ตอนที่ 4
เอาไปทิ้งทะเล
นี่เป็นกระเป๋าแบรนด์เนม ถึงเพลินตาจะไม่มีปัญญาซื้อมาถือ แต่เธอก็ยังรู้จักและดูออกว่าเป็นรุ่นไหนราคาเท่าไร นั่นเพราะอาชีพของเธอจำเป็นต้องมีสายตาแหลมคม ลูกค้าแต่ละคนพอเดินเข้ามาในโชว์รูม เธอต้องดูออกในทันทีว่าเสื้อผ้าและเครื่องประดับพวกเขามีราคาค่างวดแค่ไหน นั่นก็เพื่อเธอจะได้แนะนำรถแต่ละรุ่นให้เหมาะสมกับลูกค้า ถ้าเดาใจอีกฝ่ายถูก เธอก็มักจะปิดยอดได้ไม่ยาก
กระเป๋าใบนี้มูลค่าสามแสนห้า
ไม่รู้เป็นโชคดีหรือร้าย อย่างน้อยเจ้าของมันก็เป็นเพื่อนร่วมห้องที่เธอพอจะคุยได้
“ขอโทษจริงๆ ฟ้า ฉันผิดเอง ฉันไม่ทันมองทางให้ดี” เธอลอบมองกระเป๋าอีกฝ่ายค่อยพบว่าไม่ได้เสียหายอะไร ก่อนจะหมุนตัวคิดเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน!”
เพลินตาถูกดึงแขนจนต้องหมุนกลับไปเผชิญหน้า ก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายกล่าวหนักๆ ว่า
“อยู่ให้ห่างๆ จากแฟนฉันหน่อย อย่ามาทำเล่นหูเล่นตา คิดว่าฉันมองไม่เห็นเหรอ”
เล่นหูเล่นตา?
หญิงสาวงุนงงอีกครั้ง เธอไปเล่นหูเล่นตากับแฟนยัยนี่ตอนไหน
“ฟ้า เสร็จรึยัง?”
แต่ว่าขณะยังไม่ได้พูดตอบกลับอะไร เสียงผู้ชายอีกคนก็ดังมาจากทางเดินไม่ไกล เพลินตาค่อยพบว่าเป็นโอภาสซึ่งมาตามแฟนกลับเข้าห้องอาหารเอง
เมื่อมีบุคคลที่สาม หญิงสาวทั้งสองจึงไม่ได้พูดอะไรกันอีก เพลินตาเดินตามคู่รักเข้างานเลี้ยง ดื่มกินพูดคุยอีกราวชั่วโมงเศษ ทั้งหมดก็พากันแยกย้ายกลับไปคนละทาง
ค่ำคืนนั้น ในแชตกลุ่มมีแต่คนส่งข้อความสรรเสริญคนที่คุณก็รู้ว่าใคร
ใหญ่ยาวสามพันเมตร : ******อสุดยอด ใจถึงพึ่งได้ของแทร่ (สติ๊กเกอร์ชูนิ้วโป้ง)
ตามไปเช็ดเจ็ดหมื่นไมล์ : แค่แสนกว่าบาทขนหน้าแข้งเสี่ยไม่ร่วง (สติ๊กเกอร์หัวใจ)
ฤษีขี่ฟีโน่ : ซ้อฟ้าวันนี้น่ารักมาก ขอบคุณที่คอยซัพพอร์ตทุกคน (อีโมจิกราบงามๆ)
“…”
เพลินตากับเหมียวเหมียวนอนอยู่บนเตียงเดียวกันพออ่านข้อความในกลุ่มแชต ก็ตกลงกันว่า ถ้าไม่ส่งอะไรไปบ้างก็ออกจะกระไรอยู่ เพราะถึงยังไงพวกตนก็เพิ่งไปกินฟรีมาเหมือนกัน
ดังนั้นแจ้งเตือนข้อความในมือถือขอโอภาสจึงดังขึ้นอีกครั้ง
ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับชายหนุ่มกำลังเปิดดูแชตของตนเองพอดี
เด็กหญิงโกโก้ ชอบยืนโง่อยู่แถวปากซอย : ใจจ้า
“…” เพลินตาไม่รู้จะพิมพ์อะไรดี เลยส่งไปแค่ใจจ้า
ประยุทมุดเข้ารู : ******อของแทร่ ******อของแทร่
เหมียวเหมียวพิมพ์เสร็จก็ส่ง (อีโมจิลามกอมของลับ) ที่โหลดเถื่อนมาจากเว็บไซต์
“…”
อีกฟากหนึ่งของกรุงเทพ
ณ คอนโดหรูหกสิบหกชั้น
ภายในชั้นที่สามสิบสาม ห้องขนาดเกือบร้อยตารางเมตรกลับมีผู้อยู่อาศัยเพียงคนเดียว
ถึงจะไม่มีแม่บ้าน แต่ห้องของเอกภพกลับสะอาดแทบจะเรียกว่าหมดจรด ตลอดระยะเวลาที่เขาอาศัยอยู่ที่นี่มาเก้าปี ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะเรียกแม่บ้านประจำคอนโดเข้ามาปัดกวาดเช็ดถูห้องของตน
ในมือเอกภพถือโทรศัพท์แนบหู ปลายสายก็คือคุณหญิงดรุณ แม่ของเขาเอง
“ล้มเลิกความคิดโง่ๆ นี่เถอะครับ ผมแค่พูดเล่นไปงั้นเอง ถ้าส่งคนมาอีก ผมจะให้ลูกน้องอุ้มไปทิ้งทะเล”
พูดจบชายหนุ่มก็ตัดสายทิ้ง ก่อนวางมือถือไว้ที่ขอบอ่างล้างจาน
เมื่อครู่เขาเพิ่งโต้เถียงกับคนเป็นแม่ เพราะหลายวันมานี้อีกฝ่ายพยายามยัดผู้หญิงให้มาอยู่กับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ล่าสุดก็เมื่อเช้านี้
เพียงแต่ไม่ว่าแม่เขาจะส่งมากี่คน ชายหนุ่มก็สั่งลูกน้องจับหญิงสาวทั้งหมดยัดใส่ถุงดำ ก่อนจะมัดโยนเข้าไปในรถเอสยูวี เอาไปจัดการข่มขู่ให้พวกนางไม่กล้ากลับมาก่อกวนเขาอีกเลย
“…”
คุณหญิงดรุณถูกตัดสายทิ้งก็โมโหมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เพราะรู้ว่าผู้อยู่อาศัยทั้งหมดในชั้นสามสิบสามล้วนแต่เป็นคนของเขา ชายหนุ่มเอ่ยปากคำเดียว ต่อให้เธอส่งผู้หญิงไปอีกกี่สิบคนก็มีค่าเท่ากัน
เธอไม่รู้ว่าที่เขาข่มขู่มาเมื่อครู่จะกล้าทำจริงมั้ย แต่ด้วยนิสัยของลูกชายซึ่งเธอทราบดี ไม่แน่เขาอาจกล้าทำจริง
ทางด้านเอกภพ หลังวางสายเขาก็เตรียมตัวออกจากคอนโด ก่อนหน้านี้เขาสั่งลูกน้องคนสนิทให้เตรียมเครื่องบินส่วนตัวบินขึ้นเหนือข้ามไปฝั่งพม่า เนื่องจากเขามีงานผ่าตัดสำคัญเร่งด่วน จำเป็นต้องไปในทันใด
ชายหนุ่มหยิบเสื้อโค้ตสีดำ เครื่องมือผ่าตัดและเครื่องพยุงชีพสำคัญทั้งหมดถูกจัดไว้ในเครื่องบินของเขาตลอดเวลาอยู่แล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินตัวเปล่าเบาหวิวกดลิฟต์ลงมายังลานจอดรถชั้นใต้ดิน
สนามบินอยู่ไม่ไกล ขับรถจากคอนโดขึ้นทางด่วนไปเพียงสามสิบนาทีก็ถึง ชายหนุ่มนั่งอยู่ในรถจากัวร์สีดำแล่นฉิว โดยที่มีคนขับรถให้ไม่ต้องจับพวงมาลัยด้วยตนเอง
นี่เป็นรถหรูราคาหลักสิบล้าน
แต่ว่า นับจากซื้อมาเอกภพก็ไม่เคยขับเองเลยสักครั้ง ความจริงก็ไม่เพียงแต่รถคันนี้ รถหรูของเขาคันอื่นๆ ก็เช่นกัน นั่นเพราะเขาขับรถไม่เป็น
“…”
หากแต่เอกภพชอบสะสมรถ บางครั้งก็ขายเอากำไรเล็กๆ น้อยๆ เป็นงานอดิเรก เอาเงินที่ได้ไปให้ลูกน้องแบ่งกันใช้โดยไม่เข้ากระเป๋าตัวเองแม้แต่แดงเดียว
อาจจะเพราะแบบนี้ เมื่อลูกพี่ใจถึงลูกน้องก็ทำงานสู้ตายถวายชีวิต เจ้านายชี้ไม้แล้วบอกว่านั่นเป็นนก ก็ไม่มีใครกล้าบอกว่านั่นเป็นไม้ กระทั่งมาถึงสนามบิน เครื่องส่วนตัวของเอกภพไม่ต้องตรวจอะไร เจ้าหน้าที่ก็ปล่อยให้เครื่องขึ้นทันที
บนเครื่องมีเพียงนักบินสองและลูกน้องคนสนิทของเอกภพอีกห้า เป้าหมายของเที่ยวบินนี้คือชนกลุ่มน้อยที่อยู่เลยชายแดนไทยไม่ไกล หากแต่ก็ถือเป็นเขตของประเทศพม่า ดังนั้นพอเครื่องไต่ระดับความสูงคงที่แล้ว ลูกน้องของชายหนุ่มต่างก็หยิบจับกล่องหนังสีดำซึ่งจัดเตรียมไว้แต่แรก พอเปิดออก ด้านในพลันปรากฏอาวุธปืนสั้นและยาว พร้อมทั้งเสื้อเกาะกันกระสุนกับระเบิดมือ
นอกจากเอกภพและนักบิน คนอื่นๆ ล้วนเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบจัดเต็ม พริบตาเดียวนี่ก็ไม่เหมือนเครื่องบินพลเรือนส่วนตัวแล้ว แต่กลับดูเหมือนหน่วยจู่โจมเฉพาะกิจของกองกำลังทหารมากกว่า โดยเฉพาะท่วงท่าของพวกเขาราวกับได้รับการฝึกมาอย่างดี
***