“ทางนั้นเห็นรถแท็กซี่โผล่มาสักคันบ้างหรือเปล่า” ฉันถามอย่างร้อนใจพลางกวาดตามองหารถแท็กซี่สักคันอย่างมีความหวัง แต่ดูเหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้างเท่าไร
“ไม่มีเลย...นั่งรถเมล์ไปไหม?”
“ไม่ได้ ถ้านั่งรถเมล์ไปกว่าจะถึงงานก็เลิกกันพอดีน่ะสิ” ยิ่งพูดฉันก็ยิ่งเป็นทุกข์ใจจนอดก้มดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือไม่ได้ พอได้เห็นว่าขณะนี้คือเวลา 11 นาฬิกา 20 นาทีด้วยแล้ว ฉันยิ่งอยากจะกลั้นใจตายเพราะมันเหลือเวลาอีกแค่ 20 นาทีเท่านั้นก่อนที่งานแจกลายเซ็นจะเริ่ม
เมื่อโชคชะตาฟ้าไม่ยอมลิขิตรถแท็กซี่ให้ฉันสักคัน ที่พึ่งต่อมาดูเหมือนว่าต้องเป็นศาลพระพรหมหน้ามหาวิทยาลัยแล้วล่ะ คิดได้เช่นนั้น สองมือก็ยกพนมขึ้นแนบอก หน้าหันไปยังศาลพระพรหมใกล้ ๆ ก่อนหลับตาลงและเริ่มตั้งจิตอธิษฐานแบบไม่ต้องไตร่ตรองใด ๆ ทั้งสิ้น
ศาลพระพรหมเจ้าขา หนูเป็นเด็กดีมาตลอด หนูไม่เคยขออะไรเลยสักครั้งแม้แต่เรื่องการสอบ แต่วันนี้หนูอยากขอศาลพระพรหมนะเจ้าคะ หนูอยากได้รถแท็กซี่สักคันที่จะทำให้หนูไม่นกกับการได้พบอปป้าแดนกิมจิตัวเป็น ๆ หากศาลพระพรหมศักดิ์สิทธิ์โปรดช่วยสำแดงเดชานุภาพบันดาลให้หนูได้รถสักคันในเร็ว ๆ นี้ด้วยเถิดดด สาธุ~
บรื้นนน
สิ้นเสียงสาธุในใจจังหวะเดียวกันนั้นเสียงเร่งเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ก็ดังแว่วเข้ามาให้ได้ยินแทบจะทันที ราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลพระพรหมกำลังแสดงผลตอบรับคำขอของฉัน
บรื้นนน บรื้นนนน
เสียงเร่งเครื่องยนต์ดังกล่าวค่อย ๆ ดังแว่วใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ก่อนเสียงดังกล่าวจะดังชัดเจนมากขึ้นราวกับกำลังจอดรอคอยอยู่ตรงหน้า ทว่า พอลืมตาขึ้นสิ่งที่ต้องเจอดันไม่ใช่รถแท็กซี่อย่างที่คิด หากแต่เป็นรถแต่งคันหรูดูมีราคาสีแดงแรงฤทธิ์แสนคุ้นตา ที่ตลกก็คือรถคันดังกล่าวดูคล้ายกับรถแข่งคันเดียวกับที่เคยเกือบพาฉันไปตายกลางถนนเมื่อคืนนี้น่ะสิ!
ลำพังแค่ได้เห็นรถที่มีสภาพคุ้นตามันก็สร้างความสะพรึงและความช็อกได้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“แหม ๆ พรหมลิขิตอีกแล้ว~” และมันยิ่งจี๊ดในหัวให้ร้อนเข้าไปใหญ่ เมื่อผู้เป็นเจ้าของเลื่อนกระจกรถลงแล้วเอ่ยคำทักทายด้วยสำเนียงยียวน “ยืนรอรถเหรอ?”
นี่น่ะ จะเรียกว่าหนีให้ตายก็หนีไม่รอดได้หรือเปล่านะ!?
“ไม่ใช่เรื่องของนาย” ฉันเบ้ปากพร้อมทั้งรีบเบนสายตาไปทางอื่นอย่างนึกรำคาญใจ ให้ตายสิ! ถ้าเปลี่ยนจากเขามาเป็นวอร์อปป้าฉันจะไม่ว่าเลยสักคำนะรู้ไหม
“แล้วนี่จะไปไหนอะ เดี๋ยวไปส่ง...” ทั้งที่ทำเป็นเมินไม่สนใจแต่เทวินทร์ก็ยังกล้าเอ่ยปากชวนได้อย่างหน้ามึน มิหนำซ้ำยังกล้าตั้งข้อเสนอราวกับตัวเองคือผู้เหนือกว่า
“แต่มีข้อแม้ว่าคนนั่งเบาะหน้าต้องเป็นแฟนเรานะ สนใจเปล่าา~”
“ไม่ไปจ้ะ!” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรือเรื่องมากเพราะเวลาตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำแบบนั้น แต่นึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนดูสิ ใครมันจะกล้าเอาชีวิตไปท้าทายความตายบนถนนแบบนั้นอีก!
ทั้งที่คิดแบบนั้น ทว่า...
กึก! ตึง!
ฉันกลับต้องทำตาโตทันทีที่เสียงปิดประตูรถดังขึ้น หลังพบว่าเพื่อนสาวผู้ซึ่งเฉื่อยในทุก ๆ สถานการณ์ ยินยอมน้อมรับคำเชิญชวนแปลก ๆ ของผู้ชายตรงหน้า ขึ้นไปนั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนรถเป็นที่เรียบร้อย การที่เป็นแบบนั้น มันเลยทำให้ผู้ชายซึ่งเป็นเจ้าของรถหัวเราะดังหึในลำคอ บนใบหน้าหล่อทะเล้นปรากฏรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแสดงความชอบใจให้เห็น ซ้ำร้ายยังเอ่ยปากถาม
“คิดจะเป็นตัวถ่วงเพื่อนไปถึงเมื่อไหร่?”
“...” ถามอย่างเดียวไม่พอมิหนำซ้ำยังเร่ง
“เร็วดิ! ขึ้นรถ!”
เคยรู้สึกเซ็งและเหนื่อยหน่ายชีวิตเวลาถูกดึงกลับมาอยู่ในจุดที่ไม่อยากมาบ้างไหม?
ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำอย่างไรให้อาการเซ็งเหล่านั้นหายไปคะ? เพราะตอนนี้ฉันพยายามทำให้ตัวเองหายจากอาการดังกล่าวอยู่ แต่ดูเหมือนจะไม่รอดเพราะเสียงของใครคนหนึ่ง
“เฮ้ย! เป็นไรอะ ทำไมต้องทำหน้าบู่แบบนั้นด้วย แอร์ไม่เย็นเหรอ?”
รำคาญ...
จุดเริ่มต้นของความเซ็งและอาการเหนื่อยหน่ายเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่กระถินตัดสินใจเปิดประตูรถด้านหลังขึ้นไปนั่งบนรถแข่งมหาประลัยที่เคยเกือบพาฉันไปตายมาแล้วหนหนึ่ง นั่นเลยเป็นผลพลอยซวย ทำให้ฉันต้องพาตัวเองกลับเข้ามานั่งบนเบาะหน้า เบาะเดิมที่เคยทำฉันแทบลืมหายใจ อีกทั้งเวลาที่เหลือน้อยลงทุกวินาที มันก็ไม่มากพอให้ฉันตัดสินใจได้มากกว่านี้ สุดท้ายก็ต้องจำยอมขึ้นมานั่งฟังเสียงน่ารำคาญของคนขับ
“เงียบแล้วขับไปเถอะ” ฉันข่มเสียงตัวเองให้ดูนิ่งและเย็นชาที่สุดเพื่อหวังปรามให้เขาสงบปากสงบคำลง แต่ก็ลืมไปว่าผู้ชายคนนี้เคยพูดเอาไว้ว่า
“นี่รถฉัน ฉันจะทำอะไรก็ได้ ปล่อยมือขับยังได้เลย...”
“ห้ามปล่อยมือนะ!” เพราะรู้และคุ้นเคยกับประโยคดังกล่าวปากจึงไวสั่งห้ามเขาออกไป พร้อมทั้งตวัดตามองขู่ไปด้วย ซึ่งสิ่งที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มคล้ายกับชอบใจอะไรนักหนา
ฉันเพิ่งจะสังเกตว่าเวลาที่เขายิ้มแบบนี้ ตาของเขาจะหยีลงจนปิดสนิท
“เลิกยิ้มได้ไหม เดี๋ยวก็มองไม่เห็นทางหรอก” ให้ตายสิ! ฉันละเกลียดความปากไวของตัวเองจริง!
“อยากลองให้ฉันหลับตาขับรถดูไหม?” เพราะไม่ว่าจะพูดอะไร ก็ดูคล้ายจะเป็นการท้าทายเขาไปหมด
“มะ ไม่ต้อง!”
“นี่รถฉัน ฉันจะขับยังไงก็ได้”
“แต่นายจะหลับตาขับรถไม่ได้!” และสุดท้ายฉันก็ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับคำว่า ‘นี่รถฉัน’ ในที่สุด เพราะรู้ว่าเถียงต่อไปก็มีแต่แพ้ ฉันจึงตัดสินใจเบี่ยงสายตาออกไปนอกกระจก ก่อนต้องสะดุ้งเมื่อพบเข้ากับเงาของเพื่อนสนิทบนเบาะหลังกำลังจ้องเขม่นมองมาคล้ายกับกำลังสงสัยอะไร
อย่างที่บอกกระถินเป็นคนไม่ค่อยพูด ความจำแย่เหมือนปลาทอง แต่เชื่อเถอะว่าสายตาของเธอแบบนั้น พอลงจากรถเมื่อไหร่ ฉันต้องถูกรัวคำถามใส่ไม่หยุดแน่ ๆ
“นี่ติ่ง อย่าเงียบดิ” อีกหนที่เทวินทร์ยังคงส่งเสียงกวนใจแม้ว่าฉันจะเป็นฝ่ายยอมยกธงขาวแล้วก็ตาม
“อะไรอีกเล่า…” แต่อย่างไรก็ดีปากฉันก็ยังถามเขากลับไป โดยพยายามข่มอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองเอาไว้
“จะเงียบทำไม ไม่พูดอะไรสักหน่อยเหรอ?”
“ต้องพูดอะไร”
“ที่ขึ้นรถมาเนี่ย จะให้ไปส่งที่ไหน?”
เออว่ะ... ลืมบอกเส้นทางเลย
“อะไร นี่หรือว่ากำลังคิดว่าที่ฉันชวนคุยเพราะจีบเธออยู่?”
“ไม่ได้คิด!” ฉันแย้งพร้อมทั้งรีบหันไปขึงตาขุ่นใส่ผู้ชายบนเบาะคนขับขณะที่เขากำลังหัวเราะ ซ้ำร้ายยังกล่าวขึ้นเองเหมือนไม่ได้ฟัง
“อย่าคิดอะไรแบบนั้น...” จากนั้นก็เริ่มพูดเองเออเองคนเดียว “ก็บอกไปแล้วไงว่าเบาะหน้าสำหรับแฟนนั่ง ไม่ต้องซีเรียสเนอะติ่ง”
ฉันกลอกตามองบนอย่างคนหมดคำพูด ทำได้แค่นั่งตาขวางมองตรงไปยังเส้นทางถนนตรงหน้า ส่วนปากก็พูด
“ตรงไปอีกสองแยก ฉันจะลงที่นั่น”
“OCC ฮอลล์?” เขาย้อน “อย่าบอกนะว่าจะไปดูไอ้พวกกิมจิพวกนั้น?”
ไอ้พวกกิมจิงั้นเหรอ?
“กล้าพูดเนอะ หน้าตานายดีมากเลยว่างั้น ถึงกล้าเรียกอปป้าว่าพวกกิมจิ”
“เธอคิดว่าไงอะ?” พอถูกว่าก็ใช่ว่าเทวินทร์จะสะทกสะท้านที่ไหน แถมยังเบี่ยงตัวเข้ามาหาทั้งที่มือยังประคองพวงมาลัยบังคับรถทั้งคันไปบนท้องถนน จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจในตัวเอง “หล่อ ๆ อย่างฉัน เธอคิดว่าเหมือนอะไรล่ะ ระหว่างกระต่าย? ลูกไก่? ลูกหมา? หรือลูกแมว?”
ฉันเคยคิดว่าตัวเองเป็นพวกมีความอดทนสูง ที่สามารถชอบ รัก และอยู่กับสิ่งเดิมอย่างเช่นการเฝ้ารออปป้ามาเยือนในประเทศได้เป็นปีครึ่งปี แต่นับจากได้รู้จักกับผู้ชายที่ชื่อเทวินทร์ ฉันก็เริ่มค้นพบว่า จริง ๆ แล้วฉันไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงนัก อาจเรียกว่าต่ำเข้าขั้นเลยก็ว่าได้
เพราะรู้ตัวอีกทีปากก็กำลังพูดคำตอบให้เขาไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไม่แพ้กัน
“ผ้าขี้ริ้ว!”