มองดูให้ดี 3.2

2254 Words
“มี่มี่ ข้าไม่สามารถรับรักของเจ้าได้” เสียงของผู้ที่ตนเฝ้ารักเฝ้าเอาใจประดุจมีดเล่มใหญ่กรีดแทงเข้าที่อก สีหน้าของเขาเฉื่อยชาไร้ความรู้สึกถึงแม้ว่าสตรีร่างใหญ่เบื้องหน้าจะดวงตาแดงก่ำใกล้ร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ “อาซือ เพราะเหตุใดกัน...” นางยื้อแขนของเขาเอาไว้อย่างไม่เข้าใจ ริมฝีปากสั่นเทาอย่างน่าสงสาร เมื่อวานนี้เขายังดูปกติดีอยู่เลย หรือว่าเขาโกรธอันใดนางจึงเผลอพูดคำนี้ออกมา “ข้า... ข้าทำอันใดให้เจ้าไม่พอใจใช่หรือไม่ บอกข้ามาเถิด ข้าจะปรับปรุงตัว” “ไม่” เขาส่ายหน้าด้วยสีหน้ารำคาญใจ เพียงแค่นึกถึงคำหยอกล้อของสหายเกี่ยวกับหญิงสาวก็ยิ่งทำให้อับอายและหงุดหงิดจนใกล้จะหมดความอดทนเต็มที “เจ้าปรับปรุงตัวไม่ได้หรอก” “ทำไม...” “เพราะ...” “อาซือ...” ซุนมี่มี่ร้องไห้ออกมาในที่สุด เหตุใดอีกฝ่ายจึงได้เย็นชากับนางเพียงนี้ ที่ผ่านมานางดีกับเขาไม่พอ ปรนนิบัติดูแลเขาไม่ดีพอหรืออย่างไร! ยามคบกันทีแรกหวานชื่นตรึงใจ ยามสะบั้นรักกลับฝืดขมไร้อาลัย ตงซือ... เจ้าช่างแล้งน้ำใจยิ่งนัก! พอถูกยื้อไว้มากเข้า ตงซือใช้แรงแกะมือของ ‘อดีต’ คนที่คบหาดูใจออกจากตนพร้อมกับตะโกนออกไปเสียงดังเพื่อให้ทุกอย่างจบลง “เพราะข้ามิอาจทำใจรักคนอ้วนอัปลักษณ์ได้อย่างไรเล่า!” “ตามสบายเถิด” ซุนมี่มี่ดึงตนเองออกจากห้วงคิดเมื่อได้ยินสุรเสียงของผู้เป็นนาย ขณะที่ตงซือยืนขึ้น จากนั้นก็มองเลยสตรีผู้มีแผ่นหลังบางอรชรอ้อนแอ้นไปยังความว่างเปล่าทางด้านหลัง ลี่ฮวาบอกเขาว่าซุนมี่มี่จะเป็นผู้ติดตามเจ้าตำหนักอิงหย่ง หรือว่าบางทีท่านอ๋องน้อยอาจเปลี่ยนพระทัยพานางกำนัลคนใหม่มาแทน ไม่ก็ลี่ฮวาตั้งใจแกล้งหลอกอำให้เขาตกใจไปอย่างนั้นเอง ฮึ! มันก็สมควรอยู่หรอก... ผู้ใดกันเล่าจะพาสตรีอ้วนหมูตอนออกไปข้างนอก มีหวังได้อับอายขายขี้หน้าผู้อื่นแย่! “ไปตามตงซือมาพบข้า” คำสั่งของผู้เป็นนายทำเอาผู้ที่กำลังหัวเราะเยาะนางกำนัลสาวอยู่ในใจถึงกับสะอึก รีบประสานมือไว้เบื้องหน้าแล้วค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม “เรียนท่านอ๋องน้อย ข้าน้อยคือตงซือพ่ะย่ะค่ะ” “เจ้า? ” เสียงของชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์สูงกว่าเดิมเล็กน้อย ครั้นใช้สายตาประเมินอีกฝ่ายเสร็จก็เค้นหัวเราะในลำคอออกมาคำหนึ่ง เล่นเอาหนุ่มเลี้ยงม้าถึงกับขนลุกซู่โดยมิทราบสาเหตุ ร่างกายดูกำยำแข็งแรงก็จริงอยู่หรอก แต่ไม่ว่าจะบุคลิกท่าทางเยาะแยะ เรื่อยไปยังชาติตระกูลและหน้าตา ตงซือผู้นี้ดูไม่ต่างจากต้นหญ้าริมทาง สมควรแล้วหรือที่ซุนมี่มี่ถึงกับร้องไห้ทุกข์ตรม อดข้าวอดน้ำมาหลายทิวาราตรี? บุรุษผู้นี้ตาบอดที่ทอดทิ้งซุนมี่มี่ ซุนมี่มี่เองก็ตาบอดที่มาหลงรักบุรุษไร้น้ำยาคนนี้ “วันนี้ข้ารู้สึกไม่ค่อยดี” เยว่หมิงเอ่ยพลางยกมือขึ้นไพล่หลัง ทวงท่าสง่างามแม้กระทั่งจังหวะการหมุนกายหันไปยังนางกำนัลซึ่งยืนหันหลังอยู่ด้านหลัง “ดังนั้น ‘นาง’ จะทำหน้าที่ส่งสารจากข้าไปให้เจ้า” ซุนมี่มี่ตกใจรีบหันขวับกลับมายังท่านอ๋องน้อย จะทรงรู้สึกไม่ค่อยดีได้อย่างไรในเมื่อก่อนหน้านี้ยังก้าวพระบาทฉับๆ นำนางมาจากบริเวณทิศตะวันออกมายังทิศใต้ของวังพิชิตบูรพาได้ หญิงสาวไม่มีโอกาสแม้แต่จะปริปากพูด สายพระเนตรของท่านอ๋องน้อยถือเป็นการสั่งอยู่กลายๆ ว่าให้เดินเข้าไปหา ผู้เป็นบ่าวพยายามควบคุมร่างกายมิให้สั่น นางจับจ้องดวงหน้าคมคายเพื่อหลบเลี่ยงการมองอดีตคนรักก่อนจะเริ่มขยับตัว ฝ่ายตงซือ... ครั้นเห็นนางกำนัลร่างบางผู้นั้นหันหน้ามาก็ตกตะลึงจนลืมหายใจ สาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมา... เขาไม่เคยมีวาสนาได้พานพบสตรีที่งดงามปานเทพธิดาเช่นนี้มาก่อน สายตาประหม่าดูไม่มั่นใจในตัวเองนั้นยิ่งพินิจเท่าไรก็น่าปกป้อง ทว่าเวลาเดียวกันก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับเคยพานพบที่ใดมาก่อน ถึงอยากเอ่ยถาม แต่ต่อหน้าท่านอ๋องน้อยแล้ว เขาย่อมไม่กล้า เพียงมีโอกาสได้นลโฉมใกล้ๆ ก็ถือว่าสวรรค์เมตตา ดังนั้นเขามิควรจะเหิมเกริม... คิดอยากแนะนำตัวกับบุปผางามที่อยู่ไกลเกินเอื้อม บุรุษก็สง่างามองอาจ สตรีก็รูปงามโดดเด่น อา... แน่นอนว่าการได้มาเป็นนางกำนัลผู้ติดตามนั้นคู่ควรมากกว่าซุนมี่มี่เป็นไหนๆ ในขณะที่คนเลี้ยงม้าแห่งวังพิชิตบูรพากำลังนึกชื่นชมอยู่ในใจอยู่นั้นเอง ท่านอ๋องน้อยก็ผินพระพักตร์ไปยังผู้ติดตามข้างพระวรกาย พระโอษฐ์ขยับเพื่อเรียกชื่อนางกำนัลสาว “ซุนมี่มี่” ตงซือหันขวับไปทางซ้ายและขวาเพื่อมองหาเจ้าของร่างอ้วนกลมอันคุ้นเคย แต่จนแล้วจนรอดผู้ที่ยืนอยู่บริเวณนี้ก็มีเพียงท่านอ๋องน้อย เขา และสาวงามผู้นี้เท่านั้น “เพ...คะท่านอ๋องน้อย” คราวนี้ผู้ที่กำลังมองหาอดีตคนรักเบนหน้ากลับมายังผู้พูด ดวงตาเบิกกว้างเท่าไข่ห่าน ส่วนปากก็อ้ากว้างอย่างเสียมารยาทชนิดที่ว่าฝูงแมลงวันสามารถบินเข้าออกได้อย่างสะดวกสบาย มะ...มันคือเสียงของซุนมี่มี่! สาวงามนางนี้คือซุนมี่มี่เช่นนั้นหรือ! นี่มันเรื่องตลกร้ายอันใดกัน เป็นไปได้อย่างไร! ตงซือยืนอ้าปากอยู่เช่นนั้นคล้ายกับคนสติหลุด กลายเป็นภาพที่น่าขันเหลือจะกล่าว ฝ่ายซุนมี่มี่หาได้สนใจปฎิกิริยาของตงซือไม่ เนื่องจากมัวแต่เพ่งสมาธิไปยังชายหนุ่มร่างสูงโปร่งซึ่งโน้มกายลงมาป้องปากกระซิบเพื่อถ่ายทอดคำสั่งกับนาง นางกำนัลสาวพยักหน้ารับก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ มือเรียวบางข้างลำตัวกำแน่นเข้าหากัน หัวใจของนางบีบแน่นจนรู้สึกด้านชา ไม่ว่าอย่างไร... นางก็ต้องทำตามคำสั่งของท่านอ๋องน้อย ลมหายใจของโฉมสะคราญติดขัดทันทีเมื่อสบตากับชายหนุ่มซึ่งกำลังยืนอ้าปากค้าง นัยน์ตาจับจ้องนางอย่างเหลือเชื่อและมึนงง ทว่าน่าแปลกนัก... ความเศร้าโศกเสียใจที่นางครุ่นคิดในคราแรกกลับไม่รุนแรงถึงเพียงนั้น การร้องไห้เป็นเวลาหลายคืนติดต่อกันเปรียบเสมือนการเยียวยาอย่างหนึ่ง ยามนี้เมื่อถูกตอกย้ำด้วยความจริงที่ว่าเขาตัดอาลัยรักนางอย่างแล้งน้ำใจก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกรักอันแรงกล้าก่อนหน้านี้พลันเหือดแห้ง ราวกับน้ำค้างที่ระเหยยามถูกแสงอาทิตย์แผดเผา ซุนมี่มี่นัยน์ตาสงบนิ่งกว่าเดิม พยายามนึกแต่กลับไม่สามารถค้นคำตอบได้ว่ายามนั้นนางหลงรักบุรุษผู้นี้เพราะอะไร คล้ายกับว่าความรู้สึกหนักอึ้งที่เคยมีอยู่ถูกยกออกไปอย่างง่ายดาย ในเมื่อไม่มีวาสนาได้ครองคู่ นางก็ไม่อยากคำนึงความทรงจำแย่ๆ ที่เคยมีให้กันไปตลอดชีวิต ถือเสียว่าความรักที่ล้มเหลวเป็นดั่งแบบทดสอบบทหนึ่งที่สวรรค์ประทานมาให้เรียนรู้และจดจำ ครั้นโฉมสะคราญตัดสินใจได้ดังนั้นก็คลี่ยิ้มกว้างพร้อมกับสาวเท้าเข้าไปใกล้เขามากขึ้น “อาซือ ท่านอ๋องน้อยตรัสว่าวันนี้อยากทรงม้าฉายหง” ฉายหงเป็นอาชาตัวโปรดของท่านอ๋องน้อย นับเป็นยอดอาชาที่สง่างามหาจับตัวได้ยาก มิหนำซ้ำยังเป็นอาชาพระราชทานจากองค์จักรพรรดิ ดูท่าคำพูดของซุนมี่มี่หาได้ผ่านเข้าหูของตงซือไม่ หนุ่มเลี้ยงม้าหุบปากที่อ้าอยู่ก่อนจะสะดุ้งอย่างตกใจเมื่อนางกำนัลสาวก้าวเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม ทว่าเขาไม่เพียงไม่รับไมตรีจิต แต่ยังก้าวถอยไปด้านหลังอย่างลืมตัว ...หญิงสาวเบื้องหน้าเขายามนี้เปล่งประกายเจิดจรัสดั่งอัญมณีล้ำค่า สวรรค์! หากเขารู้ว่านางผอมแล้วจะงามถึงเพียงนี้ เขาก็คงไม่...! ตงซือส่ายหน้าระรัว นางเป็นคนของท่านอ๋องน้อย หรือว่าแท้จริงแล้วนางจะมาที่นี่เพื่อแก้แค้นเขา! “อาซือ...” นางกำนัลสาวเห็นอีกฝ่ายประเดี๋ยวก็หน้าซีด ประเดี๋ยวก็หน้าเขียวก็อดรู้สึกเป็นห่วงในฐานะคนรู้จักไม่ได้ “อาซือ เจ้าไม่สบายหรือ” “จะ...เจ้า! ” เขาชี้นิ้วอันสั่นเทาใส่นาง “เจ้าคงตกใจสินะที่ข้าเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้” ซุนมี่มี่หลุบตามองต่ำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงคำสั่งสอนของท่านอ๋องน้อยขึ้นมาได้ นางไม่ควรจะก้มหน้าให้ผู้ใด มิเช่นนั้นจะทำให้ท่านอ๋องน้อยต้องเสียเกียรติเอาได้! “นึกไม่ถึงว่าต่อให้ข้าเปลี่ยนไป เจ้าก็ยังแสดงท่าทีรังเกียจข้าไม่เปลี่ยน” หญิงสาวมีสีหน้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง “แต่ถึงเป็นเช่นนั้นก็ช่วยอดทนหน่อย ข้ากับเจ้าล้วนเป็นบ่าวไพร่ในวังพิชิตบูรพา ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะไม่นำเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้องในขณะที่กำลังรับใช้นาย” “มะ...ไม่ใช่” หนุ่มเลี้ยงม้ารีบร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ความปรารถนาดีในน้ำเสียงของนางที่มีให้เขายังเหมือนดั่งเช่นวันวานไม่ผิดเพี้ยน “มี่มี่ ที่ผ่านมานั้นข้า...” ตุบ! ชายหนุ่มร่างสันทัดเผลอสะดุดขาตนเองจนล้มตึงลงกับพื้น “อาซือ เป็นอะไรหรือไม่” โฉมสะคราญเข้ามายื่นมือส่งให้เขาหวังช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ตงซือไม่รอช้ารีบเอื้อมมือหมายจะสัมผัสอย่างไม่ลังเล ทว่าหนุ่มเลี้ยงม้าเผลอหลงลืมไปเสียสนิทว่ายามนี้ทั้งเขาและนางอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของท่านอ๋องน้อย เพียะ! ร่างกำยำที่ล้มอยู่บนพื้นตะลึงพรืดเมื่อจู่ๆ มือของตนเองถูกแส้อันไร้ที่มาฟาดใส่เข้าอย่างจัง! ความอุ่นขุมหนึ่งที่แนบสัมผัสใกล้กับแผ่นหลัง ส่งผลให้หญิงสาวชักมือกลับแล้วรีบหันไปมองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นแผงอกกว้างใต้อาภรณ์เนื้อดีก็รีบเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่หวานสบเข้ากับดวงตาคู่คมของผู้ที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อใดก็มิอาจทราบได้ หากซุนมี่มี่มึนงงได้มิทันไร ก็ต้องหน้าแดงดุจผลท้อเมื่อเพิ่งระลึกได้ว่านางกับอีกฝ่ายมีความใกล้ชิดอันเกินงามมากเพียงไร ท่านอ๋องน้อยขึ้นทำเนียบหนึ่งในห้าหนุ่มรูปงามแห่งเมืองหลวง ก่อนหน้านี้หญิงสาวยอมรับว่าเขาหล่อเหลาน่าเกรงขามอยู่แล้ว แต่เมื่อมาเทียบกับตงซือในระยะประชิด ก็ยิ่งตอกย้ำความแตกต่างและห่างชั้นกันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆ ที่กายของนางกับเขามิได้สัมผัสกัน แต่หญิงงามด้อยประสบการณ์กลับเขินอายถึงขั้นพูดไม่ออก ท่านอ๋องน้อยเบนพระเนตรออกจากใบหน้าผุดผ่องี่แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉม พระพักตร์เรียบเฉยไม่แปรเปลี่ยน ตรัสด้วยสุรเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ “ตงซือ ดูท่าเจ้าจะคลุกคลีอยู่แต่กับม้ามากเกินไปจนหลงลืมกฎ เลอะเลือนจนไม่รู้รึว่าผู้ใดควรยุ่ง ผู้ใดไม่ควรยุ่ง” ตงซือซึ่งกำลังจะรับไมตรีจิตของซุนมี่มี่เม้มริมฝีปากแน่นเพื่อระงับความเจ็บปวด บนมือกร้านที่มีโลหิตไหลซึมออกมา รีบคุกเข่าพร้อมกับโขกศีรษะลงบนพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยสมควรตาย” ท่านอ๋องน้อยประทับอยู่เบื้องหลังนางกำนัลสาว การกระทำของตงซือในยามนี้จึงมิต่างจากกำลังคุกเข่าขอขมาซุนมี่มี่ ความอัปยศอดสูในครานี้ช่างหนักหนาสาหัสจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี จริงดังที่ลี่ฮวากล่าว ซุนมี่มี่คือนางกำนัลคนโปรดของท่านอ๋องน้อย ไพร่ชั้นต่ำเช่นเขาไม่มีสิทธิ์แตะต้อง! เยว่หมิงจ้องมองหนุ่มเลี้ยงม้าอย่างเย็นชา กระชับแส้ในมือก่อนจะก้าวอ้อมร่างบอบบางมายืนอยู่เบื้องหน้าบุรุษร่างสันทัด ตงซือลอบกลืนน้ำลายขณะที่ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว อีกเพียงก้าวเดียวพระบาทของท่านอ๋องน้อยก็จะประทับลงบนมือที่บาดเจ็บของเขา “ไปให้พ้นหน้าข้าเสีย” สิ้นเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ของร่างสูงโปร่ง ตงซือก็รีบโขกศีรษะแล้วคลานหนีไปอย่างรีบร้อน ท่าทีตื่นตระหนกและหวาดกลัวส่งผลให้ซุนมี่มี่มองตามด้วยความสงสาร ตั้งแต่รู้จักกันมา นางมิเคยเห็นอีกฝ่ายกระทำตัวไร้ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายมาก่อน เขาเคยเป็นผู้ที่น่าเกรงขามในความทรงจำของนางมากแท้ๆ ทว่าต่อจากนี้เป็นต้นไป... เขาจะกลายเป็นสายลมที่พัดผ่านมาแล้วผ่านไปเท่านั้น ไร้รูปร่าง ไร้กลิ่น ไร้เสียง และไร้ซึ่งน้ำหนักในหัวใจของนางอีกต่อไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD