ฆ่าเมียครั้งที่8.2

1608 Words
“นี่พี่โซลแฟนหวานไง...หวานจำพี่ได้ไหมคะ?” หน้าฉันเหมือนถูกของหนักฟาดเข้าใส่อย่างจัง จนเริ่มชายิบไปทั้งแทบและหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนจะลามไปทุกส่วนของร่างกาย ภายในห้องพักผู้ป่วยตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ที่จะดังอยู่คงมีแค่เสียงหัวเราะในลำคอของผู้ชายท่าทางใจดีที่ฉันเหมือนไม่รู้จักเท่านั้นยังคงอยู่ อีกสิ่งที่ดังรัวไม่ต่างจากจากเสียงหัวเราะเพราะความเอ็นดูหวานหวานก็คงเป็นเสียงหัวใจฉันที่เต้นไม่หยุดนี่แหละ ‘สบายใจเถอะ โซลมันมีหอมคนเดียว ไม่ต้องคิดเรื่องนอกใจหรอก’ สิ่งที่เพิ่งได้ยินด้วยหูเมื่อครู่กับเสียงของศิลป์ที่บอกฉันมันย้อนแย้งกัน ‘หอมก็รู้ว่ามันแสดงออกไม่เก่ง’ แย้งกันมากเกินไป เพราะรักมากหรือเปล่าไม่รู้ ฉันจึงไม่อยากโวยวายต่อหน้าหวานหวานที่มีสภาพเป็นแบบนี้ แต่เลือกที่จะหอบถุงขนมปังที่ซื่อติดมือมาหันหลังเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไปเงียบๆ เท้าสองข้างค่อยๆ เพิ่มความเร็วระยะการเดินขึ้นทุกที ก่อนหยุดลงบริเวณหน้าลิฟซ์ กริ้ง! ทันทีที่ประตูลิฟซ์เปิดออก สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือผู้ชายตัวสูงในชุดเดียวกับที่ออกจากบ้าน หากแต่เขาปิดบังหน้าตาตัวเองด้วยหมวกกันน็อกใบใหญ่แบบไม่กลัวถูก รปภ จับโยนออกนอกโรงพยาบาล “เสร็จแล้วเหรอ แล้วแม่อ่ะ?” ฉันเลือกที่จะคว้าตัวเขากลับเข้าไปในลิฟซ์แทนคำอธิบายทุกสิ่ง ตอนนี้ไม่อยากเสียเวลาไปกับอย่างอื่น แต่อยากออกไปจากที่นี่มากกว่า ฉันดึงคำรามเดินออกจากโรงพยาบาล กลับมายังจุดจอดรถมอเตอร์ไซค์พร้อมทั้งเอ่ยปาก “ไปจากที่นี่กัน” “ไปไหน แล้วที่บอกเยี่ยมไข้?” ทั้งที่ฉันรีบร้อนที่อยากจะออกแต่เขาก็ยังลีลาดึงดันที่จะถามหาแม่ “ช่างแม่มันเรื่องเยี่ยมไข้ แบบนี้เข้าใจชัดไหม?” ฉันมองเขา แม้จะเห็นเพียงแค่เงาของตัวเองเท่านั้นที่สะท้อนกลับมา หน้าตาดูไม่ได้ แย่มากถึงมากที่สุด ที่สำคัญดูโง่! “แล้วจะให้พาไปไหน?” ให้ตายสิ เวลาแบบนี้ทำไมเขาถึงได้โง่ขึ้นมาได้ล่ะ? “จะพาไปไหนก็เลือกสักที่เถอะ เวรเอ้ย! แค่ไปจากที่นี่ก็พอ!!” ฉันโวยวายเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราด และนี่ก็เป็นนิสัยหนึ่งที่แก้ไม่หายเวลาหงุดหงิดกับอะไรสักอย่าง เป็นนิสัยที่ไม่ว่าใครก็มักจะเบือนหน้าหนีจะเพราะทนต่ออารมณ์รุนแรงของฉันไม่ได้ แต่ทั้งหมดนั่นใช้ไม่ได้กับคนคนนี้ ปุ่บ! “ใส่นี่ซะ เดี๋ยวพาแว้น” คำรามเอื้อมหยิบหมวกกันน็อกครึ่งใบมาใส่หัวฉัน จากนี้ก็ชูนิ้วโป้งราวกับจะบอกให้เตรียมตัว จากนั้นจึงหันไปกวาดขาขึ้นนั่งประจำที่ของตัวเองแล้วจัดารสตาร์ทเครื่องยนต์เตรียมที่จะพาเราทั้งคู่ไปจากสถานที่น่าอึดใจแห่งนี้ บรืนนน ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที เขาก็พาฉันขับออกจากโรงพยาบาลตามที่ต้องการ พาบิดสู้รบกับความเร็วและลมแรงๆ ไปบนถนน ไม่รู้หรอกว่าเขาจะพาไปไหน เพราะมันไม่สำคัญ โทรศัพท์มือถือถูกหยิบออกจากกระเป๋ากางเกง ขณะที่ปลายนิ้วสั่นๆ เริ่มพิมพ์ข้อความทีละตัวอักษรอย่างรีบร้อน น้ำหอม :: เรามีเรื่องต้องคุยกันศิลป์ น้ำหอม :: ตอบแชทดิวะ น้ำหอม :: เรื่องสำคัญนะเว้ย! โดยปกติแล้วศิลป์ไม่ใช่คนตอบข้อความช้า ส่งไปไม่ถึงครึ่งนาทีเขาก็มักจะตอบกลับมาแล้วตามประสาคนติดโซเชียล แต่ครั้งนี้กลับแปลกไป ทั้งที่ตอนเช้ายังดีๆ แต่ว่าตอนนี้กลับเงียบหาย เป็นห่าอะไรกันไปหมดวะ! เวลาเพียงไม่นานรถที่ฉันนั่งซ้อนมาก็หยุดลงที่หน้าตึกแห่งหนึ่ง มองแล้วรู้ทันทีว่ามันคือร้านสัก แถมยังเป็นร้านที่ฮ็อตในหมูวัยรุ่นอยู่พอตัว พอจอดรถไปคำรามก็กวาดขาลงจากเบาะรถทันที เขาไม่พูดอะไรเหมือนอย่างที่ยื้อฉันไว้ที่จุดจอดรถของโรงพยาบาล จนต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเอง “พามาทำไมที่นี่?” เขาหยุดเท้าลง เหลียวหลังกลับมามอง มือพลางถอดหมวกกันน็อกที่สวมอยู่ออก และนั่นจึงทำให้เห็นรอยช้ำบริเวณขอบปากของเขาชัดขึ้น มันไม่ใช่รอยที่เกิดจากการตีกันเมื่อวาน แต่เหมือนเพิ่งเกิดได้ไม่นานมากกว่า “จะพาไปไหนก็เลือกสักที่ พูดเองไม่ใช่?” มันก็จริง ฉันพูดเอง “ที่นี่แหละ เงียบดีเหมาะแก่การคุย…” คำรามพูดขึ้นอีกครั้งก่อนเงียบไป พลางลดมือข้างหนึ่งไปยังกระเป๋ากางเกงตัวเองและหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งขึ้นมาโชว์ให้ฉันดูเป็นขวัญ “เรื่องไอ้นี่...” ซึ่งมันจะไม่น่าตกใจเลยสักนิดหากโทรศัพท์ที่อยู่ในมือเขาเวลานี้ ไม่ใช่โทรศัพท์ของศิลป์ ! “เร็ว คุยตรงนี้มันร้อน” คำรามกระตุกยิ้มที่แสดงออกได้หลาย ความหมายก่อนหันหลังเดินตรงยังประตูร้านซึ่งมีป้ายแขวนไว้ว่า CLOSE ส่วนฉันได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ และเริ่มเข้าใจว่าที่ศิลป์ไม่ยอมตอบข้อความกลับมา ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากตอบ แต่ตอบไม่ได้แล้วต่างหาก ถ้าคิดจะหนีตอนนี้มันดูไม่สมศักดิ์ศรีเท่าไหร่ ซึ่งฉันไม่ปอดพอที่จะหันหนีให้เรื่องที่ตัวเองก่อด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นฉันจึงรีบกระโดดลงจากเบาะหลังเดินตามปีศาจตรงหน้าเข้าไปภายในร้านสัก ภายในร้านสักของปีศาจอันเป็นที่กล่าวขานของคนในเมือง ดูไม่ต่างจากร้านของพี่โซลเท่าไหร่ มีหน้าร้านสำหรับโชว์ผลงานแบ่งไว้ว่าใครเป็นคนสรรสร้างศิลป์ระหว่างคำรามกับโต มีอุปกรณ์สำหรับสักวางเรียงรายอยู่บนชั้นวาง ที่ต่างกันก็คงเป็นแค่ขนาดภายในร้านที่ผิดกัน “อยากนั่งตรงไหนก็นั่ง” คำรามบอกแค่นั้นก่อนเดินหายไปยังห้องที่อยู่ติดกัน คงเพราะว่าส่วนตัวแล้วฉันเองก็เป็นพวกที่ชอบและหลงใหลศิลปะบนผิวหนังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้สายตาไม่สามารถละไปจากภาพลวดลายสวยๆ ที่ติดโชว์บนผนังได้เลย ไม่ใช่ว่ากลัวที่จะสักและเพราะพี่โซลเคยบอกไว้ว่า เขาชอบผู้หญิงที่ผิวละเอียดไร้ร่องรอยมากกว่า เพราะงั้นฉันจึงต้องหยยุดความชื่นชอบของตัวเองไว้แค่นั้นและทำหน้าที่ของคนออกแบบลวดศิลปะบนผิวหนังแทน อ่า...คิดแล้วมันก็เจ็บดี “อะไร ชอบเหรอ?” คำรามที่หายเข้าไปอีกห้องถามขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ส่วนฉันก็แค่พยักหน้า ขณะสายตายังเชยชมกับภาพถ่ายมากมายที่แปะไว้ ฟึ่บ! ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เขาเดินเข้าประชิดตัวจากทางด้านหลัง ทว่า เขาไม่ได้ทำอะไรฉันหรอกนะ แต่ว่าเอื้อมมือหยิบสมุดภาพบนหลังชั้นวางตรงหน้าต่างหาก “เอานี่...ดูภาพในอลบั้มนี้ดีกว่า เด็ดกว่าเยอะ” สมุดรวมภาพที่เขาพูดถึงถูกส่งมาให้ ซึ่งฉันก็รับมาแบบไม่ให้เสียมารยาท ก่อนที่สายตาจะเหลือบเห็นว่าเขาตอนนี้ไม่ได้สวมเสื้อยืดไว้อีกแล้ว เขาถอดมันออกโชว์ลวดลายสวยงานบนผิวหนังให้ฉันได้เห็น ทั้งที่เห็นบ่อยแต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าฉันมองเห็นลวดลายบนตัวเขาชัดมากกว่าครั้งไหน “มองไรวะ?” คำทักท้วง ทำฉันรีบเบือนสายตามองไปทางอื่นทันที และตอบกลับไปสั้นๆ “เปล่า” ถึงเขาจะไม่พูดถึงเรื่องโทรศัพท์ศิลป์เลยนับตั้งแต่เข้ามาในร้าน อย่างไรก็ดี ฉันก็ยังรู้สึกว่าเขาเตรียมที่จะพูดถึง ไม่ช้าก็เร็ว “อ่ะ เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า...” นั่นไง ขาดคำที่ไหน “วันนี้ที่โรงพยาบาล ฉันเจอคนคนหนึ่ง และคิดว่าเธอรู้จัก...” คำรามเหลือบมองฉันส่วนปากก็ว่าไป “เลยกะจะเข้าไปทักทาย แต่มันกลับหนี แถมยังทำไอ้นี่ร่วงไว้” ว่าแล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์ของศิลป์ออกจากกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง แต่ไม่ได้ส่งให้ฉันหรอกนะ “มันเปิดไม่ติด สงสัยหน้าจอจะแตก...” วินาทีที่ได้ฟังคำพูดประโยคดังกล่าว ฉันแทบจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่เดี๋ยวก่อน ตอนนี้ยังทำไม่ได้เพราะอีกฝ่ายไม่หยุดพูดสักที “คำถามก็คือ หน้าแม่งเหมือนไอ้เวรที่เคยมาส่งเธอหน้าหมู่บ้านเลยนะ” “แล้วไง?” “ก็ไม่แล้วไง แค่รู้สึกว่าหน้ามันคุ้น” เขาว่า “ผู้ชายรอบตัวฉันเยอะ นายจะคุ้นคงไม่แปลก…” “"ก็ดี!” เขาขัดและประกาศลั่นวาจา “งั้นถ้าไอ้เวรหน้าไหนที่รู้ตัวว่าเป็นเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้อยากได้ของคืนก็ให้มันมาเอาด้วยตัวเอง” “...” ผู้ชายคนนี้นี่มัน “บอกมันไปด้วยว่าที่ให้มาเอาด้วยตัวเอง เพราะมีเรื่องอยากถาม...” “...” “ว่าวันๆ มันคุยห่าไรกับเธอนักหนา”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD