หลิวฟ่านนั่งทับแก่นกายยักษ์ นางถูกจับให้นอนตะแคง จากนั้นนางจึงถูกบุรุษทั้งสามคนรุมนัวเนีย ชายคนหนึ่งเสือกแท่งหยกเข้ากลีบบุปผา ชายอีกคนแทงแก่นกายเข้าประตูหลัง ส่วนอีกหนึ่งบุรุษใช้แท่งหยกของเขาตบตีริมฝีปากบวมเจ่อของนาง ก่อนยัดมันเข้าไปเพื่อให้นางดูดกลืนพิษที่เขากำลังจะพ่นออกมา
การร่วมรักอันรุนแรงกลับสร้างความหฤหรรษ์อันตื่นตาตื่นใจแก่คนที่จ้องมอง และสตรีคนแรกเมื่อหลั่งน้ำหวานของตนออกมาแล้วก็สลบไม่ได้สติจึงถูกลากตัวหายออกไป
ม่านซือซือข่มใจอย่างลำบาก นางกลัว ตื่นเต้น และเสียวซ่านกลีบบุปผางามสั่นระริก ซึ่งทั้งที่ไม่ได้แตะต้อง กลับชื้นร้อนและเหมือนจะมีน้ำหวานฉ่ำเยิ้มไปหมด
ช่วงเวลาเร่าร้อนยาวนานเหลือเกิน กระทั่งชายคนหนึ่งร้องเสียงดังและตัวเกร็งจัด เขาจึงก้าวลงมาจากพื้นไม้ยกสูง และทะยานเข้ามาหาสตรีที่บิดกายอย่างเร่าร้อนในลานโล่ง
น้ำกามอุ่นข้นของเขาสาดรดลงบนเนื้อตัวนาง และมีสตรีบางคนอดทนไม่ไหวเอื้อมมือคว้าแก่นกายเขา และดูดกลืนหยาดน้ำอุ่นข้นที่ยังคงเหลือ นางดูดเลียราวกับคนอดอยาก และไม่ยอมให้เขาเดินหนีไปโดยง่าย
“ปล่อยมันออกมา เอามาให้ข้าดื่ม ข้าอยากดื่ม ข้าอยากเลียขอข้า...ขอน้ำวิสุทธิ์ให้ข้าอีก!”
เหม่ยหลานส่ายหน้าระอา แล้วตวาดเสียงดัง
“ลากตัวนางแพศยาออกไป และขายเข้าซ่องที่นอกประตูเมือง”
คราวนี้ม่านซือซือเข้าใจแล้วว่า สตรีที่ปล่อยกายปล่อยใจให้กับบุรุษในคฤหาสน์แห่งนี้ต้องมีชะตากรรมเช่นไร
กระทั่งการร่วมรักสิ้นสุดลง น้ำกามเปรอะไปทั่ว บุรุษที่สวมหน้ากากสีขาวเดินกลับเข้าหลังฉากหายลับตา และหลิวฟ่านที่ถูกร่วมรักจนหมดแรงนอนหายใจรวยรินอยู่ ม่านซือซือทั้งเห็นใจและสมเพช กระนั้นอย่างไรก็เป็นผู้หญิงด้วยกัน และนางยังถูกยากระตุ้น
“ส่งนางไปยังเรือนสุนัข!”
ม่านซือซือไม่เข้าใจสิ่งที่เหม่ยหลานกล่าว และอดขวัญเสียไม่ได้
“ระ เรือนสุนัข...” สตรีน้อยเอ่ยเสียงสั่น
“ฮิๆๆ ไม่ต้องห่วง ที่นี่เราไม่กินเนื้อคน แต่หมาป่าตัวโตของคฤหาสน์สัตตบงกชมันชอบเนื้อสตรีหวานๆ ยิ่งนัก”
“พวกท่านโหดร้าย จะให้สัตว์เดรัจฉานกัดกินนางเยี่ยงนั้นรึ” ม่านซือซืออดเวทนาในชะตากรรมของหลิวฟ่านไม่ได้
“โง่เขลานัก ข้าส่งนางไปทำงานต่างหากเล่า และงานของนางคือไปบำเรอกามกับสุนัขที่เป็นสหายของคุณชายจ้าวทั้งสิบตัว!”
เมื่อได้ยินคำตอบจากปากของเหม่ยหลาน ม่านซือซือก็ตัวแข็งทื่อ นางกลัวเหลือเกิน ไม่ได้กลัวที่ตัวเองจะต้องตาย แต่กลัวว่าชีวิตที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้จะเลวร้ายเสียยิ่งกว่าตกอยู่ในขุมนรก
“แม่นางซือซือ” เหม่ยหลานเรียกนางพร้อมยิ้มหวานให้ หากเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับปีศาจ
“ยินดีด้วย เจ้าเป็นหญิงสาวที่มีความอดทนเป็นเลิศ ไหนยืนตัวตรงๆ ให้ข้าดูอีกทีสิ”
ม่านซือซือไม่ปริปาก นางเชิดหน้าสูง และยืนนิ่งๆ ให้นางจิ้งจอกที่รับใช้จอมมารพิศดูร่างกายทุกซอกทุกมุม
เหม่ยหลานใช้ลึงค์ไม้ที่ยามนี้หัวของมันมีผ้าขาวพันเอาไว้ แทงเข้าในกลีบบุปผาของม่านซือซือ ยามนั้นความอึดอัดมีมากล้น และคนที่ถูกสิ่งแปลกปลอมแทรกอยู่ในเนื้อนิ่มได้แต่อดกลั้นต่อความสยิว
จวบจนเหม่ยหลานเอาลึงค์ไม้ออกและสำรวจผ้าขาวก็พบว่าม่านซือซือเป็นสตรีที่น่าสนใจทีเดียว กลีบนางแฉะชุ่มชื้นแต่ยังไม่ได้หลั่ง น้ำหวานบริสุทธิ์ออกมา
“ยากระตุ้นของสกุลข้า ดูเหมือนจะมีฤทธิ์อ่อนไปสำหรับเจ้าแต่เรื่องนี้ยิ่งอดทนได้เก่งเท่าไหร่ ชีวิตเจ้าก็จะยืนยาวในคฤหาสน์แห่งนี้มากขึ้นเท่านั้น”
“เอาละ ส่งตัวนางไปยังเรือนโอสถ อาบน้ำแต่งตัวให้นางเสียใหม่ อย่าลืมว่านางต้องงามกว่านี้ อ่อนหวานกว่านี้ อีกทั้งกลีบสวาทของนางต้องชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา ชโลมน้ำมันทั้งร่างแล้วจับป้อนน้ำผึ้งราคะ และรอให้คุณชายมาสำราญใจ”
ม่านซือซือได้ยินสิ่งที่เหม่ยหลานเอ่ยก็ปะติดปะต่อทุกอย่างเข้า ด้วยกันอย่างเร็วที่สุด แน่แล้วชีวิตต่อไปนับแต่นี้ นางกำลังจะกลายเป็นของเล่นให้กับคุณชายชั่วร้ายในคฤหาสน์สัตตบงกช
ม่านซือซือนั่งอยู่ในห้องโล่งๆ ที่มีกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยและกลิ่นธูปลอยกำจายไปทั่ว ห้องนี้มีตั่งไม้กว้างปูรองด้วยฟูกและผ้าสีขาวสะอาดตา เครื่องเรือนล้วนย้อมด้วยสีดำขับให้บรรยากาศนิ่งสงบ หากแต่ไม่เศร้า น่ากลัว หรือวังเวง กลับให้ความรู้สึกน่าหลงใหล ลึกลับ แฝงความเย้ายวน
นอกจากนั้นยังประดับด้วยภาพวาดและฉากกั้น เป็นผ้าไหมเนื้อดีปักลายสัตว์ป่าลงมากินน้ำ ดูแล้วเพลินตาไม่น้อย
ป้ายด้านหน้าเรือนเขียนไว้ว่า ‘9 เรือนโอสถ’ และทั้งที่เขียนอย่างนั้นแต่กลับไม่มีกลิ่นของยาแม้แต่น้อย ความสงสัยทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งม่านซือซือได้ยินเสียงฝีเท้าที่มั่นคงเดินเข้ามาในเรือน ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ลงน้ำหนัก แต่ความเงียบสงบของที่นี่ทำให้นางขนลุกซู่
ประตูด้านหน้าเปิดอย่างแผ่วเบา ภาพต่อมาคือร่างสูงใหญ่ของบุรุษในอาภรณ์โปร่งบางสีขาว
หญิงสาวพบชายสง่างามมามิน้อย แต่ชายที่สะกดให้นางหายใจไม่สะดวก ก่อนจะกลายเป็นความลุ่มหลง ประหนึ่งตกอยู่ในอำนาจ คงเป็นชายที่สวมหน้ากากสีขาวผู้นี้
ม่านซือซือแปลกใจ เขาช่างคล้ายคนที่นางรู้จัก อีกทั้งดวงตาคมใต้หน้ากากมองนางอย่างแฝงความนัย และความเงียบของเขากระตุ้นกลีบสวาทนางให้ผะผ่าวร้อน