ส่วนข้าวของเครื่องใช้รวมถึงอาหารทุกมื้อล้วนมีพร้อมพรั่งเพียงเอ่ยปากสั่ง
คฤหาสน์หนิงเทียนแห่งนี้มีสาวใช้และบ่าวชายประจำอยู่แค่น้อยนิดไม่กี่คน ซึ่งแตกต่างจากจำนวนบ่าวไพร่ที่หวงลี่ฟางเคยควบคุมดูแลมาตลอดสิบกว่าปีในจวนหวง แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว คนมากปัญหาย่อมมาก เรื่องยุ่งยากย่อมตามมา
หวงลี่ฟางเหลือบตามองท้องฟ้า วันนี้อากาศค่อนข้างดียิ่ง นางจึงตัดสินใจว่าควรออกไปหาซื้อผ้ามาเย็บถุงหอม คิดเอาไว้ว่าต้องเพิ่มสมุนไพรบำรุงร่างกายให้มากหน่อย สุขภาพของซื่อจื่อจะได้แข็งแรงตลอดเวลา
หญิงสาวมักต้องเข้าร้านยาบ่อยครั้งเพื่อหาซื้อยาห้ามครรภ์ด้วยตนเองโดยไม่เรียกใช้สาวใช้หรือบ่าวไพร่คนใด
ดังนั้นจึงมีโอกาสหาซื้อสมุนไพรดีๆ มาเย็บใส่ถุงหอมเพื่อเตรียมไว้ให้จ้าวฉีเสวียน วันนี้ก่อนจากกันนางก็สอดถุงหอมอันใหม่ให้เขา ทุกห้าวันสิบวันที่เจอกันล้วนเป็นเช่นนั้น เขาเองก็ชอบเปลี่ยนถุงหอมตามที่นางมอบให้อย่างไม่เคยปฏิเสธ
ตลาดเมืองผิงโจวยังคงคึกคักเหมือนทุกวัน ประชากรในเมืองหน้าด่านแห่งนี้ค่อนข้างหนาแน่นไม่แพ้เมืองหลวงแคว้นจิน
นอกจากมีจำนวนเยอะผู้คนยังมากหน้าหลายตา หมุนเวียนเข้าออกประตูเมืองไม่เว้นแต่ละวัน เพราะมีคนของแคว้นฉินเข้ามาติดต่อค้าขายตลอดฤดูกาล บ้านเรือนมีการซื้อขายเปลี่ยนมือเจ้าของบ่อยครั้ง และหลายครั้งเจ้าของเดิมร่ำรวยมั่งคั่งก็ขยับขยายไปอยู่เมืองหลวงที่เจริญกว่าและหลายครั้งก็มีคนที่ขยับฐานะจากยากจนขึ้นเป็นเศรษฐีใหม่
นับเป็นเมืองที่เหมาะแก่การอยู่แบบเงียบๆ ไม่เผยตัวตนของหวงลี่ฟางอย่างยิ่ง
หญิงสาวเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้จนพอใจ ครั้นได้สมุนไพรที่ต้องการแล้วก็แวะพักจิบชากินขนมคลายเหนื่อยที่โรงน้ำชาฝูหมิง
โรงน้ำชาแห่งนี้มีชั้นสองที่รับรองลูกค้าแบบห้องส่วนตัว หวงลี่ฟางเลือกห้องชั้นสองแล้วนั่งลงสั่งขนมสองชนิดและน้ำชา
ขณะกำลังดื่มด่ำกับน้ำชารสเลิศขึ้นชื่อของที่นี่ จู่ๆ พลันมีสตรีชุดดำอายุราวยี่สิบกว่าปีผู้มิได้รับเชิญเดินเข้ามา
หวงลี่ฟางเบิกตามองอย่างฉงน กำลังจะเรียกเสี่ยวเอ้อร์เพื่อสอบถามว่าส่งลูกค้าเข้าห้องผิดหรือไม่ แต่อีกฝ่ายยกมือประสานคารวะอย่างนอบน้อมพร้อมแนะนำตัวอย่างเป็นมิตรเสียก่อน “คุณหนูหวงอย่าตกใจไป ข้ามีนามว่าหลันฮวา ข้ามาดีมิได้มาร้าย”
แม้อีกฝ่ายจะเอ่ยปากบอกชื่อเสียงเรียงนามเปี่ยมไมตรีแล้ว หากแต่หวงลี่ฟางก็ยังไม่รู้จักอยู่ดี
และที่สำคัญ นางมั่นใจว่าในเมืองแห่งนี้ ไม่มีใครรู้จักนาง ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางเป็นใคร
แซ่หวงนี้ แม้แต่จ้าวฉีเสวียนยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
แม้อีกฝ่ายจะเอ่ยปากบอกชื่อเสียงเรียงนามเปี่ยมไมตรีแล้ว หากแต่หวงลี่ฟางก็ยังไม่รู้จักอยู่ดี
และที่สำคัญ นางมั่นใจว่าในเมืองแห่งนี้ ไม่มีใครรู้จักนาง ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางเป็นใคร
แซ่หวงนี้ แม้แต่จ้าวฉีเสวียนยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
เพราะชอบกลิ่นกายนาง เขาจึงเรียกนางว่าฟางเหนียง[1] มาโดยตลอด
“ข้าแน่ใจว่าเราไม่เกี่ยวข้องกัน” หวงลี่ฟางเอ่ยเสียงขรึม ท่วงท่าเรียบเย็นแลดูสูงส่งดุจนางพญา หาได้มีกิริยาลนลาน เผยซึ่งความขลาดเขลาไม่
หลันฮวาเพ่งพิศแล้วก็ให้รู้สึกพึงพอใจ ทั้งรู้สึกนับถืออีกฝ่ายจากใจจริง หวงลี่ฟางผ่านชีวิตผกผัน เจอวิกฤตชีวิตขนาดนี้ จนกลายเป็นภรรยาลับเยี่ยงสตรีไร้ศักดิ์ศรี ทว่าท่วงทีกลับไม่ทิ้งความสูงศักดิ์ ช่างเปล่งประกายงดงามเลอค่าได้ตลอดเวลานัก
นางยิ้มอ่อนยามเอ่ย “ข้าเป็นคนของรุ่ยเหยียน”
ทันทีที่ได้ยิน หวงลี่ฟางชะงักงัน แววตาวูบไหวฉับพลัน จากกิริยาเรียบเย็น สีหน้าเริ่มเผยโทสะรำไร
รุ่ยเหยียน นามนี้คือคำต้องห้ามสำหรับนางมาแต่ไหนแต่ไร
หลันฮวากล่าวอีกว่า “คราวนี้คงเกี่ยวข้องกันแล้วกระมัง?”
หวงลี่ฟางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย สุ้มเสียงแม้ราบเรียบทว่ากลับเผยซึ่งแววประชดประชัน
“สตรีผู้นั้นไม่เกี่ยวข้องกับข้ามานานหลายปีแล้ว”
หลันฮวายังคงยิ้ม “แม้ไม่เจอหน้า ทว่าสายสัมพันธ์บุตรมารดาใช่ว่าจะพูดว่าไม่เกี่ยวข้องแล้วจะปฏิเสธได้”
นี่ย่อมเป็นเหตุผลที่อีกฝ่ายรู้จักนางที่เป็นหวงลี่ฟาง
คราวนี้เป็นหวงลี่ฟางบ้างที่หัวเราะเสียงเย็นในลำคอ ฟังดูแปลกแปร่งไม่เข้ากับดวงหน้างดงามอ่อนหวานดุจเทพธิดาเลย เสียงนุ่มนวลแฝงความหนักแน่นเอ่ยทีละคำอย่างชัดเจนก้องกังวาน
“สายสัมพันธ์บุตรมารดาหรือ? มันขาดสะบั้นสิ้นตั้งแต่นางทิ้งข้าไปแล้วล่ะ”
หลันฮวาที่แรกเริ่มยังคงยิ้ม ทว่ายามนี้ใบหน้าเริ่มแข็งค้าง เคยมีผู้ใดตัดขาดมารดาได้บ้าง คำตอบคือไม่
สัมพันธ์บิดาอาจทิ้งร้างห่างเหินไม่สนิทสนมกับบุตรเท่าใด ทว่ากับมารดานางไม่เคยเจอแน่นอน
หลันฮวาสูดลมหายใจสะกดอารมณ์ไม่อยากเชื่อของตนลง นางใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะสืบรู้เรื่องของอีกฝ่ายจนกระจ่าง ดังนั้น ไม่พูดก็คงไม่ได้ ดรุณีผู้หนึ่งสมควรตาสว่างมิใช่ลุ่มหลงมัวเมาบุรุษจนหน้ามืดตามัว ยอมพลีกายให้เขา อยู่กับเขาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
หลันฮวาหรี่ตาว่าอีก “วันนี้ข้ามาก็เพื่อรับตัวคุณหนูกลับไป มารดาของท่านกำลังรออยู่ ท่านเป็นถึงทายาทหนึ่งเดียวของนาง ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอัปยศอดสูจนต้องน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ไม่ต้องเป็นเพียงสตรีข้างกายผู้ใดอย่างไร้ฐานะ ไม่ต้องเป็นแค่เครื่องมือระบายอารมณ์ให้บุรุษเช่นนี้เจ้าค่ะ”
วาจาเถรตรงอย่างไม่ถนอมน้ำใจคนฟังเช่นนี้ หวงลี่ฟางเพียงสดับรับฟังด้วยหัวใจสงบดุจทะเลลึกไร้คลื่นลม
เรื่องของนางคือความลับ ไม่มีใครรู้ ตัวตนแท้จริงของนางแม้แต่จ้าวฉีเสวียนยังไม่รู้เลย
หลันฮวาผู้นี้กล้ามากที่บังอาจสืบจนล่วงรู้ได้
หวงลี่ฟางผินใบหน้าหวานละมุนหันไปมองนอกหน้าต่าง ตรงนี้คือชั้นสอง สิ่งที่เห็นคือต้นพลัม
ตามกิ่งก้านมีดอกน้อยๆ กำลังผลิคล้ายเด็กทารกแรกเกิด มีบางดอกที่เติบโตบ้างแล้วทว่ากลับถูกหิมะปกคลุมทับถมจนมิด แต่ใบที่ใหญ่กว่ากิ่งไม้ที่ใหญ่กว่ายื่นไปด้านหน้ารับดวงตะวันที่แสงแดดกำลังทอดยาวลงมาค่อยๆ ชะล้างเปิดทาง
บางครั้งหวงลี่ฟางมักชอบเปรียบเปรยชีวิตคนเหมือนต้นไม้เหล่านี้ ยอดอ่อน ดอกอ่อน กิ่งก้านใบที่กำลังเติบใหญ่ ล้วนต้องการได้รับการปกป้อง ทว่ากลับถูกหมางเมินให้เติบโตเอง
ภาพนางตอนอายุห้าขวบพลันผุดวาบขึ้นในห้วงคะนึงแห่งความทรงจำอันเลวร้าย