8

2609 Words
พรรณวษาจัดเอกสารเข้าแฟ้มแล้วนำไปวางไว้ที่โต๊ะของหัวหน้าคนใหม่ ที่วันนี้ยังไม่พบหน้าเจ้าหล่อนเลย           นี่คงเป็นเรื่องดีในเรื่องแย่ ๆ ของเธออีกเรื่อง เพราะวันหยุดนี้เธอไม่ต้องเข้าประชุมแทนหัวหน้าอีกต่อไป หากเป็นเมื่อก่อน เธอต้องมาแทนไก่ในบางสัปดาห์ แต่เมื่อไก่ออกไปแล้ว และหัวหน้าคนใหม่อย่างเชอรีนพยายามดึงคนของตัวเองให้เข้ามาทำงานแทนเธอจนเกือบหมด พรรณวษาเองจึงไม่ได้แยแส ตั้งใจทำแต่หน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องที่ผิดหวังน้อยใจกับตำแหน่ง มาวันนี้ลดน้อยลงจนแทบไม่เหลืออารมณ์ด้านลบอีกต่อไป เย็นวันศุกร์อย่างในวันนี้ พรรณวษาจึงหอบกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กมาที่ทำงานด้วย พอเลิกงานก็โบกมือลาน้อง ๆ พี่ ๆ ในฝ่าย เข้าห้องน้ำ เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกางเกงขายาวแบบที่ทะมัดทะแมงใส่สบาย พาตัวเองเดินออกมาจากอาคารแล้ว ขึ้นรถประจำทาง มุ่งหน้าไปหาน้องชายแท้ ๆ เพียงคนเดียวของบิดา หลังบิดาของเธอเลิกกับมารดาแล้ว พรรณวษาก็โตมากับบิดาเพียงลำพัง เมื่อท่านเสียชีวิต เธอมีอาคอยดูแลไม่ต่างจากบิดาอีกคนต่อจากนั้น           สองชั่วโมงขาดเกินไม่ถึงห้านาทีดี พรรณวษาก็ถึงปลายทาง รถจอดให้ลงที่สถานีขนส่ง ไม่ต้องโทรศัพท์ขอให้ใครมารับ เพราะที่นั่นมีรถกระบะดัดแปลงคล้ายรถสองแถวของทางรีสอร์ตคอยอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว           ขึ้นนั่งที่ด้านหลังของรถเป็นอันเรียบร้อย ไม่นานก็เคลื่อนตัวสู่ปลายทาง พลบค่ำแล้วที่มาถึง จึงมองไม่เห็นทิวทัศน์ระหว่างทาง แต่สายลมที่โต้ใบหน้าอยู่ตลอด เหมือนพลังงานที่ถูกเติมเต็มให้เธอ อึดใจต่อมา รถที่นั่งชะลอความเร็วลง ป้ายด้านหน้าเด่นหราอยู่ใต้หลอดไฟแสงสีขาวจ้าห้าหลอดเป็นชื่อรีสอร์ตว่า ‘กลับคืนสู่ธรรมชาติ’ เรียงตัวสวยงาม ตามด้วยประโยคยาว ๆ                     ‘ละเลิกกิเลส กลับคืนสู่ธรรมชาติ สุขกายสบายใจ เป็นผู้ให้ที่แท้จริง ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเรา เชิญที่ด้านในค่ะ’             แผ่นป้ายด้านหน้ารีสอร์ตผ่านตาคราใด ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกมอมเมาครานั้น พรรณวษารอจนรถจอดดีแล้ว ค่อยลงมา เดินตรงไปยังอาคารที่คาดว่าอาของเธอจะอยู่ที่ข้างในนั้น พบหญิงวัยห้าสิบต้น ๆ ในชุดขาวทั้งตัวส่งยิ้มเย็น ๆ มาให้ จึงยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่ายตามมารยาทที่พึงมี แล้วถามถึงญาติของตนเอง           “อาสองล่ะคะ”           หญิงคนนั้นที่เป็นหนึ่งในกลุ่มคนของที่นี่กล่าวเสียงเรียบ “ท่านกำลังทักทายสมาชิกใหม่ในห้องรับรองจ้ะ หนูพรรณมาเหนื่อย ๆ เอาของไปเก็บก่อนสิจ๊ะ”           พรรณวษาสะพายกระเป๋าเข้าไปยังห้องพักห้องที่ว่าง โดยไม่ต้องให้ใครมานำพาเธอไป เพราะเข้าออกที่นี่จนคุ้นเคยกับคนและสถานที่อยู่พอสมควร อีกทั้งคนในนี้ก็รู้จักหน้าค่าตาของเธอดี ว่าเธอเป็นหลานของอาสอง คนที่คล้ายกับเป็นผู้นำของลัทธิกลุ่มนี้ อาของเธอเป็นผู้นำหลักสูตรกลับคืนสู่ธรรมชาติ โดยจะมีคนกลุ่มหนึ่งพาคนเข้ามาร่วมอยู่เรื่อย ๆ ไม่อยากคิดในแง่ร้ายมากนัก ว่าคนที่มาส่วนใหญ่ ถูกชักจูง โน้มน้าวจากคนที่หวังผลประโยชน์ หรืออะไรก็ตามแต่ที่มีเรื่องเงิน เรื่องผิดกฎหมายรวมอยู่ด้วย เก็บของแล้ว พาตัวเองออกมาที่ด้านนอกก็พบว่าอาของเธอออกมาจากห้องโถงใหญ่แล้ว คนล้อมอยู่รอบกายท่าน เธอมองอยู่ห่าง ๆ จนท่านเห็นเธอ ก็ยิ้มให้แล้วปลีกตัวเดินมาหา “สวัสดีค่ะอาสอง”           “ธรรมชาติสวัสดีจ้ะ ดีใจจังที่ได้เจอหน้าหลานอาเสียที” อาของเธอทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อาสองครองตัวเป็นโสดมาแต่ไหนแต่ไร ก่อนหน้า ท่านใช้ชีวิตในวัดมาตั้งแต่เด็ก บวชเรียนตั้งแต่หกขวบ และสึกออกมาตอนอายุสามสิบปี มีคนนับถือท่านไม่น้อย ลูกศิษย์ลูกหามีพอสมควร แม้จะบวชเรียนเพียงไม่นาน จนเมื่อสิบปีที่แล้วนี่เอง ที่มีคนมาโน้มน้าวให้อาสองมาเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้ ชักจูงให้คนหันหาธรรมชาติ ละทิ้งของนอกกาย เพื่อกลับคืนสู่ธรรมชาติ ก่อนที่ธรรมชาติจะมาทวงคืนขนานใหญ่           เธอมาเฝ้าดูในทีแรก ก็นึกกังวลอยู่ไม่น้อย กับเรื่องสิ่งของเงินทองที่คนขนมาทิ้งตามคำชวน แต่อาสองก็ว่าจิตอาสาของท่านจะเป็นคนนำไปบริจาคต่อ ไม่ต้องกังวลในจุดนั้นจนเกินไป ไม่ลืมทิ้งท้ายให้เธอละเว้นจากกิเลส จากเงินทองของนอกกายพวกนั้นเสีย “หมอให้อาสองแวะไปพบท่านบ้างนะคะ ตรวจสุขภาพประจำปีล่าสุดสามปีก่อนนู้น ฝากถามมาว่ามั่นใจขนาดไหนกันถึงเอาแต่ยาไปกิน ไม่ยอมไปหาหมอเลย” พรรณวษาเอ่ยขึ้นเมื่อมีโอกาสได้อยู่กับอาตามลำพัง อาสองพยักหน้าเนิบ ๆ ว่ารู้แล้ว กระนั้นก็ไม่เห็นว่าจะพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว           “แบบนี้ไม่เท่ากับแหกตาคนหรอกหรือไง ขนาดท่านผู้นำยังป่วยโรครุมเร้าขนาดนี้ ธรรมชาติไม่รักษาอาสองแล้วล่ะ พรรณว่านะ”           “พูดมากเสียหายมาก เราควรเรียนรู้การพูดแต่พอดีนะหลานรัก” คนเป็นอาเตือนเสียงเนิบ ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างเดิม           “นี่เราอยู่ได้กี่วัน”           “กลับมะรืนค่ะ พรรณต้องทำงาน”           “ก็บอกให้มาช่วยอา”           “ช่วยกันหลอกคนให้เอาเงินมาให้น่ะหรือคะ แค่อาสองไม่ถูกญาติใครตามมาถลกหนังก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังกล้าชวนหลานมาเป็นขบวนการต้มตุ๋นอีก”           “ต้มตุ๋นอะไร” อาสองถามกลับด้วยสีหน้าที่พรรณวษานึกชื่นชม หากว่าท่านเป็นแกนนำในขบวนต้มตุ๋น ก็ถือว่าตีเนียนได้เก่งฉกาจยิ่งนัก           อาสองอยู่ที่นี่มาสิบปีแล้ว เมื่อก่อนเธอก็สองจิตสองใจเรื่องที่ท่านชักจูงคนมาที่นี่เพื่อละทิ้งกิเลสอะไรนั่น มาหลายครั้งก็เห็นว่าไม่ได้มีอะไรผิดสังเกตมากนัก แต่เมื่อปลายปีก่อนจนถึงวันนี้ที่เริ่มมีการนำเสนอข่าวหนาหู มีคนเอาไปพูดถึงในแง่ลบมากขึ้น พรรณวษาจึงเริ่มเกิดคำถามตามคนเหล่านั้นว่ามีคนเอาเงินทองมาบริจาคที่นี่จริงหรือ ถ้าจริงมันมากน้อยขนาดไหนกัน แล้วเงินพวกนั้นใครเป็นคนจัดการ หากไม่ใช่อาของเธอเอง ตาจ้องจับอาการของอาไปพลาง ชวนคุย “มีคนเอาเรื่องของที่นี่ไปทำข่าวแล้วนะคะอาสอง” “ข่าวว่ายังไง”            พรรณวษามองตอบท่านนิ่ง ๆ เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง “คนส่วนใหญ่พูดเหมือนกันทั้งนั้น ว่าที่นี่เป็นขบวนการหลอกลวงคน ใครมีเงินก็หลอกให้เขาเอามาทิ้ง เพื่อจะได้เป็นการละทิ้งกิเลส”           “มันเรื่องจริง” อาสองแย้งเสียงนุ่มในแบบของท่าน           “อาสองเคยตามไปดูไหมล่ะคะ ว่าเขาเอาเงินที่ได้ไปบริจาคจริง ๆ”           “ที่นี่โปร่งใสเรื่องเงิน เราตั้งใจสร้างที่นี่ขึ้นก็เพื่อให้คนได้ละทิ้งกิเลสจริง ๆ อาจะหลอกเอาเงินของคนพวกนั้นทำไม”           “หรือคะ” พรรณวษาย้อนถามด้วยความคิดแบบก้ำกึ่ง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “อย่างนั้นก็น่าสนใจมากนะ ให้พรรณเข้าไปฟังด้วยได้ไหม”           คนเป็นอาได้ยินหลานที่ต่อต้านการกลับคืนสู่ธรรมชาติมาตลอด อยากเข้าฟังด้วยก็ยิ้มอย่างยินดี มองหลานสาวด้วยสายตาราวกับมององคุลิมาลกลับใจ           “เอาสิ พรุ่งนี้ช่วงที่เราพูดคุยชี้นำกันตอนบ่าย หลานอาก็เปลี่ยนชุดแบบคนอื่น ๆ เขา แล้วเข้าไปยืนกลุ่มกับสมาชิกที่ข้างหลังอาได้เลย อาจะบอกคุณพรรัชให้”           “มีอะไรกันหรือคะท่าน” เสียงถามเย็น ๆ ของพรรัชดังขึ้นพร้อมเจ้าตัว “มาถึงเมื่อไรจ๊ะหนู”           “สวัสดีค่ะคุณพรรัช” พรรณวษายกมือไหว้สาวใหญ่เจ้าของชื่อพรรัช เธอเคยพบทางนั้นมาก่อนหน้าแล้ว รู้จักกันมานาน ตั้งแต่ครั้งที่อาสองยังอยู่ในผ้าเหลือง เพราะพรรัชเป็นอุปัฏฐายิกาของอาเธอ นอกจากนั้นแล้วยังเป็นเจ้าของรีสอร์ตแห่งนี้อีกด้วย           “ธรรมชาติสวัสดีจ้ะ”           พรรัชยิ้มแล้วทักทายเธอ ค่อยหันไปถามทางอาสอง “เมื่อครู่มีอะไรอยากบอกพรรัชหรือคะ”           “พรรณสนใจอยากเข้าร่วมฟังกับเราด้วย”           พรรัชหันมายิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่มีปรากฏแค่บนริมฝีปาก นอกนั้นบนใบหน้าไม่มีร่องรอยยินดีให้พรรณวษาได้สัมผัสเลยสักนิด           “ดีสิคะ”           ห้องเงียบไปอึดใจ พรรัชว่าขึ้นเมื่อนึกได้ “ท่านคะ มีลูกศิษย์อยากขอเสวนากับท่านที่ห้องเล็กค่ะ”           “เดี๋ยวไป” อาสองบอกเสียงนวล ๆ กับทางนั้น แล้วหันมาชวนเธอ “พรรณไปกับอาไหม”           พรรณวษาพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนพาตัวเองตามอาสองไป           ที่จริงก็ไม่อยากยุ่งเรื่องนี้นัก แต่เมื่อมีข่าวออกมาถี่ ๆ บ่อย ๆ ล้วนแต่เป็นข่าวเสียทั้งนั้น ก็ทำให้เธอไม่สบายใจอยู่บ้าง หากอาสองไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ เธอก็จะได้รีบกันอาของเธอออกจากที่นี่ แต่ก่อนอื่นเลยเธอควรเข้าร่วมไปฟัง ไปดูว่าที่นี่ทำอะไร อย่างไร แบบไหนกันบ้าง พวกเขาหลอกลวงเรื่องเงินกับคนที่เข้ามาหาหนทางละกิเลสจริงหรือเปล่า แล้วทำแบบไหน อย่างไร               รถคันมาใหม่ขับเข้ามาจอดในบริเวณของรีสอร์ต กลับคืนสู่ธรรมชาติ พร้อมกับที่ประตูรถเปิดออก ธรณ์มาถึงในช่วงบ่ายของวันถัดมา หลังจากตกลงกับแจ็คว่าจะมาดูลาดเลาของคุณป้าวิราสินีให้           “ติดต่ออะไรหรือคะคุณ”           เสียงถามดังขึ้น ขณะที่ธรณ์มองไปรอบบริเวณ ตอบทั้งที่ยังใช้สายตาสำรวจไปยังกลุ่มคนที่เดินผ่านหน้าไป มองว่าในนั้นมีคุณป้าวิราสิรีรวมอยู่หรือไม่           “ผมอยากเข้าคอร์สละกิเลสของที่นี่ ไม่รู้ว่าต้องติดต่อกับใคร ที่ไหน ยังไงบ้าง”           หญิงคนของรีสอร์ตที่เข้ามาต้อนรับธรณ์ มองชายหนุ่มที่มาพร้อมรถคันหรู ในอาภรณ์ที่ดูด้วยตาก็รู้ว่าราคาแพงระยับ ยิ้มเย็น ๆ ส่งให้ ผายมือไปยังอาคารด้านซ้าย           “เชิญทางนี้ค่ะ”           ธรณ์เดินตาม พลันสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นว่าใครบางคนผ่านพ้นเข้าไปยังห้องเดียวกันพอดี ค่อนข้างมั่นใจว่าใช่ เพราะเห็นเต็มสองตา และเขาไม่เคยจำใครผิด           พรรณวษา เพื่อนของไอลดาแน่นอน           ว่าแต่เธอมาทำอะไรที่นี่ แล้วถึงเลิกให้ความสนใจเมื่อเข้ามาในห้องที่ใช้พูดคุยกันสำหรับคนเข้าร่วมรายใหม่           ที่นี่จัดการอย่างเป็นระบบ เท่าที่ตาของธรณ์เห็น           คนมาใหม่อย่างเขาจะถูกพามาที่นี่ก่อน คล้ายกับมาเพื่อคัดกรอง           แล้วก็จะถูกล้างสมองด้วยความเชื่อที่พยายามยัดใส่หัว           เห็นชัดว่าพยายามโน้มน้าวหลายวิธีมาก แล้วยังไปเอาคนต่างชาติ คนมีชื่อเสียงมากล่าวอ้างเพื่อชักจูงคนอื่น ๆ อีกด้วย ไม่มีความน่าเชื่อถือมากพอ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนหลงคารมคนพวกนี้ แล้วมองไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าป้าวิราสินีของแจ็คอยู่ในนี้ด้วยไหม ท่านอยู่ตรงไหนกัน มองหา แต่กลับไม่พบ           จนจบการรับฟัง ธรณ์ลุกขึ้น ตรงไปยังคนที่พาเขาเข้ามาในนี้ ถามจี้ “ถ้าผมอยากฟังรายละเอียดมากกว่านี้” “ช่วงค่ำ ท่านจะออกมาคุยให้ฟังเรื่องการชะล้างจิตใจให้ใสสะอาด เพื่อล้างกิเลสค่ะ ถ้าคุณสนใจสามารถติดต่อห้องพักเพื่อเข้าร่วมกับทางเราได้” “คุยกับท่าน?” ธรณ์ทวนอย่างสนใจ “ใช่ค่ะ ท่านคือผู้นำหลักการและแนวคิดทั้งหมด...” คนที่ประกบเขาสาธยายให้ฟังว่า ‘ท่าน’ ที่ว่าเคยบวชเรียนมาแล้วหลายพรรษา ก่อนสึกออกมาเพื่อนำหนทางนี้มาให้กับผู้คนได้ละเว้นกิเลสกัน “ถ้าผมอยากคุยกับท่านตอนนี้เลย” ธรณ์เร่งเร้าเพราะไม่อยากใช้เวลากับที่นี่มากจนเกินไป แต่อีกฝ่ายตอบรับอย่างใจเย็น           “คุณต้องรอค่ะ”           “เวลาของผมมีค่า ผมมีเวลาไม่มากนักหรอก มาที่นี่ก็ตั้งใจมาสละกิเลสให้มันหมด ๆ ไป แล้วหากผมประสงค์จะสละกิเลสวันนี้ด้วยเลย ผมติดต่อใครได้บ้าง”           อีกฝ่ายสงวนคำพูดของตัวเองในทันทีที่เห็นสายตาปรามมาจากอีกของฟากห้องนั้นว่าให้เงียบไว้ก่อน สุดท้ายธรณ์ก็ตัดสินใจจะเข้าฟังในค่ำนี้ด้วย           เขาออกมาจากห้องนั้นเพื่อลงชื่อเข้าร่วมหลักสูตรที่ว่า ซึ่งแน่นอนว่ามีค่าใช้จ่ายที่รวมทุกอย่างในนั้นเบ็ดเสร็จ ตั้งแต่ค่าห้อง ค่าอาหาร รวมถึงค่าเข้าร่วมคอร์ส ถือว่าราคาสูงทีเดียว           และนี่เอง อาจเป็นการคัดกรองคนอีกขั้นตอนไปในตัว           ธรณ์จ่ายเงินแล้วก็เดินดูรอบ ๆ ตาสอดส่ายหาป้าวิราสินีไปพลาง แต่ก็ยังไม่พบท่านอยู่ดี แต่แล้วเขากลับไปพบอีกคนแทน           ใช่จริง ๆ ด้วย           ผู้หญิงคนนั้นถูกหลอกมา หรือ เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่           เกิดอยากกลับคืนสู่ธรรมชาติเหมือนกันหรืออย่างไร หรืออาจเป็นหนึ่งในขบวนการของแก๊งต้มตุ๋น ในหัวกลับให้น้ำหนักไปทางข้อหลังมากกว่า ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหล่อนจะหัวอ่อนขนาดว่าถูกชักจูงเข้าสมาคมลวงโลกได้ จนถึงช่วงที่พวกนั้นนัดหมายเอาไว้ ธรณ์จึงได้เข้าไปนั่งฟัง ตาก็มองสอดส่ายหาป้าวิราสินีอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบอย่างเดิม เห็นก็แต่พรรณวษาที่เข้าไปรวมกลุ่มอยู่กับคนของที่นี่ด้วย นั่นเลยทำให้ธรณ์เข้าใจได้ในที่สุด ว่าหญิงสาวเพื่อนของไอลดาเป็นหนึ่งในแก๊งลวงโลก แล้วมองไปยังคนที่ยืนพูดอยู่กลางห้อง พบว่าไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ อย่างที่คาดไว้แต่แรก ‘ท่าน’ ที่ว่า ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าขอบเขตของพระพุทธศาสนา อย่างที่เขารู้มาแล้ว พรรณวษาไม่ได้สนใจมองใคร เธอฟังคนของอาสอง รวมไปถึงอาสองพูดบรรยายอะไรของท่านไปจนจบ ค่อยเดินตามแถวออกมาที่นอกห้อง พร้อมกับได้ยินเสียงทักดังจากทางด้านหลัง           “อ้าวคุณ มาที่นี่เหมือนกันหรือ”           พอหันไปมองทางคนทักก็นิ่งไป เบือนหน้าหนี ไม่อยากคุยอะไรด้วย ณ ตรงนั้น เพราะมีสายตาของพรรัช ที่มองมายังเธอและธรณ์ด้วยสายตาสนใจและสงสัย ทำให้ต้องผละจากไปก่อน       
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD