1
พรรณวษากดอ่านข้อความที่มีการแจ้งเตือนเข้ามา ก่อนตอบกลับไปสั้น ๆ แล้วคว่ำโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอย่างเดิม เมื่อผู้จัดการแผนกเดินเข้ามาพร้อมแก้วกาแฟในมือ
หญิงสาววัยเฉียดห้าสิบ เจ้าของชื่อเอื้อมพรหยิบช้อนกาแฟออกมาเคาะแก้วในมือเสียงดังติดกันสี่ห้าครั้งเห็นจะได้ พร้อมแจ้งให้พนักงานสิบกว่าชีวิตได้รับรู้ข่าวสารที่ตนเองกำลังจะนำมาบอกกล่าว
“เอเวอรี่บาดี้จ๋า ฟังพี่หน่อยลูก”
“อะไรหรือคะพี่เอื้อม”
“พี่มีเรื่องแจ้งให้ทราบสองเรื่องนะคะ คือทางผู้ใหญ่จะปรับผังผู้บริหารกับหัวหน้าฝ่ายนิดหน่อย แล้วก็..." เอื้อมพรหันไปสบตากับไก่ ก่อนเอ่ย "หัวหน้าฝ่ายการเงินกำลังจะทิ้งพวกเราไปด้วยน่ะจ้ะ เรื่องนี้รู้กันหรือยัง”
ทันทีที่ได้ฟังข่าว บางคนร้องขึ้นอย่างแปลกใจ บางคนหันไปซุบซิบคุยกัน มีเพียงพรรณวษาที่ยังนั่งนิ่ง ๆ ตามองปฏิทินบนหน้าจอตรงหน้า หูฟังต่อว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องอะไรเพิ่มเติมหรือไม่
“ใช่จ้ะ หัวหน้าพวกเราน่ะเขายื่นใบลาออกแล้ว บอกน้อง ๆ หน่อยไก่ จะไปไหน ไปทำอะไร” ท้ายประโยคเอื้อมพรหันไปคุยกับไก่ หัวหน้าแผนกการเงินที่ยื่นใบลาออกไว้แล้ว
ไก่ หัวหน้าแผนกลุกขึ้นยืนช้า ๆ ยิ้มหวาน บอกอย่างอาย ๆ ว่า “พี่จะแต่งงานแล้วนะหนู ๆ จ๋า แล้วแฟนพี่เขาก็อยากให้ลาออกไปนั่งเป็นเถ้าแก่เนี้ยน่ะจ้ะ”
ได้ยินเหตุผลที่หัวหน้างานยื่นใบลาออก เด็กรุ่นน้องก็วี้ดว้าย เป่าปากแซวไก่กันยกใหญ่ บางคนแซวว่ามีน้องหรือเปล่าเนี่ย คงมีเพียงพรรณวษาที่ยิ้มบาง ๆ อย่างดีใจด้วยเท่านั้น ที่ไม่ได้พูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว กระนั้นก็อดดีใจด้วยไม่ได้ ที่หัวหน้าของเธอได้หลุดจากสถานะโสดเสียที แถมยังได้ออกไปทำงานที่เป็นธุรกิจของครอบครัวอีก น่าดีใจด้วยจริง ๆ
“ใช่ซี้ ไก่เขามีทางไปเขาก็ไปสิ ใครจะมัวมานั่งทำงานดักดานอยู่แต่ในนี้ ใช่ไหมพรรณ” เอื้อมพรถามทางคนที่นั่งเงียบอยู่คนเดียวในห้องทำงานห้องใหญ่ห้องนั้น พรรณวษายิ้มตอบ กระนั้นเธอก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว
ได้ยินก็แต่คนอื่น ๆ ตะโกนข้ามโต๊ะมาแซวเธอ
“แบบนี้พี่พรรณก็ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าแทนพี่ไก่แล้วน่ะสิคะ”
พรรณวษายิ้มกว้างขึ้นอีกนิด ใช่ ในหัวของเธอกำลังคิดเรื่องนั้นอยู่เช่นกัน
“ใช่ไหมคะพี่ไก่ ก่อนจะเป็นหัวหน้า พี่ไก่ก็นั่งรองมาก่อน อย่างนี้ตำแหน่งหัวหน้าแผนก พี่พรรณก็นอนรอเลยสิคะ ยินดีล่วงหน้านะคะพี่พรรณ”
พรรณวษายิ้มรับแบบเดิม ไม่ได้เอื้อนเอ่ยว่าอะไรออกไป ออกตัวแรงมากไม่ได้หรอกเรื่องแบบนี้ แต่ก็อดหวังไม่ได้อีกเช่นกันกับตำแหน่งในหน้าที่การงาน
ที่นี่หากหัวหน้าแผนกหมดวาระลง มักไม่ค่อยรับคนใหม่เข้ามาแทนที่ แต่จะให้คนเก่าขึ้นตำแหน่งต่อเลย
ตอนพรรณวษาเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ ๆ แผนกการเงินมีพนักงานแค่สี่คนเท่านั้น ตอนนั้นไก่เป็นรองหัวหน้าแผนก ไม่นานจากนั้น หัวหน้าคนเก่าหมดวาระลง ไก่ก็ได้ขึ้นแทนทันที ส่วนเธอทำงานเป็นพนักงานอยู่สามปี ก็ขึ้นมาแทนที่พี่คนที่ทำหน้าที่รองหัวหน้าจากไก่ต่อเช่นกัน
เหตุการณ์ลักษณะนี้วนเวียนไปมาอยู่เสมอ เธอที่ครองเก้าอี้รองหัวหน้ามาสามปีหลังจากนั้นแล้ว ก็พบว่าตัวเองทำงานได้ในระดับดีถึงดีมากคนหนึ่ง ทำงานหลายอย่างแทนไก่มาตลอด มีประชุมหลายต่อหลายครั้งที่เธอเข้าแทนไก่ จนผู้ใหญ่ออกปากชมว่ามีแววจะได้นั่งเก้าอี้หัวหน้าแทนไก่ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด
“เพราะฉะนั้นเย็นนี้ก่อนจะได้ลายาว ๆ ห้าวัน พี่ขอบังคับให้ทุกคนไปกินอะไรด้วยกันที่ร้านป้าหนุ่นก่อน เพื่อเป็นการเลี้ยงอำลาให้ไก่ ห้ามมีข้ออ้าง ห้ามใครรีบกลับ ห้ามใครแฟนป่วยลูกป่วยเด็ดขาด เข้าใจไหม”
“ค่ะ / ครับ” เสียงตอบรับดังเซ็งแซ่
เอื้อมพรบอกจบหันมายิ้มให้เธอ กำชับอีกครั้งว่า
“เราก็ด้วยนะพรรณ”
ตอบรับสั้น ๆ แค่ว่า “ค่ะพี่เอื้อม”
คล้อยหลังผู้จัดการแล้ว พรรณวษาค่อยเดินไปยังโต๊ะของน้องที่สั่งงานไว้ตั้งแต่วันก่อน ไปถึง เห็นเจ้าตัวเอาแต่กดตอบแชตในโทรศัพท์อยู่นั่นแหละ จึงกระแอม ก่อนเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงกดต่ำเล็กน้อย
“น้องแซนคะ”
หญิงสาวเจ้าของชื่อ คว่ำโทรศัพท์ลงที่หน้าตัก ดันตัวเข้ากับโต๊ะ เพื่อบดบังสายตาของเธอไว้ ตอบรับเสียงใส “คะพี่พรรณ”
“เอกสารที่พี่ให้ไว้เมื่อวันก่อน จนเช้านี้แล้ว พี่ยังไม่เห็นที่โต๊ะเลยนะ”
“อุ๊ย อยู่นี่ค่ะพี่พรรณ” แซน น้องพนักงานคนมาใหม่ในแผนก รื้อแฟ้มตรงหน้าวุ่นวาย แล้วเงยหน้ายิ้มแหย ๆ ให้เธอ “ใกล้เสร็จแล้วล่ะค่ะพี่พรรณ ไม่เกินเที่ยงพรุ่งนี้ เสร็จแน่นอน ยังไงแล้วแซนจะรีบส่งให้ที่โต๊ะนะคะ”
พรรณวษาไม่ยิ้มตอบ แล้วมองด้วยสีหน้าจริงจังก่อนว่า
“ครั้งหน้าพี่ของานตรงเวลาด้วยนะคะ”
“ค่ะ ๆ” แซนรับคำหน้าเสียเล็กน้อย คล้อยหลังพรรณวษาแล้ว แซนหันไปหาเพื่อนรุ่นพี่ร่วมแผนกที่นั่งติดกันทางด้านหลัง มุ่ยหน้าให้ทางนั้น บ่นไปหยิบแฟ้มมาเปิดออก ทำงานไปพลาง
“เพราะพี่คนเดียวเลย ชอบชวนแซนคุย ชวนให้เลือกซื้อของในแอปอยู่เรื่อย”
“น้องแซนขี้เกียจก็อย่ามาโบ้ยพี่สิคะ ตัวเองนั่นแหละที่เอาแต่แชตทั้งวัน โดนทวงงานงี้มาโทษพี่เลยนะ”
แซนอดมุ่ยหน้าอีกไม่ได้ แล้วเหลือบตามองไปทางพรรณวษา ลดเสียงเบาลงอีกนิด บ่นตามหลังไปว่า
“พี่พรรณดุจังเลยนะคะ”
“ปกติไม่ดุนะ แต่ถ้าเจอน้องทำงานไม่เอาไหนก็จะเจอโหมดนี้แหละค่ะ”
คนที่ถูกน้อง ๆ กล่าวถึง เดินกลับที่โต๊ะของตัวเองแล้ว ก็มองกองงานอีกเป็นตั้ง ต้องทำให้เสร็จก่อนเย็นนี้ มีหลายชิ้นที่ต้องทำแทนน้อง ๆ เธอก็ยังทำให้ แต่ไม่ใช่คนช่างพูด ช่างทวงผลงานต่อหน้าใครเท่านั้นเอง หวังว่าอานิสงส์ที่เธอตั้งใจทำงานแบบถวายหัวให้ที่นี่ตั้งแต่เรียนจบ จะทำให้เธอได้ไต่ขึ้นตำแหน่งสูงกว่านี้บ้างเถอะ เพราะหากดูตามความสามารถ หน้าที่ความรับผิดชอบ อายุงานและจังหวะเวลาแล้ว ก็อดคิดอย่างมีความหวังไม่ได้ ว่าเธอจะได้เป็นหัวหน้าแผนกต่อจากไก่ที่กำลังจะลาออกไปในเร็ววันนี้
“หนูพรรณ” เสียงพี่ไก่เรียกที่มุมอับมุมหนึ่งในชั้นที่ทำงาน “งานที่พี่ส่งให้คราวก่อน”
“พรรณกำลังจะออกมาถามพี่ไก่อยู่พอดีเลยค่ะ”
“พี่จะส่งต่อให้หนูทำหมดเลยนะ พี่ไม่รับทำแล้วล่ะ”
พี่ไก่ หัวหน้างานของเธอกำลังพูดถึงงานบัญชีที่เธอและไก่รับทำด้วยกันมาตลอด ได้ยินว่าที่นี่กำลังจะออกกฎ ห้ามไม่ให้พนักงานรับทำงานนอก
“ถ้าผู้ใหญ่ออกระเบียบใหม่อย่างที่ลือเอาไว้จริง หนูก็ระวังหน่อยนะ ถ้าเลือกได้ พี่ว่าหนูลองเลือกดูว่าจะออกไปทำฟรีแลนซ์อย่างเดียวไหม ไม่ก็งดงานพวกนั้น แล้วทำแต่งานหลักของที่นี่”
“พรรณคงไม่ทิ้งงานที่นี่ไปหรอกค่ะ”
แม้เงินที่เธอได้จากงานฟรีแลนซ์จะมากกว่างานประจำก็ตามที กระนั้นก็ไม่ได้มั่นคงไปกว่ากัน
ไก่อ้าปากจะพูดอะไรอีก แต่พอดีมีพนักงานเดินผ่านมาเสียก่อน จึงต้องแยกย้ายกันไปทำงานต่อจากนั้น
ร้านอาหารของป้าหนุ่นไม่ใช่ร้านใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตบ้านของแกเอง ที่มีพื้นที่ค่อนข้างเยอะที่กันไว้เป็นสวนผักและสวนผลไม้ บริเวณร้านสร้างเป็นอาคารสองชั้น รองรับลูกค้า รอบบ้านเป็นต้นไม้ใหญ่จำพวกก้ามปู หางนกยูง พะยอม ตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้ขนาดเล็กอีกหลากสายพันธุ์ ให้ความร่มรื่น สบายตาอยู่ไม่น้อย
ที่นี่ไม่ไกลจากออฟฟิศเท่าไรนัก พรรณวษานั่งรถมาพร้อมเอื้อมพร ส่วนคนอื่น ๆ มีรถเป็นของตัวเอง ไม่ก็เกาะติดกันมาเป็นกลุ่มก้อน
เสียงคุยจอแจครึกครื้นทีเดียว ภายในร้านมีโต๊ะของพวกเธอเป็นกลุ่มใหญ่สุด เจ้าของร้านคือป้าหนุ่นเอง สนิทสนมกับกลุ่มของพวกเธอไม่น้อย ท่านเห็นว่ายกกลุ่มกันมา จึงแยกที่นั่งให้ตรงมุมสวน บรรยากาศตรงนั้นดีทีเดียว ค่อนข้างส่วนตัว มีโทรทัศน์ให้รับชมรายการหรือละครตามแต่จะเลือกดู ที่สำคัญไม่รบกวนแขกโต๊ะอื่นอีกด้วย
สั่งอาหารกันไปแล้ว สาวรุ่นน้องสามสี่คนข้าง ๆ พรรณวษาตามองข่าวในโทรทัศน์อยู่ครู่หนึ่ง ก็ก้มหน้าลงคุยกันด้วยเสียงที่ไม่เบาเท่าไรนัก
“ดูข่าวนี้แล้วฉันกลัวเลยอะ ลุงข้างบ้านก็เคยถูกหลอกแบบนี้เหมือนกัน”
“หลอกยังไงหรือ แล้วทำไมถึงได้ยอมขนเงินไปให้เขาแบบนั้นอะ ฉันไม่เข้าใจ”
“เท่าที่ฟังมานะ เห็นว่าเป็นเหมือนสมาคม ไม่ก็ลัทธิ พวกนอกศาสนาอะไรทำนองนี้แหละ แล้วก็ให้ทิ้งของติดตัวมาในกองกิเลส ลุงข้างบ้านฉันถูกหลอกยังไงก็ไม่รู้ แกกลับบ้านปุ๊บ ออกไปปิดบัญชีปั๊บ แล้วก็เอาเงินไปให้พวกนั้นจนหมดตัวเลย ทุกวันนี้กลับบ้านไม่ได้แล้ว เมียรอด่า ลูกก็จะเอาเรื่อง ไม่รู้แกหายไปไหน ถูกฆ่าตายอยู่ในนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“น่ากลัวจัง”
พรรณวษายังจ้องข่าวในจอ หูของเธอก็ฟังน้องในแผนกวิจารณ์ข่าวด้วยแววตาสงบนิ่ง แต่ในใจบังเกิดความกังวลอยู่พอสมควร จนจบสกู๊ปข่าวเมื่อครู่ น้องที่นั่งคุยกันอย่างเมามันก็ไถหน้าจออ่านอะไรกันอยู่ครู่หนึ่ง จึงร้องเสียงหลงขึ้นมาว่า
“นั่นไง ว่าแล้วเชียว ในที่สุดเขาก็เลิกกัน”
อีกคนที่นั่งข้าง ๆ ร้องถามอย่างสนใจ “ใครหรือ ไหนเอามาดูหน่อย”
“จะใคร” คนนำเรื่องมาคุยลากเสียงตอบอย่างสะใจ แล้วเฉลยในนาทีต่อมา “ก็คุณเอสกับยัยดาด้าดีดี้อะไรนั่นไงล่ะ”
“ว้าย! จริงหรือ สามีแห่งชาติของเราเลิกกับเมียแล้วจริง ๆ หรือ ตายแล้ว ๆ ฉันต้องรีบกลับไปมาส์กหน้าด่วนเลย จะได้สวยทันพรุ่งนี้ เขาคงจะว่างมารับฉันไปดูหนังกินข้าว แอร๊ย ฉันรักคุณเอส ฉันอยากได้สามีแบบนี้”
สาวอีกคนร้องเพลงรับอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้ยินข่าวที่เพื่อนนำมาพูดในวงอาหาร “ซอมเบิ่งอยู่เด้อ ถ้าหากว่าเธอนั้นเลิกกันกับเขา”
“ฉันก็ชอบคุณเอสนะ ผู้ชายอะไรไม่รู้ ยิ่งมีอายุก็ยิ่งหล่อ แกดูสายตาที่เขามองฉันตอนมาส่งเมื่อเช้านี้สิ มันอบอุ่นไหม น้ำเสียงที่คุยกับฉันก็ละมุนหู ฉันแพ้ทางผู้ชายแบบนี้อะแก”
“เพ้อเก่งนะยะพวกหล่อนเนี่ย คุณเอสเขามาส่งหล่อนตอนไหนยะ ตื่นค่ะลูกตื่น!”
พรรณวษาหันหน้าหนีจากบรรดาสาวรุ่นน้องที่พูดคุยกันเรื่องของคนอื่นอย่างสนุกปาก ยื่นมือออกจัดแจงเลื่อนจานอาหารที่พนักงานนำมาบริการ ส่งให้น้องในแผนกกินกันก่อน เมื่อที่เหลือทยอยยกมาจนครบ จึงลงมือกินตามหลังไป เสร็จเรียบร้อย ค่อยร่ำลา เตรียมกลับบ้านใครบ้านมันหลังจากนั้น
“หยุดยาวห้าวัน หวังว่าจะไม่มีใครลาเพิ่มอีกนะจ๊ะเด็ก ๆ”
“ค่ะพี่เอื้อม” เสียงตอบรับดังเซ็งแซ่ที่หน้าร้านอีกครั้ง เอื้อมพรรับไหว้เด็กในแผนก แล้วโบกมือลาให้แยกย้ายกันกลับบ้านดี ๆ
“ไปลูกไป กลับบ้านกันได้แล้ว อิ่มไหม ใครไม่อิ่มไปกินต่อที่บ้านพี่เลย”
“พี่เอื้อมชวนจริงหรือเปล่า หนูไปจริง ๆ นะคะเนี่ย”
“พี่ให้ไปทุกคน ยกเว้นเรา” เอื้อมพรเย้ากับน้องคนช่างเจรจาแล้วค่อยหันบอกเธอ
“พรรณกลับกับพี่นะ”
“ค่ะ พรรณลงตรงปากทางนี่ก็พอนะคะ”
พรรณวษาขอลงที่ป้ายรถประจำทาง ยืนรอไม่นาน รถประจำทางสายที่ผ่านซอยบ้านก็เข้ามาจอดเทียบ โชคดีมีที่นั่งว่างอยู่ จึงได้โอกาสนั่งมองการจราจรที่ไม่แน่นขนัดเท่าไรนักในเวลาเช่นนี้ ใจลอยคิดไปถึงเรื่องของตัวเอง รวมไปถึงเรื่องราวของคนรอบข้างรอบตัวของเธอ
ไม่นานก็ถึงปากซอยเข้าบ้าน จึงลงเดินทอดน่องไปเรื่อย ๆ จนเกือบถึงหน้าบ้าน เห็นท้ายรถหรูสัญชาติเยอรมันจอดนิ่งตรงประตูรั้ว เลยรีบสาวเท้าตรงเข้าไปหาในทันที
ใส่กุญแจไข ก็นึกได้ว่าอีกฝ่ายคงหากุญแจจนเจอ เพราะในบ้านสว่างจ้าทีเดียว เดินเข้ามาแล้วก็แทบล้มไปกองที่พื้น เมื่อมีคนกระโดดโถมใส่ กอดเธอจากทางด้านหลังอย่างไม่ให้ได้ตั้งตัวเอาเสียเลย
พรรณวษาแกะแขนอีกฝ่ายออก แล้วหันมามองด้วยแววตาเป็นห่วง ทักด้วยน้ำเสียงดีใจ กระนั้นก็อดบ่นออกไปไม่ได้ว่า
“จะมาทำไมไม่บอกพรรณก่อน จะได้รีบกลับบ้าน”
“ทีแรกว่าจะไม่มา แต่ไม่มีที่ไหนให้ไปแล้วไง ก็เลยต้องแวะมาหาพรรณเนี่ยแหละ ดีนะที่พรรณยังไม่เปลี่ยนที่ซ่อนกุญแจ” เจ้าตัว
พเยิดหน้าไปทางโต๊ะ
พรรณวษายิ้มบาง ๆ ไม่ว่าอะไร แล้วถามกลับอย่างเป็นห่วงไม่เลิก “กินอะไรมาแล้วหรือยัง”
“ยัง อยากกินผัดบะหมี่ใส่ไข่ฝีมือพรรณ”
แล้ววางกระเป๋าลงจะไปทำให้ แต่แล้วคนที่บอกว่าอยากกินก็ตรงเข้าครัว แซงหน้าเธอไปก่อน ทำมาพูดอ้อน ที่แท้เตรียมของจะผัดบะหมี่เอาไว้พร้อมแล้ว สุดท้ายก็ลงมือทำเอง ไม่ได้รอให้เธอเข้าไปทำให้อย่างที่บอกในตอนแรก
มองแผ่นหลังของเพื่อนสนิทตัวเองเป็นครู่ ก็ค่อยถามอ้อม ๆ ดู “มีอะไรอยากเล่าไหม”
“มี” เสียงตอบสั้น ๆ นั้นฟังแล้วเต็มไปด้วยอารมณ์กรุ่น ๆ อยู่ไม่น้อย ก่อนที่อีกฝ่ายจะขอยืดเวลาออกไปก่อน ค่อยเล่าให้ฟังภายหลัง “แต่ขอกินอะไรก่อนนะ ด้าหิวมากเลย”
แล้วมองอีกฝ่ายกินผัดบะหมี่จนหมดจาน พร้อมน้ำอัดลมอีกสองกระป๋องที่แช่จนเย็นจัด ตบท้ายด้วยทุเรียนในกล่องอีกสามเม็ดใหญ่ ๆ “อยู่นั่นนะ ด้ากินแต่น้ำผลไม้ อยากกินเค้ก อยากกินของทอด ไม่เคยได้กินเลยรู้ไหม”
“ทำไมไม่กินล่ะ”
อีกฝ่ายโบกมือ ทำท่าว่าขี้เกียจพูดถึง พรรณวษามองตาเพื่อนแล้วก็ถามเสียงอ่อนโยน “ทะเลาะกันอีกแล้วหรือด้า”
เจ้าของชื่อเล่น ‘ด้า’ ชื่อเต็มของเธอคือไอลดา เลี่ยงสายตาไม่อยากสบด้วย มองที่จานว่างเปล่าตรงหน้า ตอบเสียงเนือย ๆ
“ทำไมพรรณรู้”
“ได้ยินน้องที่ทำงานคุยกัน”
“อยากร้องไห้นะพรรณ แต่ด้าร้องไม่ออก” ไอลดานั่งเอนหลังพิงพนักอย่างคนหมดแรง เอ่ยเสียงสั่นเล็กน้อย
“มีเหล้าแรง ๆ ไหมพรรณ เบียร์ก็ได้”
พรรณวษาลุกไปเปิดตู้เย็นที่มีทุกอย่างแช่อยู่ในนั้น รวมถึงเครื่องดื่มมึนเมาที่มีแช่ไว้ด้วย นานครั้งที่นึกเบื่อก็จะหยิบมาดื่มสักที ส่งให้ไอลดา
คนมาเยือนรับมา แล้วก็ดื่มพรวดทีเดียวครึ่งขวด นิ่งไปเป็นนาที แล้วถึงได้พูดระบายความอึดอัดไม่สบายใจออกมาเสียยาวเหยียด “พรรณรู้ไหมว่าคุณเอสเขานอนกับเลขาของเขาที่ชื่อนังณีอะไรนั่น ยัง พรรณอย่าเพิ่งพูด อย่าเพิ่งเข้าข้างเขา”
ไอลดายกนิ้วชี้ขึ้นมานิ้วเดียว ส่งสัญญาณให้เธอหยุดก่อน เพราะอารมณ์ของตัวเองกำลังขึ้น “ก่อนหน้านั้น เขาก็นอนกับคนอื่น ๆ มาแล้ว รู้ได้ยังไงใช่ไหม ด้าจ้างนักสืบไง แล้วแม่พวกนั้นก็พร้อมจะแสดงตัวอยู่ตลอด เวลาเจอหน้าด้า ว่าได้งาบคุณเอสแล้ว มีนังคนหนึ่ง ลับหลังคุณเอส มันบอกให้ด้าไปตรวจเลือดด้วยนะ เกลียด! ด้าเกลียด แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดีอะพรรณ ด้าคิดไม่ออก”
พรรณวษาถอนหายใจเบา ๆ นึกห่วงขึ้นเพื่อนกว่าเมื่อแรกที่เห็นรถของเพื่อนจอดที่หน้าบ้านเสียอีก
“แม่ล่ะ ได้เล่าให้แกฟังบ้างไหมเรื่องนี้”
“เล่าแล้ว” ไอลดาเสียงฉุนเล็กน้อย คล้ายกับแม่ของตัวเองก็ยังไม่เข้าพวกกับตน “แม่บอกให้ทนเอา แกว่าผู้ชายมันก็ต้องมีบ้างเรื่องแบบนี้ แต่คือก่อนแต่งคุณเอสไม่ใช่แบบนี้เลยไง พรรณก็เห็นใช่ไหม จำได้ใช่ไหม”
พรรณวษาได้แต่พยักหน้าคล้อยตาม ไม่อยากออกความเห็นกับเรื่องนี้ เพราะเธอยังไม่มีข้อมูลมากพอจะวิจารณ์ใครได้เต็มปากขนาดนั้น ได้แต่ถามออกไปให้อีกฝ่ายพูดสิ่งที่อัดอั้นออกมาให้หมด จะได้สบายใจขึ้น
“แล้วด้าจะเอายังไง”
“อยากหย่า ด้าไม่อยากทนแบบนี้อีกแล้วพรรณ”
ได้ยินการตัดสินใจของเพื่อน พรรณวษาเริ่มขยับตัวนั่งใหม่ คิดว่าเรื่องไม่ใหญ่ไม่โต ตอนนี้ทำท่าจะลุกลามมากกว่าที่คิดแต่แรกเสียแล้ว
“ใจเย็น ๆ ก่อน อย่าเพิ่งคิดไปถึงขั้นนั้น ด้านึกถึงวันที่รักกันมาก ๆ ไว้ก่อนสิ พรรณว่าด้าลองเปิดอกคุยกับคุณเอสไปเลยตรง ๆ ดีไหม แบบคุยกันจริงจังเลย ให้เขาพูดออกมาว่าความจริงเป็นยังไง แล้วลองหาทางปรับดู ว่าเขาจะทำยังไง แก้ปัญหาเรื่องแบบนี้ยังไง บางทีเขาอาจไม่ได้ทำแบบนั้นจริง ๆ ก็ได้ หรือถ้าเป็นเรื่องจริง ก็บอกเขาว่าด้าทนเรื่องนี้ไม่ได้ เขาอดทนเพื่อด้าได้ไหม เลิกพฤติกรรมนอกลู่นอกทางเพื่อด้าได้หรือเปล่า”
ไอลดาลดสายตาลงมองจานเปล่า ซากกระป๋องน้ำอัดลมตรงหน้า ถามเสียงเลื่อนลอย “ถ้าเขาบอกว่าไม่ได้ล่ะพรรณ”
พรรณวษาทอดเสียงปลอบอย่างอ่อนโอนให้รู้ว่าเธออยู่ขางเพื่อนเสมอ “ด้าอย่าเพิ่งคิดไปก่อน เชื่อพรรณสิ”
ไอลดาเหม่อลอยเป็นครู่ แล้วหันมองเธอด้วยสายตาตรอมตรม ทุกข์ใจอย่างที่ซุกซ่อนไม่มิด เอื้อมจับมือเธอไว้อย่างคนต้องการที่พึ่ง
“ไม่มีใครหวังดีกับด้าแบบพรรณอีกแล้ว”
“ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่ ไม่ดีกับเพื่อนจะให้ไปดีกับใคร”
ไอลดากะพริบตาปริบ ๆ แล้วใช้ลูกอ้อนกับเธอ
“งั้น... คืนนี้ขอนอนด้วยนะ”
พรรณวษายิ้มอย่างยินดี บอกว่าได้อยู่แล้ว ค่อยลุกไปหาชุดมาให้เพื่อนใส่นอน ไอลดาอาบน้ำ นอนหลับไปไล่ ๆ กันกับเธอ นึกแปลกใจที่เพื่อนหลับอย่างง่ายดาย ทีแรกคิดว่าจะนอนคุยกันทั้งคืนแล้วเสียอีก เครียดแต่ก็นอนหลับอยู่นี่นา อดยิ้มแล้วขยับผ้าห่มคลุมให้อีกฝ่ายไม่ได้ ก่อนปิดตาลงนอน หลับตามหลังไปติด ๆ
“อยากไปเที่ยว”
เสียงไอลดาดังออกมาก่อนตัวในตอนสาย หลังตื่นนอนแล้วก็ลุกมาหาเจ้าของบ้าน ที่กำลังยืนใช้ช้อนคนแก้วกาแฟหอมกรุ่นอยู่ในครัว
“ที่ไหน” ถามเพื่อนออกไปสั้น ๆ ชูแก้วว่าเอาไหม เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าตอบว่าเอาด้วย ค่อยเดินไปเปิดตู้เก็บของ หยิบแก้วมารินกาแฟส่งให้
“ใกล้ ๆ นี่ดีไหมพรรณ พรรณได้หยุดกี่วันนะ”
“ห้าวัน” พรรณวษาเลือกตอบคำถามหลังก่อน แล้วมองหน้าเพื่อนอึดใจหนึ่ง นึกทบทวนว่าตนมีธุระที่ไหนหรือไม่ในห้าวันหยุดยาวแบบนี้ ได้คำตอบว่าไม่มี จึงบอกสั้น ๆ ว่า “ไปสิ”
ไอลดายิ้มออก กระนั้นแววตาก็พอมองเห็นร่องรอยไม่สบายใจข้างในนั้นอยู่ แล้วถึงได้เข้าห้องแพ็กกระเป๋า จับโยนขึ้นรถคันหรูของไอลดา ที่เธอแทบไม่ค่อยได้ขึ้นนั่งบนนั้นเท่าไรนัก มุ่งหน้าสู่จังหวัดติดทะเลใกล้ ๆ อย่างที่ไอลดาปรารถนาในเวลาต่อมา
“ไหนว่าไปใกล้ ๆ นี่ไง”
พรรณวษาถามด้วยเสียงงุนงงนิด ๆ เมื่อเห็นว่าเพื่อนเบนรถไปอีกทางที่ป้ายชี้บอก แทนที่จะเป็นจังหวัดชายทะเลติดกรุงเทพอย่างที่ว่าในคราแรก
“อยากไปไกล ๆ แล้วอะ พรรณดูรถเข้าพัทยาดิ ติดยาวขนาดนี้ เราไปทะเลแถบจันทบุรีไม่ก็ตราดดีกว่า เงียบดี สงบด้วย”
มองเพื่อนด้วยสายตาเอือม ๆ อดบ่นไม่ได้
“ตลอดเลยด้าน่ะ เปลี่ยนแผนตลอด”
จังหวัดที่ไอลดาเลือกขับรถมาเรื่อย ๆ มีเกาะที่ต้องนั่งเรือเฟอร์รีข้ามฟากไป เจ้าตัวจึงเหยียบคันเร่งมาตลอดทาง จนทำเวลาทันในที่สุด พ่นลมหายใจหันมายิ้มใส่ตาเธอ
“ทันเรือข้ามฟากเที่ยวสุดท้ายพอดีเลยพรรณ”
พรรณวษาไม่ได้เอ่ยอะไร สองสาวพารถขึ้นเรือเฟอร์รีข้ามไปยังเกาะที่เป็นจุดหมาย พารถขับออกจากท่าเรือจนไปถึงเกือบท้ายเกาะ ก็จอดแล้วมองเข้าไปที่ด้านในของรีสอร์ต หันมาหาเธอ คล้ายถามไปอย่างนั้นเอง
“เราพักที่นี่กันไหมพรรณ”
พรรณวษายังไม่ทันเอ่ยอะไร เพื่อนพารถเข้าไปจอดด้านในนั้นแล้ว รอจนอีกฝ่ายดับเครื่องยนต์ ก็ค่อยเก็บซากขยะลงไปทิ้งที่ถังใกล้ ๆ นั้น ขณะรวบรวมเก็บจนหมดแล้ว พบว่าไอลดายืนมองนิ่งไปทางด้านหลังของรีสอร์ต เลยตามลงมายืนบ้าง แล้วถามด้วยความสงสัย
“มีอะไรหรือด้า”
ไอลดายิ้มอย่างดีใจปนตื่นเต้น ก่อนจะสาวเท้าออกเดินเร็ว ๆ ไปยังจุดที่สายตาทอดมองค้างเป็นนาทีเมื่อครู่นี้ โดยไม่ได้ตอบคำถามของเธอ ว่ามัวมองอะไรอยู่เป็นนาน
พรรณวษาจึงต้องออกเดินตามเพื่อนไป ปากก็ร้องถามอีกฝ่ายว่า “ด้าจะไปไหน”
“ด้าว่า ด้าเจอคนรู้จักแหละ”
พรรรณวษาสาวเท้าตามจนทัน ถามสั้น ๆ กลับไปว่า “ใคร”
“พี่ธรณ์” ไอลดาตอบโดยไม่หันมองที่เธอเลยสักนิด
พรรณวษาชะลอฝีเท้าลง ตามองตามหลังเพื่อน ที่กำลังเดินตรงไปยังทางที่เป็นตรอกเล็ก ๆ ตามไฟเอาไว้แค่พอให้มันไม่มืดเพียงเท่านั้น
เจ้าตัวมั่นใจได้อย่างไร ว่าที่เห็นเพียงไกล ๆ จะใช่ธรณ์ อัศวหาญญ์วรกุล อดีตคนรักที่เลิกรากันไปเมื่อสี่ปีก่อน