บทที่ ๓ เพลิงปรารถนาอสูร(๑)

1246 Words
ดึกสงัดหลังบ้านไม้สักใหญ่โต บรรยากาศวังเวงน่าพิศวง ฟากฝั่งลำธารที่ไหลซัดตามธรรมชาติ ไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร ชายหนุ่มในชุดรัดกุมสีดำสามคนจับจ้องไปยังเรือนไม้ที่เห็นแสงสว่างรำไรอย่างจดจ่อ พวกมันหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก สบสายตาสื่อความหมาย แววตาสามคู่ที่จ้องไปยังเรือนหลังนั้นปานจะสับร่างเจ้าของบ้านให้เป็นชิ้นๆ สืบเท้ามาใกล้ก็เริ่มมีเสียงคุกคาม ก่อนหัวหน้ากลุ่มจะตวัดสายตาไปมองยังคนที่ส่งเสียง “มึงจะเหยียบกิ่งไม้ให้มันได้ยินรึไง!” นั่นคือเสียงหัวหน้าของทีม คนที่โดนต่อว่าก้มหน้าอย่างยอมรับผิด “ลุยเลยไหมลูกพี่” อีกคนถาม “เจ้านายให้มาดูลาดเลาเท่านั้น จำไว้ว่าบ้านหลังนี้มีเนื้อกวางให้เราเชือด ฉันก็อยากจะรู้นักว่าไอ้เสือโคร่ง มันจะทำยังไง ถ้าหากกวางมันหาย หึๆ” รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าผู้บุกรุกสามสหายช่างน่ากลัวเหลือเกิน คนพวกนี้เป็นพวกเดนตายอมนุษย์ที่ถูกจ้างวานให้มาสืบข่าว “รวมทั้งเรื่องนั้นด้วยใช่ไหมพี่” เสียงลูกน้องพูดขึ้นลอยๆ “หุบปาก! ถ้าไม่อยากโดนตัดลิ้น” น้ำเสียงของหัวหน้ากลุ่มเล็ดลอดไรฟันหันไปมองคนที่ปากสว่างด้วยแววตาน่าสะพรึงกลัว ลูกน้องทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาหลบแววตาที่พร้อมจะปลิดชีวิตของพวกมัน “ลูกพี่เนื้อกวางนั่นน่ากินไม่ใช่น้อย” เสียงเข้มๆ ดังขึ้นเบาๆ “เดี๋ยวมึงคงได้กิน แต่กูไม่รู้ว่ามึงจะได้กินจากใครระหว่างนายใหญ่หรือไอ้ไฟเด็กเมื่อวานซืน ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” หัวหน้าชุดพูดขึ้น สายตามองลูกน้องอย่างดูแคลน หาเรื่องให้นายใหญ่ตัดหัว แต่อีกคนกลับเงียบสนิท ซึ่งเป็นนิสัยของมันถ้าหากมันเอ่ยปากเมื่อไหร่มันก็ลุยอย่างเดียว อมนุษย์เดนตายสามสหายจับจ้องการเคลื่อนไหวในบ้านไม้หลังใหญ่ได้สักพัก แขกไม่ได้รับเชิญก็ก้าวถอยหลังออกจากเขตต้องห้ามไป คงจะคาบข่าวไปบอกเจ้านายใหญ่ที่นั่งแท่นเป็นศัตรูกับไร่ศิรานนท์มาสิบกว่าปี เสียงเสือโคร่งอย่างไอ้เขี้ยวยักษ์คำรามยามดึกทำให้ลูกน้องในมุมมืดขนลุกซู่ ก่อนจะมองหน้ากัน พยัคฆ์ขาวที่ในมือมีปืนมัจจุราชสีเงินเรืองวาวกระทบแสง และอีกคนพยัคฆ์ดำที่มีอาวุธร้ายสีดำไว้ในครอบครองเช่นกัน เจ้านายพวกเขาก็คงเป็นนกที่โผบินบนท้องฟ้า เจ้าแห่งเวหาและนักล่า เพลิงอินทรี ผู้ครอบครองนกอินทรีนักล่า เหยี่ยวเวหา แต่ว่าลูกน้องอย่างพวกเขากลับไม่เคยเห็นแม้แต่ครั้งเดียว ได้ยินว่าถ้าหากมันปรากฏตัวเมื่อไหร่ ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งตาย อาจเป็นทั้งศัตรูหรือมิตร หรือสัตว์ตัวนี้จะปรากฏตัวต่อเมื่อมันพึงพอใจและเจ้าของได้รับอันตราย ซึ่งน้อยครั้งยิ่งนัก สองสหายดำขาวก้าวมายังกรงเสือโคร่งไอ้เขี้ยวยักษ์ที่ทุกคนเรียกขาน เสือตัวเดียวที่ยอมสยบแทบเท้าเจ้านาย พยัคฆ์ขาวเดินเข้าใกล้กรงก่อนจะเอ่ยเบาๆ “ชู่ ไอ้เขี้ยวแกได้กลิ่นอะไร?” นั่นคือคำถาม เสือโคร่งตัวใหญ่จ้องมองหน้าขาวและดำ มันเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเดินวนไปวนมารอบกรง มันยังส่งเสียงคำรามดังก้อง “มันทำท่าทางแบบนี้ กลิ่นไม่ดีใช่ไหมไอ้ดำ?” ขาวเอ่ยถามเห็นดำพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนทั้งสองคนจะหลบเข้าไปยังพุ่มไม้เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา สองหนุ่มพยัคฆ์ขาวและพยัคฆ์ดำกระชับปืนในมือแน่นหนา แต่ว่าเสียงเป่าปากสัญญาณจากเจ้านายที่ได้ยินทำให้พวกมันยอมออกจากที่ซ่อน เมื่อชายหนุ่มรูปร่างสันทัดเดินเข้ามาใกล้ ขาวและดำก็ก้มหัวทำความเคารพอย่างนอบน้อม “หมาป่าคุกคาม” พยัคฆ์ขาวรายงาน เพลิงอินทรีกระตุกยิ้มที่มุมปากเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าใกล้กรงเสือโคร่งที่เลี้ยงดูด้วยเนื้อสดๆ “รายงานต้นกล้า งานนี้เราต้องเล่นทั้งทางมืดและสว่างลากหมาป่ามาเข้ากรง” ลูกน้องทั้งสองก้มหน้าลงเป็นการน้อมรับคำสั่ง “แกเตรียมอิ่มท้องได้เลยไอ้เขี้ยวยักษ์” ชายหนุ่มหันไปพูดกับเสือโคร่งตัวใหญ่ที่นอบน้อมต่อเขา มันหมอบราบกับพื้นดิน ยอมรับคำสั่งของเจ้านาย สามหนุ่มหันหลังให้กรงไอ้เขี้ยวยักษ์ หันมองรอบทิศบริเวณ ที่ได้กลิ่นตุๆ “งานนี้มันกล้าส่งหมาปลายแถวมาซุ่มมอง มันคงอยากจะลองดี” ขาวเหยียดปากพูด “หมาป่าหรือหมาจิ้งจอก” ดำพูดขึ้นลอยๆ สบตามองเจ้านายหนุ่ม เพลิงอินทรีตวัดสายตาจ้องมองลูกน้องที่ทำงานร่วมกันมาสิบปี “มันไม่สำคัญบอกเหยี่ยวพยัคฆ์กระจายกำลังครอบคลุมพื้นที่ อย่าให้หมาสักตัวเข้ามาได้ เข้าใจไหม?” ลูกน้องสองคนพยักหน้าหงึกหงัก หลังจากนั้นเจ้านายหนุ่มรูปหล่อใบหน้าคมเข้ม ดวงตาน่าเกรงขามก็ก้าวหันหลังให้ลูกน้องมุ่งตรงไปยังเรือนไม้สักที่พักพิง สองหนุ่มพยัคฆ์ก็ก้าวหันหลังกลับ “มึงว่ามันต้องการอะไร?” ขาวเอ่ยขึ้นเบาๆ ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืน “มันต้องการสิ่งที่เจ้านายครอบครอง แต่พวกมันไม่มีทางได้ไปอย่างเด็ดขาด” ดำเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า หน่วยพยัคฆ์รักษาสิ่งนี้เยี่ยงชีวิตมาร่วมสิบปี “มึงอย่าบอกว่าสิ่งนั้นคือ...” “หุบปากอย่าเอ่ยถึง อย่าแตะต้องสิ่งนั้น” ขาวพยักหน้าหลังจากเสียงเข้มๆ ของดำดังขึ้น มองญาติผู้พี่ซึ่งดึงเขาเข้ามาร่วมกลุ่มพยัคฆ์ องค์กรที่ต้องปกป้องสิ่งหนึ่งยิ่งกว่าชีวิต คุกที่พวกแย่งชิงต้องจองจำนั่นคือกรงเสือโคร่งซึ่งไอ้เขี้ยวยักษ์ จะเป็นฝ่ายทำลายหลักฐานและดับกลิ่นคาวของเลือดให้เหือดหายไป ทิศทางที่เพลิงอินทรีมุ่งหน้าเดินไปกลับผ่านบ้านของตัวเอง ลัดเลาะไปไม่กี่ร้อยเมตร ในถ้ำหลังน้ำตกที่ชายหนุ่มเคยเดินเล่นมีคนคนหนึ่งอาศัยอยู่ ผู้ที่รักความสงบ เจ้าแห่งไร่ศิรานนท์ เสือเก่าในอดีตที่หมกตัวอยู่ที่นี่ ท่ามกลางความอ้างว้างและเดียวดาย แต่ว่าเพลิงอินทร์ เจ้าของเหยี่ยวเวหาในอดีตกลับเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำเพียงลำพัง ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกอีก ตอนนี้เสือแก่กำลังเก็บตัว ปล่อยให้เสือหนุ่มอย่างเพลิงอินทรีทำงานเพียงลำพัง ชายหนุ่มก้าวเข้าถ้ำที่อยู่หลังน้ำตก แววตาไม่ได้เกรงต่ออันตรายเลยสักนิด สายตาถูกปรับให้คุ้นเคยกับความมืดมิด ก่อนจะสืบเท้าเข้าไป “หลานกำลังเจอปัญหา” เสียงชายชราดังขึ้น ดวงตาที่อ่อนแสงลงทำให้เพลิงอินทรีเดินเข้าไปใกล้ “กลิ่นไม่ดีครับปู่” ชายหนุ่มนั่งลงข้างๆ คุณปู่ที่เคารพรัก เพลิงอินทร์ ศิรานนท์ เสือเก่าในอดีต ผู้ที่หลบซ่อนตัวมานับสิบปีเต็ม หลังจากโอนทุกอย่างให้เขาดูแลและครอบครอง ปู่อินทร์ลุกขึ้นเดิน ในมือถือไม้เท้า ผมชายวัยชราปิดบังหน้าตา เสื้อผ้าเก่าแต่ยังอยู่ในสภาพดี หนาวเครายาวรกรุงรัง แต่ว่ายังสง่าผ่าเผยและองอาจสมกับเป็นเสือเก่าในอดีต “เรื่องนี้พ่อเพลิงไม่รู้เรื่องใช่ไหม?” ปู่อินทร์ถามขึ้น ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD