ยามมีท่านป้าเหยียนอยู่ในจวน อาหารการกินก็อร่อยขึ้นมา ท่านป้าเหยียนสอนเสี่ยวโซ่วทำเส้นบะหมี่ไข่ และสอนต้มน้ำราดที่อร่อยจนเสี่ยวโซ่วทำจมูกฟุดฟิดน้ำลายยืดหยดแหมะๆไปตลอดการดูชมนั้น ยามน้ำบะหมี่นั้นร้อนได้ที่ ท่านป้าเหยียนนำเส้นและผักใส่จัดเรียง ยังมีหมูทอดกรอบและไข่ต้มผ่าเสี้ยวอีกสองซีก เสี่ยวโซ่วท้องร้องโครกและคว้าบะหมี่มาสามชาม วิ่งไปที่ห้องอักษรในทันที
ยามถึงห้องอักษรผู้คนกำลังตื่นมาประชุมกันแต่เช้ายังมิได้ดื่มกินสิ่งใด ยามกลิ่นหอมจากชามบะหมี่ไข่ร้อนๆ เข้ามาพร้อมกับสายลม ทหารเฒ่าทุกคนร้องครางดังขึ้นมาทันใด ท้องร้องพร้อมกันจนหมดสิ้น หวงชินหวางอมยิ้มและโบกมือให้คนออกไปที่โรงครัวเสีย เสี่ยวโซ่วยิ้มแก้มปริและนำบะหมี่สองชามวางตรงหน้าของหวงชินหวาง ก่อนจะดึงลากเก้าอี้มาวางข้างกันและเริ่มต้นดูดเส้นบะหมี่กลืนลงท้องในทันที
“ซู้ด อร่า อร่อยที่สุดเลย อร่า”
หวงชินหวางเองยามได้กลิ่นอาหารร้อนๆ รสหอมอร่อยเช่นนี้ ก็เร่งทดลองกลืนกินในทันที ก่อนจะตั้งใจกินบะหมี่ไข่ไปจนหมดและหัวเราะออกมาพลัน
“อย่าบอกนะว่าบะหมี่เหล่านี้เป็นฝีมือของท่านป้าเหยียนผู้นั้นหน่ะ”
เสี่ยวโซ่วพยักหน้าหงึกๆ และยามเทน้ำก้นถ้วยลงคอไปทันที ก่อนจะเรอออกมาเบาๆ และยิ้มออกมาอีกครั้งหนึ่ง
“อา หวางเย่เพคะ นอกจากคนทอผ้าแล้วท่านป้านั้นสอบผ่านงานครัวแล้วเพคะ ให้นางคุมคนครัวเสียดีกว่านะเพคะ อร่อยเช่นนี้ ปล่อยท่านป้าผู้นี้ไปมิได้แล้ว คิก คิก”
หวงเกาเทียนหัวเราะออกมาเบาๆ และพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะดึงผ้าเช็ดหน้าในอกตนเช็ดปากให้นางและหอมแก้มนางเบาๆ
“สิ่งใดที่เจ้าชอบเปิ่นหวางจะหามาให้เจ้าทุกสิ่ง หลังจากนี้หากมิมีสงครามอีก เราค่อยๆสร้างเมืองและค้นหาคนครัวหรือสิ่งต่างๆที่เจ้าชอบมาไว้ในวังให้มาก เจ้าอยากได้สิ่งใด ในภายหน้าเปิ่นหวางจะตามใจเจ้า มิขัดขวางเลยเสี่ยวโซ่ว”
เสี่ยวโซ่วอายจนหน้าแดงนางกอดรัดกายแกร่งและกระซิบเบาๆขึ้นมา
“ขอบพระทัยเพคะหวางเย่ หม่อมฉันเพียงมาส่งบะหมี่ในยามเช้า อย่างไรแล้วจะไปช่วยท่านป้าสาวไหมและเรียนรู้ดูบ้างนะเจ้าคะ หม่อมฉันอยากทอผ้าซักผืนให้ทรงสวมเช่นสตรีอื่นๆบ้างเพคะ”
ใบหน้าคมฟังแล้วยิ้มออกมาเต็มใบหน้า หอมแก้มนางและปล่อยนางลงจากตักไป ยามเสี่ยวโซ่วจากไปแล้ว ผู้คนก็ทยอยเดินกันเข้ามา ใบหน้าชื่นมื่นและชมอาหารของท่านป้าเหยียนมิหยุดปาก หวงชินหวางหัวเราะเบาๆ และสั่งคนให้ไปบอกท่านป้าเหยียนว่า ให้นางเป็นหัวหน้าแม่บ้านเสียก่อน จนกว่าจะมีบุรุษที่ดีกว่ามาทดแทนในตำแหน่งพ่อบ้านในจวนนี้ เหล่าทหารหัวเราะลั่นขึ้นมาในทันที เพราะทหารหลายนายนั้นควบตำแหน่งพ่อบ้านและคนครัวมานานแล้ว ยามนี้เสมือนชีวิตนั้นสุขสบายขึ้นมาทันที จึงเร่งค้อมกายและปิดประตูช้าๆ ก่อนจะวิ่งจนตัวลอยไปเรียนท่านป้าเหยียนในทันที นางหัวเราะเบาๆ พยักหน้ารับน้อยๆ
ในวันแรกนี้นางสั่งสอนผู้คนกวนไส้ขนมด้วยถั่วและงาเอาไว้ และนางก็ล้างมือไม้ของตนเอง ผูกผมให้แน่นและเดินออกไปที่โรงสาวไหม เริ่มต้นต้มไหมดิบและทอผืนผ้าขึ้นมาอย่างจริงจัง ผ้าผืนแรกล้วนมีสีขาว แดง ดำ และทองคำ แม้ยามปกตินั้น ภูษาที่ใช้ทำฉลองพระองค์ต้องทำด้วยทองคำ แต่ยามนี้บ้านเมืองนั้นมิปกตินัก เช่นนี้นางจึงย้อมสีทองสว่างและทอไหมลื่นขึ้นมาก่อน เพื่อให้เป็นตามประสงค์ของหวงชินหวาง ที่ตั้งใจถวายฉลองพระองค์ที่ดีให้ฝ่าบาทก่อนผู้ใด
เสี่ยวโซ่วมายืนมองและช่วยส่งเส้นไหม หยิบจับสิ่งต่างๆไปมิไต่ถามสิ่งใด นางมองและจดจำไว้ก็พอมิกล้ารบกวนผู้คนนัก ยามมองท่านป้าทอผ้าไหมที่มีจำนวนน้อยนางก็มิกล้าทดลองเล่นไหม แต่หันไปให้เสี่ยวโหยวนั้นสอนกรอฝ้ายและเริ่มทอฝ้าฝ้ายขาวขึ้นมาเสีย ตลอดทั้งวันเส้นไหมพันหัวนางยุ่งไปหมด แต่เสี่ยวโซ่วก็มิย่อท้อนางทำไปเรื่อยๆ จนจบครึ่งวัน ทุกผู้คนก็เรียงกันไปที่โรงครัว ท่านป้าเหยียนผัดไก่และปลาทอดหอมหวลขึ้นมา ส่วนของคนรับใช้ก็มีผัดผักและหมั่นโถวไส้ไก่ เสี่ยวโซ่วหยิบออกมาทุกสิ่งและนำไปที่ห้องอักษรอีกเช่นเคย ทั้งสองกินอาหารเช่นคนทั่วไปและหัวเราะออกมาเบาๆที่มันอร่อยมาก ใบหน้าคมยิ้มให้นางและดึงนางนั่งในตักเฉกเช่นเคย ไต่ถามนางขึ้นมา
“วันนี้เสี่ยวโซ่วเล่นสนุกสิ่งใดไปบ้างแล้วเช่นนั้นหรือ”
เสี่ยวโซ่วหน้าแดงและดึงผ้าฝ้ายขาวออกมาจากในอก ก่อนจะหลุบดวงตาลงเบาๆ
“ผ้าผืนนี้หม่อมฉันเพิ่งทดลองทอเพคะ เสี่ยวโหยวว่าเช่นนี้ก็สวยแล้วสามารถถวายหวางเย่ได้แล้ว จึงนำมาถวายก่อนเพคะ ต่อไปวันข้างหน้าหม่อมฉันจะทอผ้าผืนแรกเป็นฉลองพระองค์ตัวในให้ก่อนเพคะ ทรงออกไปภายนอกทุกวันต้องมีผืนผ้าอบอุ่นกายให้ดี หม่อมฉันเป็นห่วงเพคะ”
มือหนารับผ้ามาและดึงมือคนทอมาแตะที่ข้างดวงใจตน และยิ้มจางๆขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“เปิ่นหวางดีใจมากจริงๆ ที่เสี่ยวโซ่วคิดเช่นนี้ ดีใจจริงๆนะ ต่อไปผ้าผืนใดๆก็สวมใส่ที่เจ้าทอ มิให้สตรีใดทอให้แล้วนะ”
เสี่ยวโซ่วหน้าแดงหันหน้าหนีไปในทันที ใบหน้าคมขยับช้าๆและหอมแก้มนางเบาๆ ทำดวงตาพิศวาสล้ำลึก หอมนางคราแล้วคราเล่าและเอ่ยออกมาเบาๆ
“ยิ่งได้อยู่ชิดใกล้กันเช่นนี้แล้ว เปิ่นหวางรักเจ้าขึ้นทุกๆวันเลยเสี่ยวโซ่ว”
เสี่ยวโซ่วฟังแล้วอายจนแดงไปทั้งกาย นางค้อนเบาๆ และขยับกอดรัดลำคอแกร่งจนแน่น นางมิเอ่ยอันใดแต่จุมพิตที่แก้มสากและแนบใบหน้าชิดในอกแกร่งเช่นนั้น
“หม่อมฉันเป็นของพระองค์แล้ว อย่างไรก็อย่าทิ้งไปนะเพคะ”
“อืม มิมีวัน มิมีทางทิ้งเจ้าไปที่ใดแน่”
เสี่ยวโซ่วพยักหน้าหงึกๆ และกระโดดลงจากตักแกร่ง ยามที่มีคนมาเคาะประตูที่ด้านนอก สองร่างจึงผละจากกันไป ร่างหนาเอ่ยอนุญาตให้คนภายนอกเข้ามาได้ เสี่ยวโซ่วจึงเดินตัวแดงออกไปอย่างว่องไว
เหล่าบุรุษชรามิเอ่ยคำใดแต่มาประชุมกันต่อ ในการควบคุมทาสและการจัดวางผังป้องกันเมืองหลวงและเวรยามต่างๆ อีกทั้งยังคิดสร้างศาลเทพเจ้าและประรำพิธีบวงสรวง ทั้งยังมีศาลอาญาและยุ้งฉางขนาดใหญ่ จึงคร่ำเคร่งกันปรึกษาหารือกันตลอดวัน