ท้องฟ้านอกตัวรถมืดลงมากจนแทบมองไม่เห็นถนนหนทางเพลินพิศรู้สึกกลัวจับใจ
“คุณคะ อีกไกลไหมคะ”
“ไม่ไกล”
“ไม่ไกลแล้วอีกไกลแค่ไหนคะ”
“นั่งเงียบๆ ไปเถอะน่า ผมใช้สมาธิขับรถอยู่ ถ้าถึงแล้วเดี๋ยวบอก”
ชาติพยัคฆ์เอ็ดสาวหน้าหวานที่กำลังก่อกวนสมาธิการขับรถ หล่อนร้อนใจอีกทั้งยังกลัวเขาแปลงร่างเป็นไอ้หื่นลากหล่อนไปข่มขืนน่ะเขารู้ เพราะแท้ที่จริงแล้วเขาก็อยากทำอย่างนั้นกับหล่อนเหมือนกัน แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ตอนที่ถนนแฉะสุดๆ และข้างทางเป็นเหวลึกแบบนี้
ณ บ้านสุขสวัสดิ์
“ตาเสือนะตาเสือ เมื่อไหร่จะกลับมาสักที ฝนก็ตกหนักแล้วอย่างนี้จะเป็นอันตรายไหมนะ” คุณนายมุกมณีเดินวนไปวนมารอบบ้านจนสาวใช้เวียนหัวไปหมดนานหลายนาทีก็ยังเดินวนอยู่อย่างนั้น
“อีกเดี๋ยวคุณเสือก็คงกลับมาค่ะ คุณนายไม่ต้องเป็นกังวลนะคะ” ป้าแต้ว แม่บ้านคนสนิทเดินเข้ามาประคองคุณผู้หญิงของบ้านมานั่งรออย่างสงบบนโซฟา
“ฉันไม่ได้ห่วงตาเสือหรอกพี่แต้ว แต่ฉันห่วงหนูเพลินพิศ อุตส่าห์ไว้วานตาเสือให้ไปรับแท้ๆ แต่สงสัยจะมัวแต่ติดสาวป่านนี้ถึงยังกลับมาไม่ถึงบ้าน ฉันโทรเข้าเบอร์หนูเพลินก็ไม่ติดสงสัยหนูเพลินจะปิดเครื่องตอนฝนตกช่วงบ่ายแล้วลืมเปิดเครื่อง แย่จริง ป่านนี้ไม่รู้จะไปหลบฝนอยู่ที่ไหน น่าสงสารจริงเชียว” นึกถึงแล้วเคืองลูกชายคนเดียวที่ใช้งานไม่ได้ นี่ถ้าตนเองไม่โทรไปย้ำเรื่องให้ไปรับหนูเพลินพิศเจ้าตัวก็คงจะลืมไปซะสนิท
“เพลินพิศ? ใครกันคะ” ป้าแต้วไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนก็เลยเกิดความสงสัย
“หลานคุณแจ่มน่ะจ้ะ เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีมาหมาดๆ ยังคงงานทำไม่ได้ บ้านแตกแต่เด็ก พ่อไปทางแม่ไปทางต่างมีครอบครัวใหม่หมดหนูเพลินพิศก็เลยได้อาศัยข้าวแดงแกงร้อนของคุณแจ่มมาตลอด ฉันเคยเจอหลายครั้งรู้สึกเอ็นดูก็เลยชวนมาทำงานด้วยกัน” คุณมุกมณีเล่าให้คนสนิทฟัง
“อ๋อ ใช่หนูเพลินที่ช่วยคุณนายตอนถูกโจรกระชากกระเป๋าใช่ไหมคะ”
“ใช่แล้วจ้ะ”
“ถ้าเป็นคนนั้นดิฉันจำได้ค่ะ คุณนายไม่ยอมบอกก่อนเลยดิฉันจะได้เตรียมอะไรไว้รับขวัญ” ป้าแต้วบอกต่ออย่างครื้นเครงนึกสนุกอยากเจอหน้าสาวน้อยคนนั้นเร็วๆ แต่ในวินาทีนั้นเสียงเครื่องยนต์รถก็ดังขึ้นด้านหน้า “อุ๊ย! ตายยากจริงเชียวสงสัยจะมากันแล้ว เดี๋ยวดิฉันไปหยิบร่มมาให้นะคะ”