อีกห้านาทีจะถึงเวลารับประทานอาหารเย็นของบ้านนรินทร์จรรยา แม่ครัวสาวร่างสวยลำเลียงอาหารกลิ่นหอมฉุยมาวางเรียงรายบนโต๊ะ โดยมีสำเนียงสาวใช้อีกคนในบ้านที่ดูจะญาติมิตรกับประภาพรรณคอยช่วยจัดโต๊ะอีกแรงหนึ่ง
“หน้าตาน่าทานจังเลยหนูมิว” เจ้าของบ้านเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร ทรุดนั่งประจำที่เมียงมองหน้าตาอาหารที่แปลกตา แต่ชวนรับประทาน “คุณหญิงบอกว่าเย็นนี้หนูมิวเป็นคนทำอาหาร จริงหรือเปล่า?”
“จริงค่ะคุณพ่อ ไม่รู้จะถูกปากคุณพ่อหรือเปล่านะคะ แต่มิวก็พยายามเต็มที่ค่ะ” ประภาพรรณพูดออกตัว
“เมียผมซะอย่างครับคุณพ่อ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ มิวทำอาหารอร่อยนะครับคุณพ่อ ผมกินมาตั้งหนึ่งปีเต็มๆ เสน่ห์ปลายจวักมัดใจผมซะอยู่หมัดเลยครับ” พันกรกล่าวเสริมระหว่างที่กำลังทรุดตัวลงนั่งประจำที่ ประภาพรรณยิ้มเขินเมื่อได้ยินคำพูดของสามี
“ให้มันแน่เถอะ กลัวจะทานไม่ได้ล่ะไม่ว่า”
เสียงของปทุมวดีดังมาก่อนตัว นางได้ยินคำพูดของลูกชายพอดีตอนที่เดินเข้ามาในห้องนี้ อดไม่ได้ที่ขัดคอ นึกหมั่นไส้สามีและลูกชายที่เอาใจ รักใคร่ในตัวประภาพรรณอย่างออกนอกหน้า
“อย่างนี้ต้องลองทานดูค่ะคุณแม่ ไม่ลองไม่รู้” ลูกสะใภ้สุดแสบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“หน้าตาน่าทานนะคุณ ดูสิสีสันมากๆ เลยนะ ผมว่าต้องอร่อยแน่ๆ”
ปรีชาชาญชี้ชวนให้ภรรยาดูอาหารบนโต๊ะ ที่เห็นเป็นถ้วยใหญ่ๆ น่าจะเป็นต้มยำน้ำใส กลิ่นหอมยั่วน้ำลาย พริกขี้หนูแดงทุบพอแตกโรยหน้า บ่งบอกถึงรสชาติจัดจ้าน ผัดผักรวมมิตรที่มีผักหลายชนิดทั้งใบเขียว แครอท กะหล่ำปลีม่วง ผัดรวมกันดูมีสีสันน่ารับประทาน อีกจานหนึ่งเหมือนจะเป็นส้มตำแต่แตกต่างกันตรงที่ไม่ได้ใส่มะละกอ นางมองไม่ออกว่าเป็นตำอะไร ทว่าสีสันน่าทานทีเดียว มาถึงจานสุดท้าย นางคิดในใจว่าน่าจะเป็นผัดกระเพาเนื้อสับ
“ว่าแต่ว่าอาหารบนโต๊ะมีอะไรบ้างล่ะ?” ปทุมวดีเอ่ยถาม
“ทานก่อนนะคะ แล้วมิวจะบอก” ตอบเสร็จก็พยักหน้าให้สำเนียงทำหน้าที่ตักข้าวสวยใส่จาน ปทุมวดีใช้ช้อนกลางตักต้มยำชามใหญ่ก่อนจะปล่อยช้อนทิ้งทันทีเมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในช้อน
“นี่หล่อนเอาเท้าไก่มาทำต้มยำให้ฉันกับคุณปรีชาทานเหรอ รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น คุณพี่ยากทานนะคะ เสียเกียรติหมด” นางหันมาต่อว่าประภาพรรณ ก่อนจะหันไปบอกสามีไม่ให้รับประทาน
“โธ่...คุณแม่ขา เท้าไก่มันต่ำที่ไหนกันล่ะคะ ทุกคนในประเทศไทยก็กินกันทุกคนนั่นแหละคะ ถ้าคนที่กินเท้าไก่แล้วต้องเสียเกียรติ คนทั้งประเทศก็คงไม่มีเกียรติกันเลยสักคน หรือว่าคุณแม่ไม่เคยทาน ลองทานสิคะแล้วจะติดใจ” ประภาพรรณหาข้อโต้กลับจนได้
“นั่นสิคุณ ผมว่าไม่เห็นจะต่ำไม่เห็นจะเสียเกียรติตรงไหนเลย ผมไม่เคยทานมานานมากแล้วนะ ครั้งสุดท้ายก็เห็นจะเป็นเมื่อสิบปีก่อน ตอนโน้นผมไปหาเสียงแถวภาคอีสาน คนที่โน่นเขาทำต้มยำไก่ป่าให้ทาน นำเอาอวัยวะทุกส่วนของไก่มาทำอาหารยกเว้นคอแล้วก็ไส้ ผมยังกินเท้าไก่ไปหนึ่งชิ้น แหม..อร่อยอย่าบอกใคร เนื้อมันกรุบๆ ยิ่งต้มให้เปื่อยยิ่งอร่อย”
ปรีชาชาญเล่าถึงความหลังเมื่อสิบปีก่อนและนับจากนั้นเขาก็ไม่ได้ทานเท้าไก่อีกเลย วันนี้ลูกสะใภ้ทำต้มยำเท้าไก่ให้ทาน มีหรือที่รัฐมนตรีจะพลาดโอกาสนี้ รับจับช้อนกลางแล้วตักต้มยำใส่จานข้าวของตนเองทันที ผู้เป็นภรรยาเห็นสามีรับประทานตุ้ยๆ จึงส่งค้อนให้
“คุณแม่ลองทานสิครับ อร่อยนะครับ รับรองทานแล้วเกียรติของคุณแม่ยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์”
พันกรกล่าวเสริมอีกคน ขณะที่กำลังตักต้มยำเท้าไก่ใส่ปาก ผู้เป็นแม่จึงส่งค้อนให้ลูกชายอีกคน ชำเลืองมองต้มยำเท้าไก่หน้าตาน่าทาน และตอนนี้ท้องของนางก็ร้องโครกครากด้วยความหิว จึงตัดสินใจตักต้มยำไก่มาใส่จานบ้าง แล้วรับประทาน
“อืม อร่อยดี” คนเจ้ายศเจ้าอย่างเอ่ยชม ประภาพรรณมองมือของแม่สามีที่กำลังจะตักจานผัดกระเพราด้วยรอยยิ้ม มองจนกระทั่งปทุมวดีตักเข้าในปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อาหารมื้อนี้ดูเหมือนจะอร่อยเป็นพิเศษแต่ละคนขอข้าวเพิ่มกันอย่างถ้วนหน้า อาจเป็นเพราะว่าอาหารมื้อนี้แปลกกว่าทุกมื้อ
“อร่อยจังเลยหนูมิว อร่อยทุกอย่างเลย ยิ่งผัดกระเพราจานนี้เนื้อมันกรุบๆ ดีจังใช้หมูอะไรทำหรือลูก?” ปรีชาชาญเอ่ยถามหลังจากที่รับประทานอาหารคาวเสร็จเรียบร้อย รอให้อาหารหวานมาเสิร์ฟ
“นั่นสิ มิวบอกว่ากินข้าวเสร็จแล้วจะบอกว่าคืออะไร?” พันกรเตือนความจำภรรยา
“ต้มยำชามนี้เดิมทีเรียกว่าต้มยำเท้าไก่ แต่มิวเปลี่ยนชื่อเป็นต้มยำสี่นิ้วค่ะ เพราะเท้าไก่มีสี่นิ้วจะได้ดูมีเกียรติหน่อย ส่วนจานนี้ก็คือผัดผักมั่วสั่ว มิวไปซื้อผักที่เขากองขายกองละสิบบาทมาค่ะ แต่ขอต่อเขานิดหน่อยด้วยการหยิบผักชนิดนั้นนี้อย่างละนิดล่ะหน่อยมาร่วมกันจ่ายไปเพียงยี่สิบบาทค่ะ แล้วจานนี้ก็คือตำมั่วรสแซบ ตำเหมือนส้มตำค่ะแต่ทำจากผลไม้ มิวซื้อผลไม้ตามรถเข็นค่ะ มีสัปปะรด มะม่วง มันแกว องุ่น ต่อเขาเหมือนกันค่ะปกติขายถุงละสิบบาทเป็นสี่ถุงสามสิบ ส่วนจานนี้เด็ดสุดค่ะ มิวเห็นคุณแม่ตักเอาตักเอาแล้วปลื้มใจ มิวเจียดเงินสองร้อยที่คุณแม่ให้ไปซื้อเนื้อสัตว์ชนิดนี้ค่ะ หนูนาค่ะ ผัดกระเพราหนูนาสับค่ะ รสเด็ด อร่อยเหาะอย่าบอกใคร”
ปรีชาชาญกับพันกรไม่ได้มีทีท่าผิดแผกไปเมื่อรู้ชื่อเมนูและส่วนผสมของอาหารที่พวกเขาได้ทานลงไปเมื่อครู่ เพราะแต่ละอย่างล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น ผักเอย ผลไม้เอย เนื้อสัตว์เอย และไม่ตกใจด้วยว่าผัดกระเพราที่ทานไปนั้นแท้จริงแล้วไม่ได้ทำจากเนื้อหมู แต่เป็นเนื้อหนูนา
“นี่หล่อนเอาหนูนามาให้ฉันกินเหรอ?”
ปทุมวดีถามเสียงสูง ทำท่าพะอืดพะอมอยากจะขย่อนอาหารที่ทานลงไปเมื่อครู่ออกไปจากท้องให้หมด โดยเฉพาะเนื้อหนูนา
“ใช่ค่ะ” เธอตอบด้วยรอยยิ้ม “คุณแม่ให้เงินมิวไปซื้อกับข้าวแค่สองร้อยนะคะ จะให้มิวซื้อกุ้งมังกร ปลาหมึกตัวใหญ่ๆ มาทำผัดกระเพราได้ยังไงล่ะคะ จะทำจากเนื้อสับหรือเนื้อไก่มันก็ดูไม่ใช่อาหารเหลาอย่างที่คุณแม่ต้องการ หนูนานี่เลิศสุดแล้วค่ะ หายากด้วยนะคะมีบางที่เท่านั้นค่ะ แต่ถ้าตามตลาดต่างจังหวัดมีเพียบค่ะ หนูนาสับผัดกระ