“ดะ เดี๋ยวววววววววววว!!”
บรื้นนนน
ชายแปลกหน้าที่ดูจะหมกมุ่นกับการแข่งรถมากกว่าอะไรในโลกนี้ กระแทกฝ่าเท้าใส่คันเร่งอย่างเต็มแรง ทำเอาความเร็วของรถที่ดูเหมือนจะช้าลงกว่าตอนแรกเริ่มพุ่งขึ้นสูงอีกครั้งจนแรงดันภายในตัวรถกดลำตัวฉันให้แผ่นหลังเบียดลงกับเบาะไปเองแบบไม่สามารถบังคับได้
ฉันพยายามขยับตัวต่อสู้กับแรงดันภายในตัวรถกลอกตามองออกไปที่กระจกประตูเพื่อดูลาดเลาก่อนพบว่า แสงไฟที่มักมองเห็นเป็นจุดเป็นดวงในเวลานี้กำลังลากยาวเป็นเส้นตรงราวกับไม่มีวันสิ้นสุด บอกถึงความเร็วของเครื่องยนต์ที่พาฉันทะยานไปบนท้องถนนได้ไม่ยาก
“น่ะ นี่นายขับรถเร็วเกินไปแล้วนะ” ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองบอกให้เขารู้ตัว แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบซึ่งถูกแทรกกลางไว้ด้วยเสียงของเครื่องยนต์แรง ๆ ขณะวิ่งอยู่บนท้องถนนไม่หยุด
เสียงของเครื่องยนต์รวมถึงแรงกดดันจากความแรงของตัวรถที่เพิ่มมากขึ้นทุกที ทำให้ฉันไม่กล้าขยับตัวได้มากกว่านี้ และภาวนาว่ามันคงจะลดลงหากว่าเขาพอใจที่จะหยุดเหยียบคันเร่ง ทว่า
บรื้น บรื้นนน
สิ้นคำภาวนาในหัว เสียงเบิ้ลเครื่องยนต์ของรถคันข้าง ๆ กลับดังแทรกขึ้นจนรู้สึกได้ว่าคนขับจงใจ เขาทำอยู่อย่างนั้นทั้งที่รถวิ่งคู่กันมาด้วยความเร็วในระดับพอ ๆ กัน ซึ่งถ้ามองไม่ผิดดูเหมือนว่ารถคันดังกล่าวก็ถูกตกแต่งจนดูไม่ต่างจากรถที่ฉันกำลังนั่งอยู่เลยสักนิด
ลวดลาย และเครื่องยนต์ ไม่บอกก็รู้ว่าถูกโมดิฟายมาเพื่อลงสู่สนาม
บรื้นนนน
สิ้นเสียงเบิ้ลเครื่องเหมือนการเจรจากันผ่านเครื่องยนต์ รถคันดังกล่าวเหยียบเร่งแซงปาดหน้าขึ้นไป เสียงสบถแบบไม่ชอบใจเคล้าความกังวลก็ดังขึ้น
“DAMN!” เสียงดังกล่าวทำฉันหันขวับไปมองหน้าคนขับทันทีด้วยความตกใจ ซึ่งเขาเองก็เหมือนจะรู้ตัวจึงได้ตวัดหางตามามองฉันวูบหนึ่งก่อนละไป แล้วออกคำสั่ง “นั่งดี ๆ”
“อะไร...นายจะทำอะไร อ๊ะ!!”
บรื้นนน
อีกหนที่ความเร็วของรถกระชากฉันจนแผ่นหลังเบียดกระแทกลงกับเบาะอย่างแรง คราวนี้แรงกดดันในตัวรถดูเพิ่มมากยิ่งกว่าตอนแรกนัก ฉันพยายามขยับตัว แต่ดูมันยากเหลือเกิน เหมือนกับว่าร่างกายมีใครมาจับขึงติดไว้กับเบาะแบบนั้น
ทั้งที่ฉันกำลังตกอยู่ในช่วงวิกฤติ ขยับตัวลำบาก แต่เจ้าของรถกลับเอ่ยปากชวนคุยขึ้นประหนึ่งว่ากำลังนั่งคุยกันชิล ๆ ริมทะเล
“รู้ไหมว่าถนนหลวง เขาจำกัดความเร็วเท่าไร?”
ฉันส่ายหน้าตอบอย่างอึกอัก อย่างที่บอกแรงกดดันภายในรถมันทำให้ฉันขยับตัวไม่ถนัด!
“90 km/h ถ้าขับเร็วกว่านั้นจะถูกตำรวจจับ” พอได้คำตอบสายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบมองไปยังหน้าปัดบอกความเร็วอีกครั้ง ก่อนต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเข็มดิจิทัลบอกความเร็วด้วยจำนวนตัวเลข 220km/h
และเปลี่ยนจำนวนไปเรื่อย ๆ เมื่อคนขับยังไม่หยุดกดเร่งคันเร่ง
240 km/h
260 km/h
“ชะ ช้าลงหน่อย...” ฉันบอกเขาเสียงสั่น ส่วนหัวใจน่ะเหรอเหมือนหยุดเต้นไปนานแล้วล่ะ
“ช้าไม่ได้” คำตอบที่ได้กลับมา ทำฉันกลืนน้ำลายอย่างไม่มีสาเหตุ โดยเฉพาะเมื่อคนตัวใหญ่พ่นประโยคถัดมา “พ่อตามมาข้างหลัง…”
บรื้นน บรื้นนน
280 km/h
พูดจบเข็มหน้าปัดบอกความเร็วดูจะค่อย ๆเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง และนั่นมาพร้อมกับแสงไฟสีแดงสลับตัดไปมาจากทางด้านหลัง ก่อนตามมาด้วยเสียงไซเรนของรถตำรวจชวนกระตุกใจมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า
อะไร ยังไม่ทันได้ครอบครองอปป้าได้สมใจ นี่ฉันจะถูกจับเพราะไอ้หมอนี่ขับรถซิ่งงั้นเหรอ!?
“ระ เราจะถูกจับไหม!?” ความกลัวถูกจับซึ่งมีมากกว่าสิ่งไหน ทำฉันลืมตัวพลั้งปากถามเขาออกไปแบบไม่ทันคิด
“ยาก” แต่ดูเหมือนว่าคำตอบที่ได้กลับมาจะทำให้ใจชื้นนิดหน่อย หากแต่ไม่ใช่กับการกระทำของเขาซึ่งดูขัดจากสิ่งที่ฉันได้ เมื่อจู่ ๆ ชายแปลกหน้ายอมผ่อนความเร็วของรถลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ จนเข็มบอกความเร็วฮวบอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย
รถทั้งคันชะลอช้าลงเรื่อย ๆ จนเสียงของไซเรนดังไล่หลังมาเกือบประชิด พร้อมด้วยเสียงก้องของการประกาศเรียกตัว
‘รถสีแดงไม่มีป้ายทะเบียนคันนั้น นี่คือคำสั่งของตำรวจ ผมขอสั่งให้คุณหยุดรถลงซะ!’ หากแต่คำสั่งดังกล่าวทำให้เขากระตุกยิ้มคล้ายกับชอบใจ ก่อนเอ่ยปากบอกฉันเสียงเรียบ
“เกาะดี ๆ”
“หมายความว่าไง ว้ายยย...”
กึก! เอี๊ยดดดดด!
เสียงหักพวงมาลัยดังขึ้นอย่างแรงทำเอาเสียงเบรกดังสนั่นไปทั่วนอกตัวรถ เมื่อจู่ ๆ ผู้ชายที่ดูจะชื่นชอบการแข่งรถยิ่งกว่าอะไร ตัดสินใจหักเลี้ยวพวงมาลัยกระชากตัวรถหมุนกลางถนนอย่างกะทัน หันจนฉันที่ไม่ทันตั้งตัวกระเด็นกระดอนกระแทกเข้ากับประตูและคอนโซลหน้ารถอย่างแรง
ตึงง!!
แม้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว ทว่า มันก็สร้างความหวาดหวั่นให้แก่ผู้ซึ่งไม่เคยชินกับเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างฉันได้โดยไม่ยาก
โชคดีที่รถทั้งคันหยุดแล้วหยุดเลย ไม่ได้เคลื่อนไหว นั่นเลยทำให้ฉันค่อย ๆ เงยหัวขึ้นจากบริเวณคอนโซลหน้ารถขึ้นอย่างช้า ๆ พลางใช้มือลูบหน้าผากตัวเองไปมาเพื่อลดความเจ็บ
แต่แล้ววินาทีที่สายตาสามารถมองออกไปยังกระจกหน้ารถอีกครั้ง ฉันกลับต้องเบิกตากว้างแทนการหันไปต่อว่าคนข้าง ๆ ราวกับว่าความรู้สึกแบบนี้มันจะไม่มีวันสิ้นสุดลง เมื่อรถทั้งคันกำลังจอดอยู่บนถนนในลักษณะหันหน้าสวนเลนกับรถหลายคันที่ขับสวนขึ้นไป
จิตใต้สำนึกฉันกรีดร้องหนักมากเมื่อภาพตรงหน้าคือรถของตำรวจที่ขับใกล้เข้ามาทุกขณะ
บรื้นนน
“ฉันจะขับสวนขึ้นไป นั่งดีๆ”
“มะ ไม่จริง นายไม่ทำหรอก...”
“ทำแน่นอน...” เขาไม่ใช่แค่บอกแต่ยังเบิ้ลเครื่องยนต์เตรียมพร้อมตลอดเวลาราวกับจะเตือนฉันว่าเขาจะทำสิ่งที่พูดแน่นอน ยิ่งได้เห็นเขาเบิ้ลเครื่องเพื่ออุ่นเครื่อง หัวใจก็เหมือนกับจะหยุดเต้นขึ้นมาจริง ๆ
บรื้นน บรื้นนน
“น่ะ นายอย่าคิดอะไรบ้า ๆ นะ!” ฉันตะคอกเขาปากคอสั่น อย่างน้อยก็หวังว่าเสียงหรือคำพูดจะทำให้เขาตัดสินใจหาทางหนีใหม่ ๆ ได้
แต่ก็เหมือนเดิม เมื่อคนอย่างเขาคนนี้ไม่เคยฟังอะไรมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
บรื้นนน
“อย่างน้อยฉันก็มีเธอตายอยู่ข้าง ๆ จริงไหม?”
“มะ ไม่นะ นายต้องมะ...” เสียงคำรามของเครื่องยนต์ดังขึ้นเป็นหนสุดท้าย ก่อนที่รถทั้งคันจะถูกกระชากด้วยความเร็วอย่างสุดแรง ราวกับจะท้าทายตำรวจเบื้องหน้า ซึ่งนั่นมาพร้อมกับเสียงคำรามอีกเสียงทันทีที่รถพุ่งทะยานไปด้านหน้าสวนกับรถที่ขับมาอย่างรวดเร็วราวกับกำลังร้องขอชีวิต
“กรี๊ดดดดด! ฉันยังไม่อยากตายย!”
บรื้นน
เอี๊ยดดดด!
บรื้นน บรื้นนนน
หูฉันตอนนี้ได้ยินเพียงแค่เสียงเร่งเครื่องยนต์ดังก้องอยู่ในหูตลอดเวลา สลับกับเสียงเบรกของรถที่ขับสวนมา ไหนจะเสียงแตรกับเสียงไซเรนของรถตำรวจที่ขับสวนเลนตามรถแข่งที่ฉันนั่งมาจากทางด้านหลัง
ยิ่งมองหน้าปัดบอกความเร็วของรถขณะเคลื่อนไปบนถนนด้วยแล้ว ฉันยิ่งอยากจะกลั้นใจตายมันไปซะตอนนี้
310 km/h
ฉันไม่รู้ว่าความเร็วของรถคันที่นั่งอยู่มันควรจะอธิบายออกมาให้เข้าใจในรูปแบบไหน รู้แค่ว่ามันไวพอ ๆ กับรถไฟเหาะตีลังกา และเผลอ ๆ จะเร็วกว่าด้วยซ้ำ
ตลอดเส้นทางการขับหลบหนีการจับกุมบนท้องถนน ฉันพยายามใช้มือและแขนเกาะเข้ากับเบาะเพื่อหาหลักยึดอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้แรงดันภายในรถจะกดร่างกายฉันจมลงไปกับเบาะ ถึงอย่างนั้นก็ยังโคลงเคลงเพราะแรงกระชากการหักหลบของรถที่พุ่งสวนเข้ามาด้วยความเร็วอยู่ดี
“ฮืออ หยุดรถ หยุดรถเดี๋ยวนี้!!” ไม่ใช่แค่การหาที่ยึดเกาะ แต่ปากก็เอาแต่ตะคอกสั่งในสภาวะม่านตาเบิกกว้าง เมื่อบ่อยครั้งที่รถซึ่งกำลังนั่งอยู่นั้นหักเลี้ยวหลบเฉียดรถคันอื่นไปมาอย่างหวุดหวิด
“บอกให้หุบปาก!”
“จอดรถเดี๋ยวนี้!! กรี๊ดดดดดด” และฉันก็แหกปากอย่างสุดเสียงอย่างนึกหวาดเสียวในทุกครั้งที่เขาหักพวงมาลัยหลบรถคันอื่นกะทันหัน
“เสียงเธอมันทำให้ฉันไม่มีสมาธิ!” ไม่รู้หรอกว่าตลอดทาง เราตะคอกเสียงใส่กันว่าอะไรบ้าง รู้แค่ว่าคอฉันเริ่มจะเจ็บ และเอาแต่หวีดร้องสั่งให้เขาหยุด
“กรี๊ดดดดดด จะชนแล้วววววว!”
“บอกให้หุบปากกกกก!”
เอี๊ยดดดด!
แม้ว่าเขาจะหักเลี้ยวหลบรถคันอื่นได้อย่างหวุดหวิดทุกครั้งก็ตาม ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังกลัวอยู่ดี
บรื้นนนนน...
พูดก็พูดเถอะ ไม่อยากจะชมแต่ก็ต้องชม แต่ชายแปลกหน้าคนนี้นับว่ามีฝีมือในการขับรถด้วยความเร็วมากจริง ๆ ทั้งที่ความเร็วที่ใช้ก็ดูจะไม่ใช่น้อย ๆ แต่เขาก็ยังสามารถประคองรถทั้งคันซิ่งสวนรถคันอื่น ๆ ไปบนถนนได้อย่างชำนาญ แต่ไม่นานความชื่นชมเรื่องฝีมือการขับรถที่มีให้เขาก็ต้องเป็นอันยุติลง
อย่างที่ใครบอก งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา การเหยียบเร่งความเร็วจนเกินพิกัดไปบนถนนหลักก็เช่นกัน
หลังจากซิ่งไปบนท้องถนนเสี่ยงท้าความตายกันมาครู่ใหญ่เคล้าเสียงแหกปากร้องขอชีวิตและปรามเขาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่รอคอยเราทั้งคู่อยู่เบื้องหน้าคือรถ 16 ล้อที่กำลังเลี้ยวกลับลำรถข้ามมายังอีกฝั่งของถนน
“เบรกกก!!!”
“บอกให้เงียบไง!!!”
“จะชนแล้ว จะชนแล้ว เบรกกกก!!!”
“โธ่เว้ยย!! หุบปาก ฉันไม่มีสมาธิขับรถ!” ความเร็วของรถที่เกินพิกัดบวกกับแรงส่งของรถ 16 ล้อที่พุ่งข้ามมาอีกฟากของถนน ทำฉันเบิกตากว้างยิ่งกว่าครั้งไหน โดยเฉพาะเมื่อรถที่นั่งมาพุ่งตรงดิ่งเข้าใส่รถตรงหน้าอย่างสุดกำลังเครื่องยนต์
“เบรกกกก!!!”
“เออรู้! ไม่ใช่แม่อย่าสั่ง!!!”
“ฉันบอกให้เบรกกกกกกกกกกก!!!”
เอี๊ยดดดดดดดดดด!!
ฟึ่บ! ตุ้บ!
แรงกระชากอย่างหนักหน่วงทำให้มือที่ฉันกอดรั้งกับเบาะหลุดออกจากกัน เอนกายกระแทกกับ บริเวณช่วงแขนของชายแปลกหน้าอย่างแรง ท่ามกลางเสียงเบรกที่ดังสนั่นพร้อมด้วยกลิ่นไหม้เหมือนอย่างตอนที่เราทั้งคู่ออกจากพื้นที่ของห้างสรรพสินค้า ทว่าครั้งนี้มันต่างออกไป ฉันรู้สึกได้ว่ารถทั้งคันกำลังหมุนติ้วเป็นวงกลม
หูได้ยินแต่เสียงบีบแตรและเสียงเบรกดังอย่างต่อเนื่องไม่หยุด จนเผลอใช้มือคว้าเข้ากับเสื้อคลุมตัวนอกของชายแปลกหน้าเพื่อลดอาการเกร็งและความหวาดกลัวลง
ไม่รู้ว่านานเท่าไรกว่าที่รถทั้งคันจะหยุดหมุน รู้อีกทีฉันก็ได้ยินเสียงเขาเบิ้ลเครื่องยนต์อีกครั้งด้วยจังหวะความดังและความเร็วที่ลดลงกว่าเดิม
ฉันใช้เวลาซุกหน้าอยู่กับช่วงต้นแขนของชายแปลกหน้า พยายามตั้งสติกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองตลอดทั้งคืน ความรู้สึกมันเหมือนกับว่า ฉันกำลังขาดอากาศหายใจ หอบแฮ่กทั้งที่ไม่ได้ใช้แรงอะไรเลยสักนิด มิหนำซ้ำมือยังกำจิกเสื้อคลุมตัวนอกของอีกฝ่ายไว้แน่นจนรู้สึกแสบมือไปหมด
ใจฉันมันเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมานอกอกเสียให้ได้ รุนแรงเสียยิ่งกว่าตอนเจอหน้าวอร์อปป้าใกล้ ๆ อีกแน่ะ...
หลังจากทิ้งช่วงให้ได้ตั้งสติสักพักใหญ่ เสียงต่อว่าของผู้เป็นเจ้าของรถก็ดังขึ้น
“ปล่อยได้ยัง เสื้อยับหมด!”
น้ำเสียงที่เหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย ราวกับทุกเรื่องที่เผชิญมาเป็นเรื่องปกติทำให้ฉันรีบปล่อยมือผละตัวออกห่างเขาทันที เมื่อหันมองข้างทาง จึงพบว่าที่ที่เขาขับรถมาตอนนี้มันไม่ใช่เส้นทางถนนหลวงอย่างตอนแรก เพราะสองข้างทางรกไปด้วยป่า
“ฮ่า ๆ อะไรนี่เธอกลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?” ไม่ใช่แค่ทำตัวปกติแต่หมอนี่ยังสามารถหัวเราะหลังจากพาฉันเกือบตายมาแล้วหลายต่อหลายครั้งเพราะการซิ่งบนถนน!
“หุบปากไปเลย! นายเกือบพาฉันไปตาย!”
“คิดซะว่าเป็นการลงโทษที่เธอปล้นซิงฉันก็แล้วกัน” แม้จะยังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องกับสิ่งที่เกิด แต่พอได้ฟังคำพูดบ้า ๆ ปากมันก็อดกระตุกไม่ได้
“นายนี่ท่าทางจะพูดไม่รู้เรื่อง ก็บอกว่ายังไม่ได้ทำอะไรยังไงล่ะ!” ทว่าหลังสิ้นเสียงค้าน เขากลับเหลือบหางตามองฉัน ยิ้มกรุ้มกริ่มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์แล้วเอ่ยขึ้นสวนกลับมาทันที
“ผู้ร้ายปากแข็ง” แน่ะ ไอ้หมอนี่!
เพราะรู้ว่าขืนยังต่อปากต่อคำ ผู้ชายคนนี้ก็คงจะพูดแต่อะไรเดิม ๆ ชนิดที่เข้าข้างตัวเองและไม่ยอมฟังเหตุผลหรือฟังเสียงคัดค้านอยู่ดี เพราะงั้นฉันจึงเลือกที่จะเงียบ กลอกตามองไปยังกระจกข้างรถอย่างนึกเอือมระอา
ทั้งที่เลือกจะเงียบแต่อีกฝ่ายก็ยัง...
“เงียบเลยดิ เถียงไม่ได้” คำพูดเหมือนกับตั้งใจจะยียวนกวนประสาท ทำให้ฉันตวัดหางตามองเขาแบบไม่สบอารมณ์ ก่อนพบว่าเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าคมคายส่อแววทะเล้นกำลังขมุบขมิบปากยิ้ม ทั้งที่สายตายังมองถนนตรงหน้า
“คิดว่าตัวเองเป็นใคร หล่อนักหรือไง ถึงได้คิดว่าใครต่อใครต้องอยากปล้ำ...”
“ใช่ หล่อ” รู้ไหมฉันแทบอยากจะกลอกตาหมุนให้ได้ 360 องศา เมื่ออีกฝ่ายพูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ ซ้ำร้ายยังถามความเห็น “เธอไม่คิดว่าฉันหล่อเหรอ?”
เหอ ๆ =_=
“พ่อบอกฉันหน้าเหมือนพ่อ เลยหล่อเหมือนกัน” แถมยังเริ่มคุยโว
“ไม่ได้ถาม!”
“เอาดี ๆ ดิ เธอไม่คิดว่าฉันหล่อเหรอ?” คราวนี้เขาถามคำถามเดิมแต่เลือกที่จะหันมามองฉันแทนถนนตรงหน้า
“หล่อไม่เท่าคนที่ฉันชอบหรอกย่ะ!”
“แล้วเธอชอบใคร อยากรู้ว่าจะหล่อแค่ไหน?”
“ไม่ต้องยุ่งได้ป่ะ? ขับรถก็มองทางไปสิ” ฉันว่า
“รถฉัน ฉันจะขับยังไงก็ได้ ปล่อยมือขับแล้วเหยียบคันเร่งยังได้เลย” หากคิดว่าชายแปลกหน้าคนนี้ตั้งใจพูดเพื่อยียวนอารมณ์อย่างเดียวละก็ บอกเลยไม่ใช่
บรื้นนน
เขาจงใจเหยียบคันเร่งพร้อมทั้งปล่อยมือออกตามอย่างที่ปากว่า จนฉันต้องรีบต่อว่า
“ทำบ้าอะไร! จับพวงมาลัยสิ!!”
“บอกมาก่อนดิ ว่าไอ้ที่เธอว่าหล่อนี่มันใคร!!”ตอนนี้ฉันชักเริ่มหงุดหงิดกับผู้ชายคนนี้ขึ้นมาแล้วจริง ๆ โอเค! เขาเป็นคนพูดจริงทำจริง แต่นี่มันก็ละลาบละล้วงมากเกินไปป่ะ!
“บอกก็ได้ แต่ต้องจับพวงมาลัยก่อน!” ถึงจะคิดอย่างงั้นแต่แล้วยังไงล่ะ ฉันก็ต้องยอมแพ้เขาอยู่ดี ในเมื่อนั่งอยู่ในรถที่เขาเป็นผู้ควบคุมเหมือนเชลยศึกอย่างนี้ “วอร์อปป้าวง SWAG”