ฉันนั่งมองควันสีดำที่ออกมาจากยอดปล่องเมรุอย่างใจลอย พร้อมด้วยความรู้สึกที่อดจะคิดไม่ได้จริงๆว่า...ถ้าชีวิตคนๆนึงมันจะบัดซบได้ขนาดนี้ ขอตายไปเลยซะยังดีกว่า...
หลายปีก่อน...
ครอบครัวของฉันได้ย้ายถิ่นฐานมาจากภาคอีสานมายังภาคใต้เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่าพ่อของฉันนั้นได้ไปติดหนี้สินที่กู้ยืมเขามาแทงพนันโต๊ะบอลจนไม่มีปัญญาชดใช้คืน อันเป็นผลให้เราสามคนพ่อแม่ลูกต้องพากันหนีเจ้าหนี้จำนวนหลายรายด้วยกันอย่างหัวซุกหัวซุนจนกระทั่งมาถึงใจกลาง อำเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งในตอนนั้นฉันมีอายุเพียงแค่สิบสองปี...
แม่...พาฉันร่อนเร่เก็บขวดขายเพื่อที่เราจะได้มีเงินไปซื้อข้าวมากินประทังชีวิตให้อยู่รอดไปวันๆ ในขณะที่พ่อซึ่งเป็นตัวต้นเหตุให้ครอบครัวของเราต้องตกตระกำลำบากก็ยังดันทุรังไปหยิบยืมเงินกู้รายวันมาเพิ่มอีกเพื่อเอาไปแทงพนันโต๊ะบอลที่พ่อชอบนักหนา ทั้งๆที่สิ่งนั้นมันคือต้นเหตุให้ชีวิตของเมียอย่างแม่และลูกสาวอย่างฉันต้องเผชิญกับความวิบัติฉิบหายอยู่อย่างที่กำลังเป็น
และด้วยเพราะเหตุผลที่พ่อสรรหาหนี้สินรายวันมาเพิ่ม จึงเป็นที่แน่นอนว่าความหวังที่ฉันจะได้เรียนต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นมันก็พลอยลดน้อยถอยลงไปทุกทีเช่นเดียวกัน
อยู่มาวันนึง... ขณะที่ฉันกำลังเดินหาเก็บขวดและของเก่าไปขายอย่างที่เคยทำมาเป็นประจำทุกวัน สายตาของฉัรฉันก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงสองคนที่น่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉันเพียงแต่เด็กหญิงสองคนนั้นเธออยู่ในสภาพการแต่งตัวที่ดีกว่า พวกเธอนั่งออกันอยู่ข้างทางซึ่งมีมอเตอร์ไซค์สองคันที่จอดอยู่ใกล้ๆ กัน โดยมีรถคันนึงที่ล้อหลังยางแบน ฉันเลยรับหน้าที่เป็นพลเมืองดีเข้าไปทักถามดูเผื่อว่าจะพอช่วยอะไรพวกเธอได้บ้าง
"หวัดดี" ฉันเอ่ยอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะกลัวพวกเธอรังเกียจที่ฉันแต่งตัวซอมซ่อ
"หวัดดี อากาศร้อนๆ แบบนี้เดินเก็บขวด ไม่กลัวเป็นลมรึไง" เด็กหญิงร่างเล็กผิวขาวน่ารักตอบฉันด้วยท่าทางเป็นมิตร ซึ่งฉันรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่เธอไม่ได้รังเกียจฉันอย่างที่ฉันคิดเอาไปเอง
"นิดหน่อย หาเงินน่ะ" ฉันตอบ "รถเสียเหรอ มีอะไรให้ฉันช่วยไหม ฉันพอจะรู้จักร้านซ่อมแถวนี้" ฉันลองเสนอเผื่อจะช่วยอะไรพวกเธอได้บ้าง
"ขอบคุณนะ พอดีเสน่ห์เขาช่วยโทรเรียกช่างให้แล้ว" เด็กหญิงร่างเล็กผิวขาวอมชมพูอีกคนพูดขึ้นบ้าง
"ฉันเสน่ห์ นี่ซันนี่ เราพึ่งรู้จักกันเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เธอละชื่ออะไร" เด็กหญิงที่ชื่อเสน่ห์ถามฉันด้วยน้ำเสียงที่สดใสเอาซะจนฉันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะเอ็นดู
"กระเจี๊ยบ" ฉันตอบเสียงแผ่วเบา "งั้นฉันไปก่อนนะ" ก่อนรีบปลีกตัวออกมาเพราะคิดว่าฉันกับสองคนนั้นต่างกันเกินไปที่จะมานั่งทำความรู้จักกัน...
"เดี๋ยวสิ" เสน่ห์สับขาเล็กๆ คู่นั้นของเธอเดินตามมาและดึงรั้งมือฉันให้หันกลับไปมอง
"โทษทีที่เสียมารยาท ฉันแค่...คิดว่าเธอน่าจะอายุเท่าเราสองคน"
เสน่ห์รีบชักมือกลับในทันทีที่เธอเห็นฉันทำตาโตใส่ เธอคงจะไม่รู้ตัวหรอกว่าอันที่จริงแล้วฉันก็แค่ตกใจที่เธอกล้าทีจะจับแขนมอมๆ ของฉันต่างหากละ
"เอ่อ...ฉันอายุสิบสองปี" ฉันใช้เวลาในการตัดตัดสินใจอยู่ประมาณสองนาทีแล้วจึงกลั้นใจบอกในสิ่งที่เธอถามออกมา
"เธอเข้าเรียนที่ไหน" คนที่ชื่อซันนี่ลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามาถามฉันบ้าง
"เอ่อ...คือ...ฉันไม่ได้เรียนต่อน่ะ" ฉันพูดเสียงกระซิบ จำได้ไม่ลืมเลยละว่าในตอนนั้นฉันแทบจะร้องไห้ออกมาให้กับความบัดซบของชีวิตตัวเอง...
"อะไรนะ!อะไรนะ!" สองคนนั้นคนโพล่งออกมาพร้อมกันอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ฉันพึ่งจะบอกออกไป
"ก็อย่างที่พูดแหละ อย่ามายุ่งกับฉันเลยฉันมันจน ขอตัวนะ" ฉันเดินหนีพวกเธออีกครั้ง คราวนี้น้ำตาของฉันมันก็ดันไหลออกมาอย่างที่ฉันเองก็ห้ามเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
"ไม่เอาน่า" ทั้งสองคนเดินมาดักหน้าฉันที่กำลังจะเดินหนีพวกเธอไปอีกครั้ง
"ฉันเป็นหลานเจ้าของโรงเรียน ฉันว่าฉันช่วยเธอได้นะ" ซันนี่พูดอย่างยื่นเสนอและนั่นก็ทำให้ฉันเริ่มร้องไห้ออกมาหนักขึ้นไปกว่าเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย
"แม่ฉันไม่มีเงิน..." ฉันพูดเสียงเบาด้วยความรู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตที่สุดแสนจะหดหู่ของตัวเอง
"เรื่องเล็กน่า! ฉันจัดการให้เองได้ ไม่ว่าจะเรื่องชุดนักเรียนและค่าเทอม ค่าจิปาถะ"
"เธอ!"
"ฉันไม่ได้จะเอาเงินฟาดหัวเธอนะ ฉันก็แค่...อยากช่วยเหลือเธอน่ะ" เสน่ห์พูดปฏิเสธเร็วๆ จนฉันถึงกับเผลอยิ้มให้กับท่าทางน่าเอ็นดูนั้นของเธอ
"ไม่ใช่ คือ...มันมากไป" ฉันหลุบตาลงอย่างไม่กล้าสบตาคู่สนทนาที่อยู่ตรงหน้าของตัวเอง
"เรื่องเล็กน่า" นับเป็นครั้งที่สามที่พวกเธอพูดพร้อมกันและพากันหัวเราะออกมาในความบังเอิญ ซึ่งฉันเองก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะหัวเราะตาม
"แต่แม่ของฉัน..." เมื่อคิดถึงสภาพแม่ที่กำลังนอนป่วยอยู่ในเพิงใต้สะพานลอยที่เราช่วยกันสร้างขึ้นมา ฉันก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
"ถ้าเธอไม่ว่าอะไรช่วยพาพวกฉันไปหาแม่เธอหน่อยได้ไหม"
ฉันลังเลกับคำขอของเธอทั้งสองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจตอบตกลงไป
เมื่อช่างซ่อมรถเสร็จฉันก็ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่มีเสน่ห์เป็นคนขับ ส่วนซันนี่ก็ขับรถมอเตอร์ไซค์อีกคัน
ยอมรับเลยว่าตอนนั้นฉันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเพราะนานมากแล้วที่ฉันไม่ได้ขี่รถตากลมแบบนั้น
"แม่!" ฉันตรงเข้าไปหาแม่ที่ตอนนี้อยู่ในสภาพเบ้าหน้าโชกไปด้วยเลือดสีแดงฉาน แม่...ก็คงจะโดนพวกเจ้าหนี้รายวันของพ่อทุบตีเอาเงินดอกอีกแล้วสินะ...
"แม่ไม่เป็นไรลูก" แม่ฉันเอ่ยอย่างอ่อนแรง และยังเอ่ยถามฉันด้วยความเป็นห่วงอย่างที่เคย
"แล้วหนูหาขวดได้ไหม ได้กินข้าวหรือยังลูก"
"แม่คะ ฮือๆ..." ฉันกับแม่สวมกอดกันเอาไว้อย่างเหนียวแน่น โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต่อแต่นี้ไปพวกเราจะทำยังไงกับชีวิตที่ยังคงเหลืออยู่ดี
"คุณน้าคะ" เสน่ห์เอ่ยขึ้น "หนูกับยินดีจะช่วยทุกอย่างค่ะ ถ้าคุณน้าและลูกสาวไม่รังเกียจ"
"เพื่อนกระเจี๊ยบเหรอลูก" แม่หันมาถามฉันที่ได้แต่พยักหน้าตอบไปทั้งน้ำตา
"น้าไม่มีเงินจะคืนพวกหนูหรอกนะลูก" แม่ฉันเอ่ยขึ้นมาเบาๆ อย่างขมขื่นและฉันเองก็มีความรู้สึกแบบเดียวกันนั้นไม่แตกต่างกัน
"คุณน้า...อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ พวกเราอยากจะช่วยจริงๆ ค่ะ กระเจี๊ยบจะได้เรียนหนังสือและคุณน้าก็จะมีงานทำค่ะ" ซันนี่เอ่ยอย่างเห็นใจเราสองแม่ลูก
"แต่ว่า.." แม่ของฉันลังเล
"หนูมีห้องแถวอยู่ตรงสี่แยกตรงนู้นค่ะ หนูให้คุณน้ากับกระเจี๊ยบอยู่ฟรี น้ำไฟฟรีค่ะ แต่เราขาดแม่บ้านพอดี ถ้าคุณน้าลำบากใจที่จะอยู่ฟรีก็ช่วยหนูทำความสะอาดเล็กๆ น้อยๆ ก็พอค่ะ" ซันนี่พูดต่ออย่างไม่รอให้เราสองแม่ลูกเอ่ยปฏิเสธ
"แล้วเรื่องการเล่าเรียนเสื้อผ้าค่าเล่าเรียนหนูออกให้ทั้งหมดค่ะ แลกกับการที่เราได้เป็นเพื่อนกัน" เสน่ห์ยิ้มแฉ่ง ฉันไม่แน่ใจว่าเธอรู้ตัวหรือเปล่าแต่เวลาเธอยิ้ม เธอสวยมากๆ เลยละคะทุกคน
หลังจากที่สองคนนั้นพยายามพูดเพื่อจะช่วยเหลือเราสองแม่ลูกอยู่นาน สุดท้ายพวกเราสองคนแม่ลูกก็เลือกที่จะตอบตกลงไปในที่สุด...
ในวันที่ฉันแย่ ฉันขอเพียงแค่เพื่อนแท้สักคน
ป.ล. มาอ่านย้อนหลังฉันคำว่าสองได้เปลืองมาก ฮ่าๆ