จะ...จริงด้วยแฮะ สายไม่ได้รับของมันสองคนขึ้นเป็นร้อยสายเลย ไม่ได้รับสักสาย เวรจริง ผมดันเปิดสั่นเอาไว้ก็เลยไม่ได้ยินน่ะ
“แล้วมึงได้เลือกที่ฝึกงานเผื่อกูมั้ยวะ” ผมดึงโทรศัพท์มาแนบหูอีกครั้งก่อนถามออกไป
[เลือกไม่ได้ อาจารย์ให้มาเลือกด้วยตัวเอง ห้ามเลือกให้กัน กูกับกั้งก็เลยเลือกไปด้วยกัน มึงก็ยังไม่มีที่ฝึกนั่นแหละ]
ได้ยินยีนส์พูดอย่างนั้น ผมก็ยกมือขึ้นลูบหน้า แผนการที่วางไว้ตั้งแต่ตอนต้นเทอมหนึ่งว่าจะไปฝึกงานกับพวกมันสองคนถึงกับสลายไปกับตา ให้ผมได้ครางออกมา
“เวรเอ๊ย แล้วเอายังไงดีล่ะวะทีนี้”
[ทำไงล่ะ มึงก็รีบไสหัวมาที่คณะสิวะ อาจารย์ยังไม่กลับ กูเห็นรถยังจอดอยู่ รีบมาเลือก วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ไม่มีที่ฝึกงาน เดี๋ยวก็ไม่จบหรอกมึง]
ผมจึ๊ปากเล็กน้อย หัวเสียสุดกำลังที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน หัวเสียหนักจนพาลไปยังวิชาฝึกงานที่บ้าจี้ลงเรียนตามพวกเพื่อนเวรนั่นไปด้วย อันที่จริงคณะศิลปศาสตร์ เอกอังกฤษที่ผมเรียนอยู่เนี่ย มันไม่จำเป็นต้องฝึกงาน แต่ผมกับพวกเพื่อนๆ ดันเหลือวิชาบังคับที่ต้องลงอยู่ตัวหนึ่งซึ่งก็คือวิชาเอกในคณะ แล้วดันไอ้วิชาของเอกที่เปิดสอนในเทอมสองก็ดันไม่มีวิชาอื่นนอกจากวิชาฝึกภาคปฏิบัติ พวกผมอยากจบภายในกำหนดเลยจำเป็นต้องลง แต่ไม่ยักจะคิดว่าทุกอย่างจะลงเอยแบบนี้
แต่ตอนนี้ผมก็ไม่คิดอะไรมากแล้วล่ะ รีบพุ่งลงจากเตียงไปสวมเครื่องแบบโดยไม่สนใจล้างหน้าแปรงฟันแต่อย่างใด ความมึนงงจากการไม่สร่างเมาเต็มทีก็หายไปในพริบตาด้วย ปากก็ไล่เต้ที่กำลังยกถ้วยเปล่าไปล้างในห้องน้ำ
“ฉันจะเข้ามอ นายออกจากห้องฉันไปได้แล้ว”
“ครับๆ ตื่นมาก็ไล่เลยนะ”
ไล่สิวะ! มึงเป็นใครก็ไม่รู้ มามีอะไรกับกู กูยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าไปเจอกับมึงตอนไหน ยังไงก็ต้องไล่อยู่แล้ว!
เต้แต่งตัวเสร็จ ผมก็สั่งให้หมอนั่นเอาขยะไปทิ้งด้วยเพราะเหยียบไปเห็นถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วอยู่ในนั้น ผมไม่เอาไปทิ้งเองหรอก ใครใช้ก็เอาไปทิ้งเถอะ พอคนแปลกหน้านั่นหายออกจากห้องผมไปได้ ผมก็พุ่งไปยังลานจอดรถใต้หอพัก บึ่งเข้ามหา’ลัยอย่างรวดเร็ว
ตึกคณะศิลปศาสตร์ยังคงเปิดอยู่ แต่ไม่มีพนักงานคนไหนทำงานอยู่แล้ว ทุกคนเริ่มทยอยกลับบ้านกันแล้ว จะมีก็แต่เพียงชายหญิงในชุดนักศึกษาคู่หนึ่งที่ยืนอยู่หน้าลิฟต์เท่านั้นที่รอการมาถึงของผม พอเห็นผมกึ่งวิ่งกึ่งเดินหน้าตาตื่นเข้ามา ผู้หญิงนั่นก็ดิ่งเข้ามาตบกะโหลกผมทันที
“ไงมึง เอาผู้ชายมานอนที่ห้องอีกล่ะสิถึงได้นอนไม่สนโลกอย่างนี้เนี่ย”
มันคือไอ้ยีนส์ เพื่อนสนิทของผมเอง เข้าใจผิดล่ะสิว่ามันคือผู้ชาย... หึ เปล่าเลย ผู้หญิงทั้งดุ้น ส่วนผู้ชายที่ยืนทำหน้านิ่งๆ ใส่แว่นเป็นเนิร์ด ผูกไทเต็มยศท่าทางปัญญาอ่อนนั่นก็ไอ้กั้ง เพื่อนสนิทของผมอีกคน และเป็นแฟนของยีนส์
“เอาคนมานอนด้วยมันไม่เกี่ยวกับนอนตื่นสายเว้ย เมาต่างหาก”
“ทั้งเมาทั้งมั่วเลยนะมึง”
“จะด่ากูอีกนานมั้ย กูจะขึ้นไปหาอาจารย์เนี่ย!” ผมเริ่มโวยวาย ยีนส์ก็เลยหยุดทำท่าจะเทศน์ผม พยักหน้าเป็นสัญญาณให้กั้งกดลิฟต์
จากชั้นหนึ่งถึงชั้นเจ็ดที่เป็นห้องพักอาจารย์ ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ทำให้ผมอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ที่อึดอัดก็เพราะกลัวว่าจะไม่เหลือที่ฝึกให้ผมเลือก แล้วผมจะไม่ได้จบพร้อมพวกเพื่อนนี่แหละ
พอประตูลิฟต์เปิด ผมก็วิ่งสี่คูณร้อยไปยังห้องของอาจารย์ผู้รับผิดชอบการฝึกปฏิบัติทันที อาจารย์สาวใหญ่ซึ่งกำลังจะเก็บข้าวของออกจากห้อง เตรียมกลับบ้านถึงกับชะงักเมื่อผมเปิดประตูผางเข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาต
“อะ...อาจารย์ครับ” หายใจหอบด้วยความเหนื่อยด้วย
อาจารย์หรี่ตามองผมใต้กรอบแว่นสายตาหนาๆ ก่อนจะสวนกลับมา
“ครูกำลังรอคุณอยู่พอดี เห็นเมื่อเช้าไม่ได้มา อย่าบอกนะว่าคุณเข้าใจว่าครูนัดห้าโมงเย็น ไม่ใช่ห้าโมงเช้า?”
ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ไม่กล้าบอกความจริง ก็ใครมันจะไปบอกล่ะ ให้บอกว่า ‘อ๋อ ที่ผมไม่มาเพราะเมาแล้วกลั้วอยู่กับผู้ชายอยู่น่ะครับ’ อย่างนี้น่ะเหรอ... เหอ บ้าไปแล้ว มีหวังได้ถูกเทศน์ตาย
“ผมไม่ค่อยสบายน่ะครับ” ผมก็เลยเลือกที่จะโกหกแทน
แต่อาจารย์ก็ดูรู้แหละว่าผมโกหก ก็ท่าทางผมไม่ได้ดูป่วยอะไรเลยนี่ มีแต่อาการเมาค้างเท่านั้น แถมกลิ่นเหล้าก็ยังคละคลุ้งอยู่บนตัวอยู่เลย ไม่ใช่แค่กลิ่นเหล้าด้วย กลิ่นบุหรี่ก็มี เรียกได้ว่าไอ้ที่ไปลุยมาเมื่อวานยังคั่งค้างอยู่บนตัวผมอย่างครบครัน
“ไม่สบายหนักสินะ กลิ่นละมุดหึ่งเชียว” อาจารย์ทักมาอีกให้ผมได้ยิ้มแห้งๆ ก่อนที่หล่อนจะทรุดนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง หยิบเอกสารบางอย่างออกจากกระเป๋า แล้วเรียกผมไปนั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “คุณมาช้า เลยไม่มีที่ฝึกงานให้คุณได้เลือกมากนัก เสียใจด้วยนะที่คุณไม่ได้ไปฝึกกับเพื่อน”
พูดจบก็เหลือบไปมองยีนส์กับกั้งที่เพิ่งเดินมาหยุดหน้าห้อง พวกนั้นยกมือไหว้อาจารย์เล็กน้อย ให้อาจารย์พยักหน้าแล้วพูดต่อ
“เพื่อนๆ คุณไปฝึกที่โรงเรียนเอกชนสหศึกษาที่กำแพงเพชร ครูรู้ว่าคุณอยากไปฝึกกับเพื่อน แต่ที่นั่นเค้ารับนักศึกษาไปฝึกงานแค่สองคน ก็เลยเลือกที่ใกล้ๆ ให้”
อาจารย์พูดประหนึ่งอ่านใจผมออก จริงๆ ไม่ได้อ่านใจออกหรอก แค่อาจารย์สนิทกับพวกผมมากเพราะเคยเรียนด้วยกันมาหลายปี หลายวิชาเลยรู้ว่าพวกเราสามคนสนิทกันดี
“ไม่เป็นไรครับ เอาที่ใกล้ๆ กันก็ได้ ผมโอเค” ผมตอบไปแบบนี้ ฝึกใกล้กันก็ยังดีกว่าไปกันคนละโยชย์ อย่างน้อยถ้ามีปัญหาอะไรก็จะได้บึ่งไปหากันได้
ทว่าอาจารย์ก็ทำให้ผมต้องใจหายวาบเมื่อขยับริมฝีปากขึ้น
“ใกล้ แต่คนละจังหวัดนะ จังหวัดใกล้ๆ กัน เพื่อนคุณไปฝึกที่กำแพงเพชร คุณไปฝึกที่พิษณุโลก”
แบบนั้นไปเรียกว่าใกล้แล้ว’จารย์! คนละจังหวัดแบบนี้ไม่ใกล้แล้ว! ห่างกันหลายสิบกิโลฯ เลยเถอะ!
แต่ไม่เป็นไร มีรถ ยังไงก็ขับไปหากันได้ ผมเลยพอสงบสติอารมณ์ได้ ถามกลับคืนไปแทน