“อย่ารีบสิเจ้าคะคุณหนู” เสียงบ่นตามหลังคนงามที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่รถม้ารับจ้าง นางไม่ยอมเรียกใช้รถม้าประจำตระกูลเพราะไม่อยากมีปัญหา
“นี่ก็เลยเที่ยงแล้ว หากช้ากว่านี้คงได้กลับมืดค่ำเป็นแน่ เร็วเข้าเถิดน้าลี่ฉง” เลี่ยงเหลียงฉีกยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้น ในความทรงจำเจ้าของร่างเดิมแทบไม่เคยออกจากจวน นับเป็นครั้งแรกที่นางจะได้เห็นบรรยากาศเมืองโบราณที่แท้จริงกับตา
สองแขนขาวกอดห่อผ้าเอาไว้ ในนั้นคือความพยายามทั้งหมดตลอดคืนที่ผ่านมา เมื่อขึ้นรถม้าเรียบร้อยจุดมุ่งหมายก็คือตลาดของเมืองหลวงซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่ ใช้เวลาไม่นานนักรถม้ารับจ้างก็จอดเทียบกับจุดบริการ
“ถึงแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูลงมาดีๆ นะเจ้าคะ” ลี่ฉงรีบยกแท่นวางเท้าแล้วคอยประคองร่างบอบบางให้ลงจากรถม้า
“คนเยอะมากเลยนะ เราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า น้าลี่ฉงรู้จักเหลาอาหารบ้างรึไม่” ได้เงินมาทั้งทีก็ควรฉลองกันหน่อยสิ
“ลองไปที่เหลาอาหารฟาไฉดีรึไม่เจ้าคะ” แม้จะอยากให้อีกฝ่ายประหยัดเงินเอาไว้ก่อนแต่ด้วยความสงสารคุณหนูของตนที่ไม่เคยกินของดีๆ จึงกลืนคำห้ามปรามลงคอไปจนหมด
“ดี เช่นนั้นเราไปกันเถอะ” ที่จริงนางไม่ได้รู้จักเหลาอาหารที่ว่านั่นสักเท่าไหร่ เพียงแต่ถ้ามัวแต่คิดก็เสียเวลาเปล่า ยิ่งมีธุระสำคัญต้องไปจัดการให้เรียบร้อยอีก
หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเดินมาไม่ไกลนักก็ถึงตึกสูงสี่ชั้นสีแดงเข้มตกแต่งสะดุดตาด้วยโคมไฟหลากหลายรูปแบบ ภายในร้านเต็มไปด้วยผู้คนมากมายจากหลายชนชั้น ลี่ฉงเดินเข้าไปหาผู้ดูแลก่อนบอกความต้องการห้องส่วนตัวของชั้นบน แม้สิ้นเปลืองแต่คุณหนูยังเป็นสตรีไม่ออกเรือนจะมานั่งแบบเปิดเผยคงไม่งามเท่าไหร่นัก
“เหลือห้องสุดท้ายพอดีเลยขอรับ เชิญทั้งสองท่านทางนี้” หลงจู๊ยิ้มแย้มเป็นมิตรแม้ทั้งสองจะไม่ได้สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ตาม นั่นทำให้โฉมสะคราญพยักหน้าอย่างพอใจ
พวกนางเดินขึ้นไปยังชั้นสามของเหลาอาหาร ที่นี่แบ่งชั้นแรกและชั้นสองสำหรับลูกค้าทั่วไป ชั้นสามสำหรับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ส่วนชั้นสี่คงสำหรับลูกค้าคนพิเศษเพราะดูปิดมิดชิดกว่าชั้นอื่นๆ
“อ๊ะ!”
“คุณหนู!”
ขณะที่กำลังจะถึงห้องที่จองไว้อยู่ๆ ก็มีร่างบางอ้อนแอ้นวิ่งเข้ามาชนเลี่ยงเหลียง โชคดีลี่ฉงคว้าร่างเจ้านายไว้ทันแต่คนที่มาชนกลับล้มลงไปกองอยู่บนพื้น
“เยว่เอ๋อร์!” เสียงทุ้มตื่นตระหนกรีบเข้ามาประคองกายนุ่มของคนรักด้วยความเร่งรีบ ดวงตาคมตวัดมองคู่กรณีด้วยสายตาไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพปั้นคุ้นตาจนกระทั่งเศษเสี้ยวของความทรงจำแล่นเข้ามาในหัวคนงาม
‘เขาคนนี้คือ เจียงอี้เฉิน พระเอกในนิยายเรื่องนี้ อีกทั้งยังเป็นคู่หมั้นของข้า’
ดวงตาดอกท้อประเมินบุรุษตรงหน้า ผู้ชายคนนี้แม้หน้าตาดีแต่กลับไม่รู้จักว่าอะไรควรไม่ควร แม้มิได้รักชอบแต่ในเมื่อหมั้นหมายกันแล้วก็ต้องให้เกียรติกันบ้าง นี่นอกจากจะไม่ไว้หน้าออกมาเที่ยวเล่นกับสตรีอื่นยังทำเหมือนไม่เห็นนางอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ เจ้าของร่างเดิมต้องจนตรอกขนาดไหนถึงยอมทนอยู่กับคนเช่นนี้จนกระทั่งเขาหันมารัก
“ขะ ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ทันระวังชนท่านเข้า” ริมฝีปากจิ้มลิ้มขยับกล้าๆ กลัวๆ ดวงตากลมรื้นน้ำจนแดงก่ำ
“ไม่เป็นไร ห้องนี้ใช่รึไม่หลงจู๊” หญิงสาวตอบรับอีกฝ่ายก่อนหันไปถามผู้ดูแลโดยเมินคนทั้งสองไปเสีย
“เจ้าไม่คิดจะขอโทษนางบ้างรึไร” ร่างสูงถามเสียงเรียบ เขาไม่ได้ถามว่าใครถูกใครผิด แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเจ็บตัวถึงเพียงนี้ไฉนเลยจึงไม่คิดเอ่ยปาก
“พยานรู้เห็นเป็นสิบว่าข้าเดินของข้ามาดีๆ คุณหนูนางนี้กลับวิ่งมาชนราวกับหนีผี หากมิได้ลี่ฉงคว้าตัวข้าไว้คิดหรือว่าคนที่เจ็บตัวจะมีเพียงนาง นอกจากข้าจะไม่ถือโทษทั้งยังไม่ต่อว่าสักคำ แต่ท่านกลับบอกให้ข้าขอโทษประหนึ่งเป็นคนผิดเนี่ยนะ ไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนดีรึไม่ คุณชายเจียง” ดวงหน้าหวานเย็นเยียบอย่างที่เจียงอี้เฉินไม่เคยสัมผัส ปกติคู่หมั้นของเขามักอ่อนน้อมถ่อมตนทำราวกับบ่าวที่พร้อมจะฟังคำสั่ง มาครานี้นางดูเปลี่ยนไปเหมือนไม่ใช่คนเดิม
ชายหนุ่มหน้าเสียไม่น้อยกับคำพูดเหล่านั้น คนงานในเหลาอาหารมองกันเลิ่กลั่กเมื่อโดนดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง
“ข้าผิดเองเจ้าค่ะท่านพี่อี้เฉิน ข้ารีบเกินไปไม่มองทางให้ดีจนเกิดเรื่อง” หยาดน้ำใสไหลรินอาบแก้มขาว ร่างอรชรสั่นเทาด้วยกังวลว่าจะถูกต่อว่า
“ถ้าเข้าใจตรงกันแล้วข้าก็ขอตัวก่อน ไปกันเถอะพี่ลี่ฉง” คุณหนูใหญ่ตระกูลซูเดินเข้าห้องรับรองพร้อมสาวใช้คนสนิท ทิ้งบรรยากาศกระอักกระอ่วนไว้ให้พวกเขารับผิดชอบกันเอง
“ท่านพี่อี้เฉิน…” มือขาวผ่องกระตุกชายแขนเสื้อของอีกฝ่าย หม่าผู่เยว่เม้มริมฝีปากเข้าหากันเมื่อเขามองตามแผ่นหลังเล็กนั่นไปจนลับตา
“กลับกันเถอะ คราวหลังเจ้าก็ระวังตัวหน่อย หากล้มแรงไปอาจบาดเจ็บเอาได้” ชายหนุ่มหันมากล่าวกับคนรัก แม้จะสะกิดใจกับท่าทางแปลกไปของคู่หมั้น แต่ก็ดีแล้วที่นางไม่ทำท่าทางราวกับคนถูกนอกใจเพราะเขาไม่เคยมีใจให้ตั้งแต่แรก
“เจ้าค่ะ” ใบหน้าพริ้มเพรามีริ้วแดงพาดผ่านด้วยความดีใจปนขัดเขิน ความห่วงใยที่เขาแสดงออกทำให้นางสบายใจขึ้นมากว่าบุรุษที่ตนรักยังคงไม่เปลี่ยนใจไปหาสตรีผู้เป็นคู่หมั้น เขาพูดเสมอว่าไม่เคยเต็มใจกับการเกี่ยวดองครั้งนี้ ดังนั้นนางจึงยังมีความหวังว่าจะได้แต่งกับเขา
“เป็นอันใดรึไม่เจ้าคะ คุณหนู” ลี่ฉงถามเจ้านายด้วยความกังวล ภาพหนึ่งชายที่มีฐานะเป็นถึงคู่หมั้นกับหนึ่งหญิงที่ทำตัวราวกับชู้รักโอบประคองกันช่างน่าโมโหเหลือเกิน
“ไม่ ข้าไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น เรามาสั่งอาหารกันดีกว่า” จะให้รู้สึกอะไรในเมื่อผู้ชายคนนั้นไม่ใช่แบบที่นางชอบเสียหน่อย ใจโลเลเปลี่ยนง่ายแม้จะมีคนรักอยู่แล้ว ต่อให้เอามาทำนายบำเรอก็ยังไม่มีคุณสมบัติมากพอด้วยซ้ำ
“เจ้าค่ะ” ลี่ฉงไม่อยากเซ้าซี้ตอกย้ำการกระทำน่าละอายของสองคนนั่น สุดท้ายจึงเรียกเสี่ยวเอ้อมาสั่งอาหารขึ้นชื่อพร้อมน้ำชาชั้นดี
“น้าลี่ฉงรู้จักร้านขายหนังสือประโลมโลกบ้างรึไม่” ขณะคีบอาหารเข้าปากเลี่ยงเหลียงก็เริ่มหาข้อมูลไปด้วย
“ในเมืองหลวงมีร้านใหญ่อยู่สี่ร้านเจ้าค่ะ” แม้จะไม่ได้ขายแค่หนังสือประโลมโลกก็ตามที
“ข้าอยากได้ร้านไม่ใหญ่มาก คนเข้าไปซื้อไม่มากไม่น้อย เจ้าของร้านบริการดีไม่มีนิสัยหยาบคาย น้าลี่ฉงคิดว่ามีร้านไหนตรงตามที่ข้าว่ามาบ้าง” ร้านใหญ่มักมีตระกูลขุนนางเข้ามาข้องเกี่ยว คนงามไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนให้ใครรู้ เงินทุกตำลึงต้องถูกเก็บในชื่อนางเท่านั้น
“เท่าที่นึกออก…เหมือนจะมีอยู่ร้านนึงนะเจ้าคะ” การแข่งขันด้านการค้าขายภายในเมืองหลวงนับว่าดุเดือด หากไม่แข็งแกร่งพอก็เป็นได้แค่ร้านค้าเล็กๆ
“ถ้าอิ่มแล้วเราจะไปดูร้านที่พูดถึงก็แล้วกัน” ทั้งสองกินไปคุยไปไม่ได้เคร่งครัดมารยาทมากนักเพราะเลี่ยงเหลียงสั่งเอาไว้ หากอยู่กันสองคนไม่จำเป็นต้องมากพิธีเหมือนตอนอยู่ในจวน
อาหารมื้อนี้ทำเอาลี่ฉงควักเงินออกมาทั้งน้ำตา ราคาของมันมากพอใช้จ่ายแบบประหยัดถึงห้าวัน แค่คิดว่าต้องจ่ายเงินขนาดนั้นเพื่อกินอาหารนอกบ้านหนึ่งมื้อลมก็แทบจับ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเหล่าคุณชายคุณหนูท่านอื่นออกมาเที่ยวเล่นบ่อยครั้งต้องใช้เงินไปเท่าไหร่
............................................................................................