คำกล่าวที่ซูเลี่ยงเหลียงพูดออกมาหมายความว่าเพราะมารดาผู้เป็นฮูหยินเอกเสียชีวิต สตรีสองคนนี้จึงได้คิดแทนที่โดยไม่สนธรรมเนียมปฏิบัติ รังแกบุตรีสายเลือดตรงเพียงคนเดียวของตระกูลอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอยู่มากหากคนนอกได้รับรู้
“เจ้าพูดเช่นนั้นข้าเสียใจนัก ข้าเพียงแค่เห็นว่าเจ้ามีท่าทางหวาดกลัวต่อนายท่านจึงจัดที่นั่งให้ห่างไกลขึ้น ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมองในแง่ร้าย” มือขาวนวลยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาราวกับเสียใจอย่างมาก บรรดาข้ารับใช้ก็พลอยสงสารไปด้วย
“ข้าเข้าใจผิดเองหรือนี่ ไม่คิดเลยว่าฮูหยินรองไป๋จะมอบความใส่ใจให้ขนาดนี้ ถึงขั้นมอบเรือนเล็กให้แทนที่จะเป็นเรือนกลางทางปีกซ้าย มิหนำซ้ำเงินเบี้ยหวัดเดือนละเจ็ดสิบอีแปะก็คงเพื่อสอนมิให้สุรุ่ยสุร่ายสินะเจ้าคะ ข้ารู้สึกแย่จริงๆ ที่เคยคิดว่าท่านรังเกียจบุตรีคนโตเช่นข้า” เรือนกลางทางปีกซ้ายยามนี้เป็นที่อยู่ของคุณหนูรองนั่นทำเอาเด็กสาวมีสีหน้างอง้ำขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ กระนั้นก็ยังสามารถเงียบปากไม่อาละวาดเนื่องจากถูกพี่ชายดึงแขนเสื้อเอาไว้
เรื่องเงินรายเดือนเหล่าสาวใช้ก็ได้ยินมาบ้างจากเหตุการณ์ด้านนอก คราแรกนึกว่าจะถูกปล่อยผ่านเสียอีก เกรงว่าคราวนี้คงมิอาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว ซูป๋อเหวินมองการตอบโต้ตรงหน้าด้วยสายตาอ่านยาก บรรยากาศรอบตัวของบุรุษเปี่ยมอำนาจแผ่ออกมาจนหลายคนเริ่มไม่กล้าส่งเสียง เลี่ยงเหลียงเองก็รู้ดีว่าตนควรพอแค่นี้ การไม่ตึงจนเกินไปหรือหย่อนจนเกินไปเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
“ต่อไปนี้พ่อบ้านจะเป็นคนจัดการเรื่องเงินรายเดือนของทุกคนในจวน” เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นท่ามกลางสีหน้าอันหลากหลายของแต่ละคน
“นายท่าน! ทำเช่นนี้-” ดวงตาดุดันมองมาจนไป๋อี๋นั่วต้องกลืนคำพูดลงคอ
“ย้ายข้าวของคุณหนูใหญ่ไปอยู่ที่เรือนใหญ่ติดกับเรือนหลัก” ที่นั่นคือเรือนเก่าของซูฮูหยินซึ่งฮูหยินรองทั้งสองต่างหมายปองมาเป็นเวลานาน เวลานี้กลับถูกนังตัวดีแย่งไปต่อหน้าต่อตา
“อย่าให้ข้าต้องมาจัดการเรื่องไร้สาระเช่นนี้อีก” ร่างสมส่วนลุกขึ้นเดินออกจากห้องไม่คิดรอฟังคำแก้ตัวของใคร ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศอึมครึมเท่านั้น
“ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายนัก คงต้องขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” หญิงสาวถือโอกาสถอยทัพไม่คิดตอแยให้เสียแรงเพิ่ม นางไม่สนใจคำอนุญาตและเดินกลับเรือนตนทันที
“ไม่คิดเลยว่าคุณหนูใหญ่จะเปลี่ยนไปเช่นนี้ อ้าปากครั้งเดียวอำนาจในมือพี่หญิงก็ปลิวหายเสียหลายส่วน” ตู้หยู่ถงเย้ยหยันอย่างไม่คิดปิดบัง ร่างอรชรลุกขึ้นพลางพาบุตรชายกลับที่พัก
“ท่านแม่” คุณชายใหญ่ซูหยูเฟยจับมือมารดาไว้แน่น เขาเกิดทีหลังพี่หญิงใหญ่หนึ่งปีจึงไม่ค่อยรู้นักว่าเดิมทีความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นเช่นไร เพียงแต่ตลอดระยะเวลาที่จำความได้เขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายกระทำการอุกอาจเพียงนี้
“ดูเหมือนว่าวันนี้คงไม่ได้กินมื้อเย็นร่วมกันแล้ว พวกเจ้าจัดสำรับไปส่งที่เรือนแต่ละหลังด้วย” ใบหน้างดงามของไป๋อี๋นั่วยังคงรอยยิ้มจางพลางออกคำสั่งกับบรรดาสาวใช้ก่อนลุกขึ้นตามการพยุงของบุตรชายหญิง
“เจ้าค่ะ” บ่าวไพร่ที่อยู่ตรงนั้นมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก บางคนเคยเมินเฉยคุณหนูใหญ่ก็เริ่มลังเลใจบ้างแล้ว
……………………………..
…………
โครม!
เมื่อกลับถึงห้องสิ่งแรกที่ฮูหยินรองไป๋ทำคือการปรี่เข้าไปผลักเก้าอี้จนล้มคว่ำ นางไม่ต้องการเขวี้ยงปาข้าวของให้เกิดคำครหา กระนั้นโทสะอันล้นปรี่นี้ก็ยังต้องระบายมิเช่นนั้นคงสุมอกจนนางกระอักเลือดออกมาเป็นแน่
“ท่านแม่ ประเดี๋ยวจะเจ็บมือนะขอรับ” เด็กหนุ่มอายุสิบหกหนาวจับมือมารดาเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร แม่แค่อยากระบายอารมณ์เท่านั้น” มันกล้าดียังไงถึงมาชูคออวดอ้างสิทธิ์ของบุตรีคนโต อีกทั้งยังทำให้อำนาจด้านการเงินหลุดไปจากมือนางอีก ร่างบางทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวอื่นด้วยความโมโห
“ข้าเกลียดมัน เมื่อไหร่มันจะออกไปจากตระกูลเสียที” เด็กสาววัยปักปิ่นกระแทกก้นลงกับเก้าอี้อย่างไม่พอใจ ซูหนิงเหมยไม่เคยมองอีกฝ่ายว่าเป็นพี่สาว หากไม่มีมันป่านนี้ท่านแม่ของนางคงได้ขึ้นเป็นฮูหยินเอกและตัวนางเองก็จะได้ชื่อว่าเป็นบุตรสาวสายตรง ตั้งแต่เล็กยิ่งได้เหยียบย่ำสตรีนางนั้นมากเท่าไหร่ก็เหมือนตนมีอำนาจเหนือกว่า
“อีกครึ่งปีจะถึงฤกษ์แต่งงานกับตระกูลเจียงแล้ว” ถ้าไม่ติดที่ผู้เป็นสามีต้องการใช้บุตรสาวคนโตเชื่อมสัมพันธ์ทางการเมืองล่ะก็ นางคงไม่ปล่อยให้มันได้แต่งกับบุรษจากตระกูลดีๆ หรอก
“ท่านแม่น่าจะให้ข้าเป็นคนแต่งกับคุณชายเจียงนะเจ้าคะ” นางเสียดายยิ่งนักกับเทียบสู่ขอที่ไม่ใช่ของตน แม้คุณชายผู้นั้นจะไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่แต่ใบหน้าหล่อเหลานั่นกลับเป็นที่ใฝ่ฝันของสตรีทั้งหลาย
“อย่าเสียใจไปเลย แม่จะหาบุรุษชาติตระกูลดีมาให้เจ้าเอง” บุตรสาวของนางสมควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ตระกูลเจียงเป็นเพียงผู้ช่วยเจ้ากรมยุติธรรม ไม่คู่ควรให้เกี่ยวดองด้วย
“เจ้าก็เลิกเซ้าซี้ท่านแม่เสียที เป็นคุณหนูในห้องหอเหตุใดมากล่าวว่าอยากแต่งบุรุษง่ายๆ เช่นนี้” คิ้วคมขมวดมุ่นไม่พอใจนัก
“ข้าแค่พูดไปเรื่อย พี่ชายใหญ่จะโมโหทำไมกัน” เพราะถูกตามใจจนเคยตัวคุณหนูรองจึงมีนิสัยดื้อดึงเป็นที่สุด
“หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง ระวังกิริยาของตนไว้บ้าง” เขาไม่ได้สนับสนุนการทำร้ายพี่หญิงใหญ่แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามเนื่องจากไม่อยากขัดใจมารดา กระนั้นจะพูดจาว่าร้ายออกมาอย่างโจ่งแจ้งก็ไม่สมควร
“พี่ชายเจ้าพูดถูก แม้เรือนนี้จะมีแต่คนของเรา แต่เจ้าจะพูดทุกอย่างที่คิดไม่ได้” มิเช่นนั้นนางคงไม่สามารถกุมอำนาจในจวนได้นานขนาดนี้หรอก
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เด็กสาวยังคงมีสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่นักด้วยรู้ตัวดีว่าระหว่างตนกับพี่ชาย มารดามักเลือกเข้าข้างพี่ชายเสมอ
“ท่านแม่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว” มองสีหน้าซูบซีดของคนตรงหน้าคุณชายใหญ่จึงตัดสินใจกลับเรือน
“ไปเถิด แม่ไม่เป็นอะไร” ริมฝีปากสีสดยิ้มกว้างให้บุตรชายสบายใจ
“ขอรับ โปรดดูแลสุขภาพด้วย” ร่างสูงโปร่งทำความเคารพอย่างนอบน้อม
หลังจากคุณชายใหญ่ออกจากห้องไปแล้วยามนี้จึงเหลือเพียงสองคนแม่ลูกที่นั่งคุยกันอยู่
“ท่านแม่ จะปล่อยให้มันเหิมเกริมแบบนี้หรือเจ้าคะ” ซูหนิงเหมยรู้สึกไม่ชอบใจมากที่เหมือนอีกฝ่ายมายกตนขึ้นเทียมท่านโดยไม่รู้จักที่ตํ่าที่สูงเช่นนี้
“แม่ไม่มีทางปล่อยให้มันเสวยสุขหรอก” ดวงตาโฉบเฉี่ยวหรี่ลงอย่างร้ายกาจ
“ท่านแม่อยากให้ลูกช่วยสิ่งใดรึไม่เจ้าคะ” พอเป็นเรื่องนี้เด็กสาวก็ดูจะกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
“เจ้าแค่อยู่เฉยๆ ก็พอ” ยามนี้นายท่านเพิ่งลงดาบนางมาหมาดๆ หากลงมือสุ่มสี่สุ่มห้าเกรงว่าจะไม่ดีนัก
“ก็ได้เจ้าค่ะ” คุณหนูรองตระกูลซูบีบมือตนเองแน่นด้วยความไม่พอใจ เรื่องอะไรจะให้มันใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
สองแม่ลูกต่างจมอยู่กับความคิด พยายามหาแผนการที่แยบยลเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น ต่อให้อีกครึ่งปีอีกฝ่ายจะต้องแต่งงานออกไปแล้วอย่างไร ก็อย่าหวังเลยว่าช่วงเวลาระหว่างนั้นจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้ คนที่มันอยู่ในโคลนตมเช่นไรก็ควรคลานกลับลงสู่โคลนตมไปเช่นนั้นมิต้องเสนอหน้าปีนขึ้นสู่ที่สูง
............................................................................................