“ซุนมี่มี่” น้ำเสียงของชายหนุ่มยังคงราบเรียบเช่นเคย
“พะ...เพคะ” ซุนมี่มี่ขานรับเสียงสั่นเนื่องจากคาดเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายมิได้แม้แต่น้อย
“ข้ายังไม่ได้สั่งให้เจ้าไป” เขาเว้นจังหวะก่อนจะตวัดดวงตาคมดุจพญาเหยี่ยวมายังนาง “หรือเจ้ามีเหตุผลดีๆ ที่จะออกไปจากห้องนี้?”
“ทูลท่านอ๋องน้อย” นางละล่ำละลักตอบอย่างลนลาน“ข้าน้อยเกรงว่าหากอยู่ในห้องอาจจะทำให้ท่านอ๋องน้อยทรงเสียสมาธิ...”
“อยู่ต่อ” เยว่หมิงกล่าวเพียงคำเดียวก็ก้มหน้าตวัดพู่กันในมือต่อ สมาธิทุกอย่างจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าประหนึ่งว่าการรั้งนางไว้เป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้ว
ที่ผ่านมาซุนมี่มี่ประจำอยู่แต่หน้าตำหนักและคอยเข้ามาช่วยทำความสะอาดเวลาที่ท่านอ๋องน้อยทรงมิประทับในตำหนักมาโดยตลอด ดังนั้นการที่ทรงมีรับสั่งให้นางประจำการอยู่ในห้องอักษรกับอีกฝ่ายตามลำพังจึงสร้างความประหลาดใจให้ไม่น้อย
ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ บางทีผู้เป็นนายอาจมีเรื่องค้างคาใจเกี่ยวกับนางจึงได้รั้งตัวไว้ก็เป็นได้
นางกำนัลสาวหยุดยืนอยู่ใกล้ประตูหน้าห้อง คอยแล้วคอยเล่า ชะเง้อแล้วชะเง้อเล่า แต่จนแล้วจนรอดท่านผู้สูงศักดิ์ก็ยังมิมีคำพูดใดเอื้อนเอ่ยออกจากปากเสียที
แต่ถ้าหากจะให้เอ่ยปากถาม... นางก็ไม่กล้า
‘ฮือๆ... อยากออกไปจากที่นี่เหลือเกิน’
ซุนมี่มี่พยายามคิดหาตัวช่วย ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่มาถึงนางยังไม่พบลี่ฮวาเลย ไม่รู้ว่าป่านนี้จะรอนางอยู่ข้างนอกหรือไม่
“ท่าน...”
นางกำนัลสาวพูดมิทันจบประโยคก็ต้องรีบปิดปากเงียบเมื่อดวงตาคมกริบคู่นั้นตวัดมาทางตน
“อยากจะพูดอะไร”
คราวนี้หญิงสาวแทบกัดลิ้นตนเอง เมื่อมิอาจทนต่อแววตากดดันได้ก็จำต้องพูดออกไปในที่สุด “ท่านอ๋องน้อยทรงรั้งข้าน้อยไว้ มิทราบว่ามีสิ่งใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือเพคะ”
พอถามเสร็จก็ได้แต่ท่องสวดภาวนาอยู่ในใจ หวังว่าที่ผ่านมาบุญกุศลที่นางทำมาจะมากพอ ไม่ทำให้ท่านอ๋องน้อยทรงเรียกทหารมาจับนางลากเข้าคุกอีกเป็นคราที่สอง
ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะสาวเท้ามุ่งตรงมาหานางอย่างเชื่องช้า ซุนมี่มี่หัวใจหล่นวูบ ตกใจถอยร่นจนแผ่นหลังชิดเข้ากับผนัง นางเกร็งร่างเมื่อเผชิญกับร่างสูงโปร่งที่ยืนประชิดอยู่ด้านหน้า รับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองมาอย่างแน่วแน่คล้ายกำลังตั้งมั่นบางสิ่งอยู่ในใจ
“ไม่ได้...” เสียงทุ้มเข้มทรงอำนาจพึมพำอยู่เหนือศีรษะ “ต้องงดงามให้มากกว่านี้”
นางกำนัลสาวได้ฟังเช่นนั้นก็เผยสีหน้ามึนงง ท่านอ๋องน้อยทรงตรัสอันใด นางมิเห็นจะเข้าใจเลย
ความอบอุ่นที่ถอยห่างออกไปทำให้หญิงสาวลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้นางมีเวลาได้พักใจมากนัก
“พวกเจ้าที่อยู่ด้านนอกเข้ามาให้หมด!”
ซุนมี่มี่กะพริบตาปริบๆ เมื่อรู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้คุ้นตาอยู่ไม่น้อย แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมคือบัดนี้ผู้ที่วิ่งเข้ามามิใช่บุรุษร่างกำยำในชุดทหารกล้า หากเป็นนางกำนัลประมาณแปดคนซึ่งนางค่อนข้างคุ้นเคยเป็นอย่างดีเนื่องจากทำงานด้วยกันมานาน พวกนางต่างพากันยืนเรียงแถวหน้ากระดานพลางจ้องมองนางด้วยแววตาจริงจังดังที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แน่นอนว่าร่างบางกวาดสายตามองหาสหายคนสนิทอย่างลี่ฮวาเป็นอันดับแรก แล้วก็ต้องใจแป้วเมื่อพบว่าคนที่นึกถึงมิได้อยู่ในกลุ่มนางกำนัลเหล่านี้
“นำตัวซุนมี่มี่ไปแต่งตัวเสียใหม่ นางต้องติดตามข้าไปชมเมือง จะปล่อยให้ขายหน้าไม่ได้”
สิ้นคำตรัสของผู้เป็นนายสูงสุด ผู้ที่กำลังเซื่องซึมเนื่องจากไม่เห็นเงาร่างของลี่ฮวาก็สะดุ้งเฮือก ตามมาด้วยอาการเสียวสันหลังวาบอย่างรุนแรง
หมายความว่าอย่างไรเรื่องที่นางจะต้องติดตามท่านอ๋องน้อยไปเที่ยวชมเมือง... นางมิเห็นจะทราบเรื่องมาก่อน!
ไวเท่าความคิด โฉมสะคราญก็เตรียมจะเอ่ยปากโต้แย้ง แต่ก็ช้าไปเสียแล้วเมื่อนางกำนัลทั้งหลายต่างย่อกายคำนับกันอย่างขะมักขะเม้น
“เพคะ ท่านอ๋องน้อย”
รับคำสั่งเสร็จก็เดินมุ่งหน้าเข้ามารุมจับแขนของนางเอาไว้ทั้งสองข้าง หญิงงามตกใจอ้าปากค้าง ภายในเวลาเพียงสามวันนางก็ถูกคนของท่านอ๋องน้อยลากตัวออกไปตามใจถึงสองครั้งสองหน!
ก่อนหน้านี้ซุนมี่มี่ไม่เคยมีโอกาสได้ปรนนิบัติรับใช้พระชายาหรือสตรีสูงศักดิ์คนอื่นๆ แต่ก็พอได้ยินจากปากนางกำนัลคนอื่นมาบ้างถึงระยะเวลาอันยาวนานในการเตรียมตัว เดิมทีนางก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งได้มาพิสูจน์ด้วยตนเองในวันนี้
ตัดเล็บมือ ตัดเล็บเท้า พอกตัวอาบน้ำ ขัดผิว นวดน้ำมัน เกล้าผมเสียบปิ่น ประทินโฉม แต่งตัว ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ดูเป็นเรื่องที่ต้องเสียเวลาทำอยู่ครึ่งค่อนวัน กว่านางที่ถูกจับดึงไปทางโน้นทีทางนี้ทีจะได้หยุดพักก็ใกล้ล่วงเข้ายามเซินเข้าไปแล้ว
บัดนี้ถึงแม้ว่าซุนมี่มี่จะยังแต่งกายด้วยชุดนางกำนัลสีชมพูอ่อน ห้อยประดับป้ายไม้ดำคาดขีดขาวสองขีด ทว่าการขัดศรีฉวีวรรณและแต่งเติมกว่าครึ่งค่อนวันก็ทำให้นางดูเปล่งประกายเจิดจรัสไม่ธรรมดา
คิ้วดกดำโก่งเรียวถูกกันให้เป็นทรงเสริมให้โครงหน้ารูปไข่ยิ่งโดดเด่น ริมฝีปากอวบอิ่มรูปประจับถูกแต่งแต้มด้วยชาดสีแดงขับให้ผิวขาวผ่องซึ่งนวดน้ำมันมาจนนุ่มดูสว่างมากขึ้น เรือนผมดำขลับที่มักจะเกล้าเป็นมวยอย่างเรียบร้อยถูกเปลี่ยนกลายเป็นมวยเล็กสองข้างแล้วปล่อยชายที่เหลือถักเป็นเปียเล็กสองเส้น เมื่อประดับมวยเหล่านั้นด้วยปิ่นดอกไม้เล็กๆ ยิ่งทำให้ดูน่ารักสมกับสตรีวัยสิบเจ็ด
การแปลงโฉมครั้งนี้ทำเอาซุนมี่มี่ยืนอึ้งอยู่หน้าคันฉ่องอยู่นานสองนาน ไม่ว่าอย่างไรก็ทำใจเดินออกไปพบท่านอ๋องน้อยมิได้เสียที
“มี่เอ๋อร์ รออันใดอยู่เล่า” นางกำนัลคนแรกเดินมาทางด้านหลัง
“ข้า...ข้าคิดว่า...” ซุนมี่มี่กล่าวได้เพียงเท่านั้นก็เงียบไป
“คิดว่าอันใด” นางกำนัลอีกคนเดินมาเท้าสะเอวถาม
ในเมื่อถูกถามย้ำ หญิงสาวก็กลั้นใจตอบออกไปตรงๆ “ข้าคิดว่าข้าไม่ควรไปชมเมืองกับท่านอ๋องน้อย”
ทั้งสองหันมามองหน้ากันอย่างสงสัย “ไยเจ้าจึงคิดเช่นนั้น”
“ข้า...ไม่ชิน” ว่าแล้วคนพูดก็ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง “ข้าไม่ชินกับการอยู่ใกล้ชิดท่านอ๋องน้อย แล้วก็ไม่ชินกับการที่เห็นตนเองเป็นเช่นนี้”
“เจ้าจะคิดมากไปไย” คนหนึ่งคลี่ยิ้มให้กับนาง “เจ้าก็คือเจ้า อีกอย่าง... หากเจ้ามิได้ส่องคันฉ่องนี้ก็ไม่ต้องเห็นตนเองแล้ว”
“แต่ว่าข้า...” หญิงสาวถูกผู้คนตราหน้าว่าอัปลักษณ์มาชั่วชีวิตมิอาจปรับตัวได้ทันกับความเปลี่ยนแปลงอันฉับพลันเช่นนี้ได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นางจะเกิดความสับสนและไม่มั่นใจในตัวเอง
“หากเจ้าสามารถผ่านพ้นวันนี้ไปได้ เชื่อข้าเถิดว่าชีวิตของเจ้าจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น”
ซุนมี่มี่ตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้ เมื่อแต่งกายใหม่ตามพระประสงค์เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ควรจะกลับไปรายงานตัวตามความถูกต้อง
จริงสินะ ไม่แน่ว่าชีวิตของนางอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นก็เป็นได้
เมื่อเห็นว่าโฉมสะคราญเริ่มคล้อยตาม การเร่งเร้าจึงมีมาอีกระลอก
“ไปเถิดมี่เอ๋อร์” นางกำนัลทั้งหลายต่างรบเร้ากันอย่างกระตือรือร้น “ไปเร็วเข้า บ่าวที่ดีจะปล่อยให้เจ้านายรอได้อย่างไรกัน”
ผู้ฟังเม้มปากชั่งใจอยู่นานก่อนจะตัดสินใจได้ในที่สุด “อืม เช่นนั้นข้าไปล่ะ”
นางกล่าวจบก็หมุนกายเดินมุ่งหน้าออกไปจากเรือนนางกำนัล ก่อนจะประหลาดใจทันทีเมื่อพบว่าผู้ที่นางควรจะไปพบที่ตำหนักกลับยืนรอตรงหน้าเรือนอยู่ก่อนแล้ว...