกันและเชลยศึกที่ถูกควบคุมตัวไว้กลับมาได้มาก มีสตรีและเด็กนับหมื่นคน หนึ่งในนั้นมีคู่หมั้นของหวงเกาเทียนอยู่ด้วย ยามพบกันคราแรก นางก็กอดรัดหวงเกาเทียนจนแน่น แต่ทว่าหวงเกาเทียนนั้นมิใคร่ชอบให้สตรีใดทำเช่นนี้นัก จึงแกะมือของนางออกไปและดุนางขึ้นมา
“ลี่ฉางอย่าได้ทำเช่นนี้อีก ข้ามิชอบนัก อีกทั้งยามนี้เจ้าก็มิบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว กฎของราชนิกุลมีอยู่มากมายอย่าได้ฝ่าฝืนเลย ต่อไปข้าจะช่วยรักษาชีวิตเจ้า แต่มิแต่งกับเจ้าตามสัญญาแล้ว เพราะยามนี้มิเหมือนเช่นวันวาน เจ้าต้องเข้าใจในเหตุผลนี้ด้วยลี่ฉาง”
หวงเกาเทียนปากเปราะเอ่ยอ้างสารพัดกฎ และกล่าวโทษที่นางมิบริสุทธิ์อีกต่อไป ความจริงหากว่ารักนางแล้ว ต่อให้นางนั้นผ่านมาร้อยพันบุรุษก็คงมิใส่ใจอันใดนัก แต่ทว่าหวงเกาเทียนมิเคยรักนาง จึงพลิกลิ้นออกมาอย่างว่องไว ลี่ฉางน้ำตานอง นางนั้นผิดหวังอย่างรุนแรง ถึงกับวิ่งร้องไห้หายไปในทันที เสี่ยวโซ่วมองตามไปและทำตาโตขึ้นมา ยกมือปิดปากตนและล้อเลียนหวงเกาเทียนไปอีกครา
“หวงซื่อจื่อเจ้าคะ ข้ารักท่านเจ้าค่ะ ฮือ ฮือ ฮือ”
หวงเกาเทียนคล้ายว่าไม้เรียวในมือสั่นขึ้นมา จึงตีก้นเสี่ยวโซ่วไปดังเพี๊ยะๆ และอุ้มนางพาดบ่าพาเดินไปเยี่ยมผู้คนที่ช่วยเหลือกลับมาได้ เหล่าสตรีและเด็กนั้นตื่นกลัวและบอบช้ำทั้งกายใจ บุรุษก็บาดเจ็บกันอยู่มิน้อย
และยามนี้ปัญหาใหญ่หลวงก็คือเสบียงคลัง การมีผู้คนมากขึ้น เมืองเล็กๆนี้ที่ยามแรกก็มิค่อยมีอาหารนัก ยามนี้ยิ่งลำบากมากขึ้นไปอีก การจะเก็บคนจำนวนมากไว้เช่นนี้ก็ลำบากแล้ว
หานไท่เวยถอนหายใจออกมาดังๆ และเร่งปรึกษาการปล้นเสบียงของฉีอันไปก่อน เพราะว่าฉีอันใช้ทาสปลูกข้าวมีเสบียงล้นฟ้า ทั้งหมดจึงต้องมาประชุมกัน
หวงเกาเทียนและบิดาคิดหนทางปล้นชิงเสบียงอย่างหมดหนทาง แต่เสี่ยวโซ่วนั้นหัวเราะคิก และเอ่ยขัดขึ้นมาทันที
“หากว่ายามปกตินั้นเราเคยแต่เผาเสบียงคลังให้คนอดตายไป แต่ยามนี้เราก็แค่ล่อทหารให้ไล่ตามเราและทิ้งค่ายไว้ก็สิ้นเรื่อง เหล่าสตรีบอกว่าทหารฉีอันชมชอบสตรีมาก หากว่าพบสตรีเพียงหนึ่งนางก็ตามเถิด จะทุ่มกำลังไล่ล่ามิหยุดพักจนกว่าจะจับคนได้ เช่นนี้มิสู้ว่าให้พวกท่านปลอมตนใส่ชุดสตรีและทำทีเดินโง่เง่าหลงทางไป และล่อทหารฉีอันมาตามทางใกล้หุบเขา ก่อนจะใช้ปีกเหล็กบินหนีแล้วโจมตีคนที่ตามมาดีหรือไม่ ทางฝั่งหนึ่งก็ไปปล้นเสบียงมา พวกท่านว่าอย่างไรเล่า”
“ฮร้า นั่นเป็นความคิดที่ดีมากเลยเสี่ยวโซ่ว เช่นนั้นยามพวกเราออกไปแล้ว เจ้าคอยดูแลกลไกของเมือง รอพวกเรากลับมาที่นี่ก็แล้วกัน เจ้าตัวยุ่ง”
เสี่ยวโซ่วพยักหน้าหงึกๆ นางมิอยากเห็นคนสังหารกันนัก จึงมิอยากออกไปที่นอกเมือง ยามทหารเร้นกายออกไปแล้ว นางจึงขึ้นประจำการในกำแพงเมือง ส่องกล้องมองหาภัยต่างๆและพบว่ามีชายกลุ่มหนึ่งแสร้งคลุมกายด้วยผ้าเก่า เดินกระเผลกตรงมาช้าๆเหมือนเต่าคลาน เสี่ยวโซ่วมิรอคอยสิ่งใด นางยิงหน้าไม้ออกไปอย่างรุนแรง คนชักดิ้นชักงออาวุธตกลงที่หน้าเมือง นางจึงใช้ปากคีบชักรอกของเข้าเมืองมาอย่างหน้าตาเฉย
“ฮิ ฮิ ดาบของชาวฉีอันช่างสวยงามดีนี่นะ ฝันไปเถิดว่าข้าจะใจดีให้เข้าเมืองมา ต่อให้เป็นชาวแคว้นหลิง ยามนี้ข้าวมิมีจะเลี้ยงแล้ว ข้าหรือจะใจดีให้คนมาแย่งข้าวกิน ฝันไปเถิด ฮิ ฮิ ฮิ”
เสี่ยวโซ่วมองดาบแล้วก็โยนไปรวมกัน ก่อนจะไปยิงนกและปิ้งกินผู้เดียวบนกำแพงเมือง ยามที่ทหารที่ไปปล้นเสบียงมาได้ มีหมูมาด้วยคอกหนึ่งกับวัวสี่ตัว ก็จับหมูย่างประเคนให้เสี่ยวโซ่วก่อนผู้ใด เสี่ยวโซ่วน้ำลายไหลหยด นางยกขาหมูย่างมากัดแทะอย่างเอร็ดอร่อย และกลืนกินจนอิ่มท้องก่อนจะมองไปทางผู้อื่น ที่มิกลืนกินสิ่งใดรอบกายนาง ก็ไต่ถามไปทันที
“เหตุใดพวกท่านมิกินเล่า อาหารดีเช่นนี้เหตุใดจึงมิกินกันเล่า”
บุรุษส่ายหน้าไปมาและยิ้มจางๆออกมาพลัน เอ่ยอย่างอ่อนโยนขึ้นมา
“อาหารพวกนี้นั้นหากมิมีความคิดของเจ้า ก็ย่อมมีมีสิ่งเหล่านี้เลย เจ้ากินไปเถิด หากเหลือก็ต้องหมักเกลือตากไว้ จนกว่าจะเก็บเกี่ยวได้ ถึงยามนั้นคงดีกว่ายามนี้แล้วหล่ะเสี่ยวโซ่ว”
เสี่ยวโซ่วถอนหายใจออกมาเบาๆ และมิเอ่ยอันใดอีก นางกินแค่พออิ่มแล้วเร่งนำอาหารไปหมักเกลือไว้ ก่อนจะเอ่ยบอกถึงเหตุการณ์หน้าเมืองไปเบาๆ ให้คนออกไปฝังกลบศพ มิให้มีโรคระบาดล่องลอยมา ผู้คนจึงลูบหัวนางและออกไปจัดการศพที่หน้าเมืองเสีย
ยามปล้นเสบียงและตีค่ายของฉีอันได้อีกหนึ่ง ก็สามารถรุกคืบไปตั้งค่ายขนาดใหญ่ได้ ในเขตนั้นยังมีน้ำและอาหารสมบูรณ์มากกว่าเมืองฝูหลิง หานไท่เวยจึงนำคนออกไปจนเมืองฝูหลิงพ้นภัยขาดอาหารได้
มินานหวงต้าหวางก็หายดี จึงนำหวงซื่อจื่อไปออกรบ และสามารถไล่ชาวฉีอันออกไปจนพ้นชายแดนทางใต้ได้จนหมดสิ้น จึงตรึงกำลังรักษาชายแดนไว้ และส่งทหารรุกคืบไปสมทบกับส่วนอื่น จนไล่ชาวฉีอันออกไปได้ในสามเดือน
ยามพบกันอีกคราในหกเดือนถัดมา หวงซื่อจื่อกำยำขึ้น สาวน้อยเสี่ยวโซ่วก็ตัวสูงเพรียวมีอกมีเอวขึ้นมาแล้ว
เสี่ยวโซ่วรู้จักเขินอายเป็นแล้ว ยามพบหวงซื่อจื่อนางวิ่งนำถาดน้ำไปเช็ดหน้าให้ และวิ่งหายไปในทันที ร้อนถึงคนหนุ่มเลือดร้อนต้องวิ่งตามนางไป จนถึงทุ่งดอกไม้ที่ท้ายเมืองที่เสี่ยวโซ่วมาแอบปลูกไว้ ร่างหนาสูดลมหายใจดมกลิ่นหอมลึกๆ และล้มตัวลงนอนในทันที
“หอมจัง ผ่อนคลายที่สุดนับตั้งแต่มีสงครามมาเลยหล่ะเสี่ยวโซ่ว”
“ฮิ ฮิ ฮิ เมิ่งเก้อเกอบินไปด้วยปีกเหล็กและไปพบดอกไม้พวกนี้เข้าจึงนำกลับมา ยามข้าเบื่อจึงขยายพันธุ์พวกมันไว้ไปเรื่อยๆ จนยามนี้มีมากมายมิต้องปลูกมันแล้ว ยามข้าเบื่อหน่ายข้าก็จะมาที่นี่ นับว่าดีที่สุดในยามนี้แล้วล่ะ หวงต้าเกอ”
ร่างหนายิ้มให้นางและดึงนางหล่นลงในอกตน กอดรัดนางจนแน่นและกระซิบเบาๆ เป่าลมหายใจรินรดนางถี่กระชั้น ขบกัดใบหูนางเอ่ยคำเสียงติดขัดขึ้นมา
“เสี่ยวโซ่ว แฮ่ก อา ต้าเกอคิดถึงเจ้า อา นุ่มจริง แฮ่ก”
ร่างหนาถูกอกนุ่มๆและกายสาวบดคลึงลงมาอย่างซุกซน จึงหอบหายใจถี่ แก่นกายเด้งผึงขึ้นมาอย่างทานทนมิได้อีก