ฉันลุกจากที่นอนอย่างเกียจคร้าน เปิดประตูออกจากห้องนอนก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะมีใครบางคนนอนหลับอยู่บนโซฟาเบดในห้องนั่งเล่น แถมมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่พร้อมเป้อีกใบหนึ่ง และกระเป๋ากีตาร์โปร่ง
“เฮ้ย ไอ้ตรี มึงมาทำอะไรดึกดื่นป่านนี้” ฉันหยิบหมอนอิงฟาดที่ลำตัวมันเต็มแรง
“โอ๊ย ไอ้บ้า กูเจ็บนะโว้ย” มันสะดุ้งตื่นพร้อมกับโวยวายหน้าตางัวเงีย
“แล้วมึงมาทำไรห้องกูล่ะ” จริงๆ มันมีคีย์การ์ดห้องฉัน และฉันก็มีคีย์การ์ดห้องมันเช่นกัน แต่ไม่เข้าใจว่าเพิ่งเกิดเรื่องแท้ๆ มันโผล่หน้ามาให้เห็นทำไม จิตใจมันทำด้วยอะไร
“กูซื้อก๋วยจั๊บกับเครปมาให้มึง นู่นบนโต๊ะกินข้าว” มันชี้มือไปยังห้องโต๊ะกินข้าว จากนั้นมันก็ทำท่าจะล้มตัวลงนอนต่อ แต่ฉันดึงแขนมันไว้
“แล้วกระเป๋าอะไรของมึงเนี่ย เยอะแยะ”
“มึงลืมอะไรไปหรือเปล่า มะรืนนี้เราต้องไปเที่ยวกันแล้วไง”
“แล้วไง ตั้งมะรืนนี้นู่น เราถึงเดินทางกัน แล้วมึงหอบกระเป๋ามาทำไมตั้งแต่วันนี้”
ฉัน ไอ้ตรีและเพื่อนสนิทอีกสามคนจะไปเที่ยวชะอำ ตามด้วยหัวหิน และปราณบุรี ตามที่แพลนกันไว้ว่าเรียนจบ เราจะเที่ยวให้ฉ่ำ ก่อนเริ่มทำงาน ซึ่งฉันกับไอ้ตรีนั้นตัดสินใจจะทำงานที่คาเฟ่ของป้าดา ป้าแท้ๆ ของฉัน ซึ่งกำลังวางแผนไปใช้ชีวิตอยู่อเมริกากับแม่ฉันในเดือนหน้า เพราะไปเยี่ยมแม่ครั้งหนึ่ง แม่แนะนำให้ป้าดารู้จักผู้ชายคนหนึ่ง ป้าดาก็คุยกับผู้ชายคนนั้นมาหลายมาหลายปี จนตกลงปลงใจจะไปใช้ชีวิตด้วยกันที่อเมริกา หลังจากโสดมาจนอายุสี่สิบตอนปลาย
ป้าดาเลยยกคาเฟ่ให้ฉันดูแลต่อไป รวมทั้งคอนโดฯ ที่ฉันต้องย้ายไปอยู่ นอกจากอยู่ใกล้คาเฟ่แล้ว มันจะทำให้ฉันประหยัดเงินค่าหอพัก เพราะเรียนจบแล้วฉันก็ไม่อยากขอเงินแม่ใช้ เพราะเงินที่แม่ให้ฉันก็เป็นเงินของพ่อเลี้ยงอีก แม้ลุงคริสจะใจดี แต่เรื่องเงิน มันเป็นความรับผิดชอบที่ฉันจะต้องดูแลตัวเองต่อไป
“ป้าสอนไล่กูออกจากหอแล้ว เพราะกูติดค่าห้องมาสามเดือนแล้ว”
“ไอ้ห่านี่ ทำไมมึงไม่จ่ายป้าเขาว่ะ”
“ก็กูไม่มี”
“มึงแดกเบียร์ทุกวัน แต่ไม่มีเงินจ่ายค่าห้องนี่นะ!”
“เออ หมุนไม่ทันว่ะ มึงก็รู้หลายเดือนมานี้ก็ทุ่มเทกับการฝึกงาน กูก็ไม่ได้ไปร้องเพลงที่ผับเลยไง”
“มึงมายืมกู กับเพื่อนๆ ก็ได้ รวมๆ กันคงมีพอค่าหอ”
“กูไม่อยากรบกวนไง”
“ไม่อยากรบกวนเหี้ยไรล่ะ นี่มึงหอบกระเป๋ามาห้องกูเลยนะ!”
“เอาน่า ยังไงเราจะไปตะลอนเที่ยวกันอยู่แล้ว และจากนั้นก็ทำงานที่คาเฟ่ด้วยกันอีก ยังไงมึงให้ค่าจ้างกูแล้ว ค่อยหาที่อยู่ใหม่ไง”
“มึง ตอนนี้เราควรอยู่ด้วยกันมั้ย มึงคิดให้ดีสิ” ฉันทำเสียงซีเรียส แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ซีเรียสในเรื่องเดียวกัน
“ทำไมล่ะ มึงรังเกียจกูเหรอ” มันถามเสียงเศร้าๆ ทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่ความผิดของมัน ถ้าจะผิด ก็ที่มันชวนอีหมวยมาปาร์ตี้เมื่อคืนนั่นแหละ
“ถ้ามึงไม่สบายใจ กูไปหาไอ้พัทก็ได้” มันพูดด้วยท่าทีน้อยใจ แล้วลุกจากโซฟา มันทำให้ฉันจำเป็นต้องหยุดมันไว้ก่อน เพราะไม่ว่ายังไง มันก็ยังคือเพื่อนสนิทของฉันอยู่ดี
“มึงนอนเหอะ ดึกป่านนี้แล้ว ไอ้พัทมันคงหลับ เกรงใจที่บ้านมันด้วย” เพราะไอ้พัท มันย้ายกลับไปอยู่กับครอบครัวหลังเรียนจบ และบ้านมันก็ไกลจากที่นี่มาก ส่วนไอ้ปีก็พักอยู่กับแฟน และเพื่อนสนิทอีกคนนั้นเป็นผู้หญิง ไม่เหมาะที่จะไปค้างคืนด้วย
“งั้นกูนอนต่อนะ” มันพูดแค่นั้นก็ทิ้งตัวนอนตามเดิม เพิ่มเสียงกรนเบาๆ ให้ได้ยิน
จริงๆ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ไอ้ตรีมาค้างที่ห้องฉัน มันมาค้างกับฉันทุกอาทิตย์นั่นแหละ ส่วนใหญ่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่พวกเราชอบมานั่งจับกลุ่มทำรายงาน อ่านหนังสือ หรือแม้จะจับกลุ่มเม้าท์มอย นั่งดื่มตามประสาเพื่อน
แต่เมื่อคืนย้ายไปปาร์ตี้ที่ห้องไอ้ตรี เพราะฉันไม่อยากให้คนที่ไม่สนิทมาที่ห้อง
พอคิดถึงอีหมวยแล้วฉันก็นึกโมโหขึ้นมาอีกครั้ง
“ต่อไปนี้มึงห้ามยุ่งกับอีหมวยนะ!”
“อือ” คนหลับครางรับเบาๆ ฉันจึงเดินไปยังโต๊ะกินข้าว หยิบถุงก๋วยจั๊บไปอุ่นในไมโครเวฟ ส่วนเครปอุ่นในหม้อทอดไร้น้ำมัน
ฉันกินของโปรดที่ไอ้ตรีซื้อมาฝากด้วยความเอร็ดอร่อย ข้อดีที่สุดของมันก็คือชอบซื้อของกินมาให้ตลอด ไม่ว่าจะตอนเป็นเด็กหรือตอนนี้
มันไม่ใช่แค่เพื่อน แต่เป็นเหมือนคนในครอบครัวมากกว่า
จำได้ตอนเจอมันครั้งแรกที่บ้านเกิด แม่ของไอ้ตรีเป็นคนบ้านเดียวกับครอบครัวฉัน แต่แม่ของไอ้ตรีใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ เสียส่วนใหญ่ เพราะพ่อแม่เสียชีวิตนานแล้ว มีเพียงญาติๆ อยู่คนหนึ่งที่อยู่บ้านเกิด
ตอนนั้นแม่ฉันบอกว่าแม่ของไอ้ตรีเลิกกับพ่อไอ้ตรี จึงกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิด ฉันกับไอ้ตรีอายุเจ็ดขวบ ไอ้ตรีตอนเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาดี ตัวผอม ผิวขาว ติดแม่มาก งอแงไม่ชอบไปโรงเรียน เพราะถูกเพื่อนๆ แกล้ง
ขณะที่ฉันเป็นเด็กแสบของหมู่บ้าน ทั้งซนทั้งแก่นกะโหลก และฉันนี่แหละที่ปกป้องไอ้ตรีจากเพื่อนๆ ที่ชอบแกล้งมัน มีครั้งหนึ่งมันเกือบตาย เพื่อนคนหนึ่งผลักมันตกคลอง มันว่ายน้ำไม่เป็น ฉันกระโดดไปช่วยมันจึงรอดตายในครั้งนั้น หลังเหตุการณ์นั้นมันบอกว่าจะเป็นเพื่อนฉันตลอดไป
และฉันยังเป็นคนสอนมันว่ายน้ำจนเป็นด้วย ตอนแรกมันไม่ยอม มันกลัวน้ำมาก เพราะนั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่จมน้ำ อยู่กรุงเทพฯ มันบอกว่าถูกญาติคนหนึ่งแกล้งผลักตกน้ำจนเกือบตายมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่พอฉันบอกให้มันเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้ และบอกมันจะไม่เป็นไร ฉันจะไม่ยอมให้มันจมน้ำตายหรอก ไอ้ตรีถึงยอมเชื่อใจฉัน
ฉันเป็นผู้หญิงตัวผอมก็จริง แต่สูงกว่าเด็กผู้ชายหลายคน ที่สำคัญฉันฝึกต่อยมวยกับลุงโต ที่เป็นเจ้าของค่ายมวยประจำหมู่บ้าน ฉันชอบการต่อสู้ พอโตขึ้นมาฉันก็เรียนยูโด เทควันโด
ฉันไว้ผมซอยสั้นเคลียหู ชอบแต่งตัวแบบเด็กผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ฉันจึงถูกเพื่อนบางคนล้อว่าเป็นทอมบอยมาตั้งแต่เด็กแล้ว ขนาดช่วงมอปลายกระทั่งเรียนมหาวิทยาลัยมีแฟนเป็นผู้ชาย ยังถูกเพื่อนบางคนเรียก ‘ยัยทอมบอย’ อยู่เลย
ฉันจึงกลายเป็นยัยทอมบอยพิทักษ์ไอ้ตรีขี้แยมาตั้งแต่เด็ก กระทั่งเรียนจบมอต้น ไอ้ตรีย้ายกลับกรุงเทพฯ เพราะแม่กับพ่อมันคืนดีกัน ฉันกับไอ้ตรีก็ห่างกันไป ไม่เคยเจอกันอีกเลย มีนานๆ ครั้งที่มันโทร. มาหาฉัน ถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป ไม่ได้คุยเรื่องครอบครัวหรือเรื่องส่วนตัวมากนัก เหมือนเราเลี่ยงจะพูดถึง
ส่วนหนึ่งที่ฉันกับมันสนิทกันตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เพราะเรามาจากครอบครัวที่พ่อแม่เลิกกัน พ่อฉันไปมีครอบครัวใหม่ และไม่เคยมาหาฉัน เพราะแม่เลี้ยงไม่ชอบ กลัวพ่อมาเจอแม่
ส่วนพ่อไอ้ตรีนั้น มันไม่เคยพูดถึงเลย ตอนจะกลับกรุงเทพฯ ก็บอกแค่ว่าพ่อแม่คืนดีกันแล้ว หลังจากเลิกกันมาหลายปี
ฉันก็งงๆ ที่เลิกกันมานานแล้วกลับมาคืนดีกันได้ ในขณะที่พ่อฉัน ไปแล้ว ไปลับจริงๆ แทบไม่เคยเจอหน้า ทั้งที่ครอบครัวใหม่ก็อยู่อีกหมู่บ้านถัดไปเท่านั้น ส่วนแม่ก็จู่ๆ แต่งงานใหม่เมื่อสี่ปีก่อน หลังจากครองตัวเป็นโสดมานาน แถมพ่อเลี้ยงของฉันเป็นชาวอเมริกัน เจอกันเพราะลุงคริสเป็นพี่ชายสามีเพื่อนสนิทของแม่
ตอนที่ไอ้ตรีย้ายกลับกรุงเทพฯ ฉันมีแฟนคนแรก รุ่นพี่ในโรงเรียน เขาขี้หึงมาก ก็เลยไม่ค่อยอยากคุยกับเพื่อนผู้ชาย ไม่อยากให้แฟนไม่สบายใจ ฉันก็เลยไม่สนใจไอ้ตรีในตอนนั้น ครั้งสุดท้ายเราก็ไม่ได้ติดต่อกันเป็นปี กลับมาเจอกันอีกครั้งตอนที่ฉันมาเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ซึ่งไอ้ตรีก็เรียนที่เดียวกัน และคณะเดียวกันอีกต่างหาก
ตอนนั้นเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มาก นอกจากได้เจอมันแบบไม่คาดฝัน แถมรูปลักษณ์ของมันก็เปลี่ยนไปจนฉันตะลึง จากเจ้าเด็กผอมแห้ง กลายเป็นเด็กหนุ่มตัวสูง นอกจากมันจะไม่ได้ผอมเหมือนตอนเป็นเด็ก แต่มันก็มีกล้ามเนื้อแบบคนที่ออกกำลังเป็นประจำ รูปหล่อ เท่ เสียจนเกือบจำไม่ได้ แต่ใบหน้าของมัน ที่มีเค้าหน้าตาดีมาตั้งแต่ยังเด็ก ก็ดูไม่ได้เปลี่ยนจากเดิม เพิ่มเติมคือหล่อขึ้นตามวัย และขี้แมงวันเม็ดเล็กๆ สีน้ำตาลจางข้างแก้มขวาของมันก็ทำให้มั่นใจว่าคนนี้คือไอ้ตรี เพื่อนสนิทสมัยวัยเยาว์ของฉันแน่นอน
แม้จะไม่ได้เจอกันแค่สามปี แต่เราก็ยังต่อพูดคุยกันอยู่บ้าง เพราะความเป็นเพื่อนกันมาเกือบสิบปี และสิบปีที่ผ่านมานั้น เราก็ตัวติดกันตลอด
ตอนนั้นฉันถามถึงแม่มัน มันก็บอกด้วยสีหน้าเศร้าๆ ว่าแม่มันเสียแล้ว ฉันถามว่าทำไมถึงเสีย มันก็ร้องไห้ บอกว่าแม่มันฆ่าตัวตาย เพราะโรคซึมเศร้า ก่อนที่มันจะเรียนมหา’ ลัย ตอนนั้นฉันตกใจมาก ทั้งสงสารและเสียใจกับการสูญเสียของมัน เพราะไอ้ตรีรักแม่มาก และมันติดแม่มันมากๆ
พอไม่มีแม่ มันก็เลยออกจากบ้านมา มันบอกว่าพ่อมันมีเมียอีกคน และมันเข้ากับครอบครัวแม่เลี้ยงไม่ได้ นั่นคือเหตุผลที่มันไม่อยากอยู่ที่บ้านอีกต่อไป เพราะยังไงบ้านนั้นก็ไม่มีแม่อยู่แล้ว
ฉันทั้งเข้าใจ เห็นใจมันจนร้องไห้ เพราะมันอดคิดถึงพ่อตัวเองไม่ได้ นั่นคงเป็นเหตุผลที่พ่อกับแม่มันเลิกกันในตอนนั้น แม้จะกลับไปคืนดีกัน สุดท้ายพ่อมันก็ยังมีเมียอีกคนอยู่ดี
ฉันหยุดคิดเรื่องอดีตแค่นั้น ล้างจานแล้วก็เดินไปนั่งเล่นโทรศัพท์บนโซฟาที่ยังมีที่ว่างพอจะนั่งหรือนอนได้อีกคน
ตอบแชทน้องรินที่ตอนนี้ไปเที่ยวเมืองนอกกับครอบครัว อีกฝ่ายบ่นเสียดายที่ไม่ได้ไปเที่ยวกับฉันและเพื่อนๆ
ฉันจึงปลอบใจว่าเรายังมีเวลาเที่ยวกันอีกเยอะ ให้เที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวให้มีความสุข
ฉันคุยกับน้องรินอยู่นาน กระทั่งหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
:::::::::::::::::::