10

3790 Words
ธรณ์ขับรถออกจากบ้านแต่เช้าในวันหยุดสุดสัปดาห์ คาดหวังอยู่ในใจว่าคงได้พบผู้หญิงหน้านิ่งที่รีสอร์ตลวงโลกนั่นอีก ตั้งแต่พบกันคราวก่อน เขาก็ลงทนสืบประวัติของพรรณวษาเพิ่มเติม โดยให้เหตุผลกับตัวเองว่าเพราะพรรณวษาไปพัวพันกับกลุ่มคนหลอกลวงเหล่านั้น จึงเป็นที่มาของการสืบเสาะหาประวัติเจ้าหล่อนในครั้งนี้ แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรมากมายนัก ดูเหมือนว่าพรรณวษาก็เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่ทั้งชีวิตมีเพียงแค่ทำงานและกลับบ้าน เพื่อนสนิทของเธอคือไอลดา อดีตคนรักของเขา นอกนั้นไม่มีอะไรที่เขารู้มากขึ้นเลย ธรณ์ขับรถไปก็ครุ่นคิดเรื่องพวกนั้นในหัวไปตลอดทาง ถึงแล้ว พบว่าที่นี่ดูเงียบเชียบกว่าครั้งแรกที่เขามา กวาดตาไปรอบ ๆ ไม่นาน มีคนเข้ามาถามเขาด้วยประโยคแบบครั้งแรกแทบไม่ผิดเพี้ยนเลยสักนิด           “ติดต่อเรื่องอะไรหรือคะคุณ”           “ผมสนใจเรื่องการละทิ้งกิเลส” ยังพูดไม่ทันจบดี ทางนั้นก็สวนด้วยน้ำเสียงที่ถูกฝึกมาให้เย็น ๆ เนือย ๆ ว่า           “อ้อ มาเข้าร่วมเสวนาใช่ไหมคะ”           ธรณ์บอกจุดประสงค์ออกไปตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม “วันนี้ผมอยากคุยกับท่านอีก”           คนที่ออกมารับหน้าเขาลดตามองต่ำลงหน่อยเดียว บอกด้วยท่าทีติดขัด แบบที่ธรณ์เห็นว่าแบบนี้คงมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นที่นี่เป็นแน่           “วันนี้ท่านไม่สะดวกพูดคุยกับใครค่ะ”           สังเกตอาการปกปิดของอีกฝ่ายก็ยิ่งแคลงใจ และเมื่อเข้าไปนั่งในห้องแบบครั้งแรก ก็ไม่พบคนที่เขาอยากเจอเลยสักคน ไม่ว่าจะเป็นชายคนนั้นที่เหมือนผู้นำของที่นี่ รวมถึงพรรณวษาด้วย           เลยทำทีขอเข้าห้องน้ำ ตั้งใจว่าจะอยู่รอดูช่วงค่ำอีกที แล้วเดินเตร่ดูอะไรรอบ ๆ รีสอร์ต จนไปพบป้าวิราสินีของแจ็คกำลังย่อ ๆ ยืน ๆ ก้มทำอะไรอยู่ที่แปลงดินทางด้านหลังนั่น           “คุณป้า”           ธรณ์เรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงดีใจ จากหญิงในสังคมชั้นสูง นุ่งห่มสวมแต่อาภรณ์และเครื่องประดับหรูหราราคาแพง ตอนนี้สวมเพียงชุดขาว ผมเกล้ามัดง่าย ๆ ไม่แต่งหน้าอีกต่างหาก           ป้าวิราสินีเงยหน้าขึ้น พอเห็นว่าเป็นเพื่อนของหลานชายที่ตนรักใคร่ดี ก็วางมือจากงานเก็บผัก ปัดดินในมือ ส่งยิ้มให้           “ธรณ์ มาได้ยังไงลูก”           ธรณ์มองไปรอบ ๆ เห็นว่าไม่มีใครแถวนั้น ค่อยเข้าไปหาหญิงสูงวัยที่เขาตั้งใจมาตามหาท่านในคราแรก มองดูท่านแล้ว ค่อยลดเสียงลง บอก “ผมไม่เห็นคุณป้าที่บ้านเลย พอทราบจากแจ็คว่าคุณป้ามาอยู่ที่นี่ เลยตามมาดูน่ะครับ คุณป้าจะกลับเลยไหม ผมจะได้พาออกไปเลย นี่ถูกกักตัวไว้ใช่ไหมครับ โทรศัพท์คงจะถูกยึดไปด้วย มาครับ ตามผมมาทางนี้”           ธรณ์ดึงแขนป้าวิราสินีให้ตามไปยังที่ที่เขาจอดรถเอาไว้           “ป้าไม่ได้ถูกใครบังคับหรือหลอกมาหรอกนะธรณ์” ป้าวิราสินียื้อไว้ ไม่ยอมเดินตาม บอกด้วยรอยยิ้ม ตามองไปโดยรอบแล้วหันกลับมาคุยด้วย ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดชื่น “ที่นี่อากาศดีมาก แล้วยังได้อยู่กับคนที่คิดอะไร ๆ เหมือนกัน ก็ยิ่งน่าอยู่ไปกันใหญ่ ป้าคงยังไม่กลับบ้านตอนนี้หรอก ป้าชอบที่นี่ ชอบท่านที่ให้แนวคิดอะไรดี ๆ อยู่เสมอ คงอยู่ไประยะหนึ่งก่อนน่ะ ธรณ์ได้ฟังที่ท่านพูดหรือยัง ชอบไหมลูก”           ธรณ์ฟังป้าวิราสินีเล่าต่อจากนั้น ว่าท่านมาฟังในตอนแรกก็นึกชื่นชมทุกอย่างที่นี่ในทันที แล้วก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างที่นี่กับบ้าน จนวันนี้ท่านตัดสินมาอยู่กึ่งถาวรตามคำชวนของท่าน           ธรณ์มองป้าของแจ็คแล้วพยายามถามว่าถูกหลอกไปแค่ไหนก็ยังไม่ทันได้ถาม ตะล่อมคุยไปก่อน โดยกล่าวอ้างไปถึงผู้นำคนนั้น “ผมเคยคุยกับท่านแล้วเหมือนกันครับ มาวันนี้ก็ว่าจะกลับมาคุยอีก  แต่คนของท่านบอกว่าท่านไม่สะดวกคุย”           “ท่านไม่ค่อยสบาย” ป้าวิราสินีลดเสียงลง เพื่อบอกเล่าเรื่องราวอย่างคนวงใน ธรณ์ไม่ได้ถามต่อ แม้จะแปลกใจอยู่บ้าง นึกถึงท่าทีของคนที่บอกเขาว่าท่านไม่สะดวกจะเข้าร่วมเสวนา ก็ทำให้นึกเชื่อมโยงกันได้พอดี พยักหน้าตอบรับเหมือนกับว่าเขาเองก็พอจะรู้มาบ้างแล้ว ถามเพื่อจะได้ล้วงข้อมูลให้ลึกมากขึ้น “คุณป้าได้ไปเยี่ยมท่านบ้างหรือยังครับ”           “ยังหรอก วันแรกที่ท่านหมดสติ เห็นว่าพาส่งโรงพยาบาลใกล้ ๆ นี่แหละ แต่หลานสาวของท่าน หนูพรรณน่ะขอย้ายไปโรงพยาบาลที่ท่านรักษาตัวอยู่ในกรุงเทพแล้ว คงเฝ้ากันที่นั่น เห็นเขาว่ากันว่างดเยี่ยมด้วยนะ นี่ป้าก็เป็นห่วงท่านอยู่ ไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไรบ้าง หนักขนาดไหนก็ไม่รู้”           ธรณ์ทวนถามกับป้าวิราสินี “หนูพรรณหรือครับ”           “หนูพรรณวษาไง เมื่ออาทิตย์ก่อนก็เห็นมาอยู่นี่ หลานสาวคนเดียวของท่าน เห็นว่าเดินเรื่องพาท่านไปรักษากันวันนั้นเลย”           ธรณ์ไม่ได้ฟังรายละเอียดต่อ เมื่อได้ยินชื่อแล้วก็ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นคนเดียวกันกับเพื่อนของไอลดา ที่แท้พรรณวษาเป็นหลานสาวของชายคนนั้นเอง แล้วอุบเงียบทำไม พยักหน้าตามเบา ๆ แล้วถามต่อ “อยู่โรงพยาบาลอะไร คุณป้าพอทราบไหมครับ”           ป้าวิราสินีส่ายหน้าเป็นคำตอบว่าท่านเองก็ไม่รู้ คนที่นี่ไม่รู้เลยสักคนว่าผู้นำจิตวิญญาณของพวกตนพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลอะไร รู้เพียงแค่ว่าอยู่ในกรุงเทพเพียงเท่านั้น แล้วชวนให้เขาฟังเสวนาในตอนค่ำวันนี้ด้วย ธรณ์มองสบตาตอบท่าน แล้วออกปากชวนอีกครั้ง           “ทุกคนเป็นห่วงคุณป้ามากนะครับ ถ้าคุณป้าอยากใช้ชีวิตแบบนี้ ขุดดินหลังบ้านปลูกผักเอาก็ได้นี่นา กลับบ้านเราเถอะครับ”           ป้าวิราสินียิ้มกว้างนึกขันชายหนุ่ม           “ป้าอยู่นี่สบายดี ธรณ์ก็เห็น ไม่ต้องห่วงป้าหรอกลูก ฝากบอกตาแจ็คกับแม่เขาด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วงป้า”           ธรณ์มองสีหน้า สังเกตป้าวิราสินีแล้วก็พบว่าท่านสุขสบายอย่างที่ปากท่านว่าจริง ตัดสินใจล่าถอยกลับในตอนนั้นเลย ขึ้นรถได้เขาโทรบอกแจ็คว่าเขาพบป้าของอีกฝ่ายแล้ว และท่านยังไม่อยากกลับ อีกทั้งยังดูปกติสุขดีอยู่ แนะทางเพื่อนว่าให้ปล่อยท่านก่อน ทางที่ดีควรหาใครมาอยู่กับท่านที่นี่ด้วยสักคน เพื่อจะได้เป็นหูเป็นตา คอยรายงานสถานการณ์ทางนี้ด้วย เอาคนที่ทัศนคติแบบเดียวกัน จะได้ไม่ดูว่าเป็นการจงใจว่าให้มาตามสืบมากจนเกินไปนัก           วางสายจากเพื่อน ธรณ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมองอย่างลังเลเป็นนาที ค่อยตัดสินใจต่อสายอีกครั้ง                       ไอลดากำลังหัวเสีย เมื่อนึกไม่ออกว่าเคยเก็บชุดเครื่องประดับไข่มุกเอาไว้ที่ไหน ไม่ใช่ของมีราคามากมายอะไรนัก แต่เมื่อหาไม่พบมันก็คาใจ ทำเอาหงุดหงิดงุ่นง่านบอกไม่ถูก นั่งนึกไปว่าครั้งสุดท้ายเธอสวมชุดเครื่องประดับพวกนั้นเมื่อไรกัน พอความจำราง ๆ โผล่เข้ามาในหัว ว่าเป็นวันฉลองแต่งงานเมื่อปีก่อน และคืนนั้นเธอกับหัสดินทร์ก็แวะไปรำลึกความหลังกันที่ห้องชุด ก็อาจเป็นได้ที่เธอจะลืมมันไว้ที่นั่น ต้องแวะไปดูให้คลายใจ ดีที่เป็นเส้นทางไปเยี่ยมอาสองของพรรณวษาพอดี ตั้งใจว่าจะแวะที่ห้องชุดก่อน ค่อยเลยไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนสนิทต่อจากนั้น พรรณวษาเล่าว่าท่านเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ และอยู่ในช่วงพักฟื้นพอดี จึงหาของบำรุงติดมือไปฝากท่านด้วย ไอลดาแวะไปเยี่ยมเกือบทุกวันตั้งแต่รู้ข่าว นึกอะไรไปเพลิน ๆ เรื่อย ๆ เดี๋ยวเดียว เธอขับรถมาถึงลานจอดที่อาคารห้องชุดนั้นแล้ว เปิดประตูลงไปด้านล่าง เดินผ่านประตูถึงหน้าลิฟต์แล้ว ค่อยควานมือเข้าไปกระเป๋าถือ เมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าดังแว่วอยู่ในนั้น หยิบขึ้นดู แล้วก็ยิ้มให้หน้าจอ กดรับสายในวินาทีต่อมา           “ค่ะพี่ธรณ์”           “พี่โทรมากวนหรือเปล่า” ปลายสายถามด้วยเสียงเรื่อย ๆ ไอลดายิ้มแล้วเดินเลี่ยงออกจากหน้าลิฟต์ เพราะไม่ต้องการให้การติดต่อกับอดีตคนรักติดขัด ตัดสายไปเสียก่อน ตั้งแต่แยกย้ายกันที่บ้านของพรรณวษาครั้งนั้น เธอกับธรณ์ไม่ได้ติดต่อหากันเลย นี่นับว่าเป็นครั้งแรกก็ว่าได้           “ไม่หรอกค่ะ พอดีด้าแวะมาที่คอนโดน่ะค่ะ แล้วว่าจะเลยไปเยี่ยมอาของพรรณด้วย”           ธรณ์ได้ยินแล้วก็ทำทีเป็นถามราวกับชวนคุยไปอย่างนั้น ไม่ได้มีสาระอะไร “ที่ไหนหรือ”           “ที่...” ไอลดาบอกชื่อโรงพยาบาลปลายทางออกไป เท่านั้นเองธรณ์ก็รู้ว่าจุดหมายปลายทางของเขาคือที่ไหน           นิ่งไปครู่เดียว ธรณ์ถามอดีตคนรักอย่างเป็นห่วงอยู่ลึก ๆ           “วันนั้น ด้ากับเขาคงไม่ได้มีเรื่องอะไรกันใช่ไหม”           จบประโยค ต่างก็เสียดในอกในใจด้วยกันทั้งสองคน           ไอลดาเม้มปากแน่น สะกดอารมณ์อย่างหนึ่งเอาไว้ บอกด้วยเสียงว่าเธอไม่เป็นอะไรเลย “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็ในเมื่อเราบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง ใครจะมาว่าเราได้”           “ดีแล้วที่ไม่มีปัญหากัน เพราะถ้ามี พี่คงเสียใจมากที่ทำให้ด้าต้องร้องไห้อีก”           ไอลดาฝืนยิ้มกับตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นมองโคมไฟตกแต่งทางด้านบน กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา นึกเสียใจที่ตัดสัมพันธ์กับธรณ์ในวันนั้น           “ด้าไม่ร้องหรอกค่ะ” บอกเขาพร้อมยิ้มฝืน ๆ           ชวนปลายสายสนทนาเรื่องอื่นอีกเป็นครู่ แล้วต่างคนต่างก็วางสายตัดการสนทนาจากกัน ไอลดาสูดลมหายใจเบา ๆ ปรับอารมณ์ตัวเองจนดีแล้ว ตรงเข้าลิฟต์ เพื่อไปยังห้องชุดที่ด้านบน           ใจหวนนึกถึงหัสดินทร์ หลังจากที่เขาไปรับเธอที่บ้านของพรรณวษาแล้ว และพูดจาข่มขู่เธออีกหลายประโยค สามวันหลังจากนั้น เขาก็เข้ามาขอโทษพร้อมกับสร้อยเส้นเล็ก ๆ น่ารัก ๆ แต่หรูหราไม่น้อย บอกว่าเขาเครียดเรื่องงาน เครียดเรื่องที่เธอออกจากบ้าน ไปไหนโดยไม่บอกเขาสักคำ พอเขาออกปากง้อ ความสัมพันธ์ก็คล้ายจะดีขึ้น เพิ่งไม่กี่วันก่อนนี่เอง ที่กลับมาเย็นชาแบบเก่าอีกครั้ง หลังจากที่จู่ ๆ เขาก็ไม่กลับเข้าบ้าน พอโทรศัพท์ถาม ก็หาว่าเธอจุกจิก ตามเขามากเกินไป ไม่มีเวลาให้หาเงินมาซื้อของปรนเปรอเธอบ้างเลย สุดท้ายก็จบลงด้วยการทะเลาะกันอีก           คิดแล้วหงุดหงิด ไม่ใช่ว่าแอบไปกกกับนังเลขาหน้าซิลิโคนนั่นหรอกนะ คิดมาถึงตรงนี้ ไอลดาหยุดยืนที่หน้าห้องชุดพอดี เปิดประตูห้องเข้าไปแล้ว ถึงได้เห็นว่ามีคนเดินพ้นออกจากห้องนอนของตัวเอง มองอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนที่ริ้วความโกรธจะแล่นพล่านจากล่างขึ้นมาที่สมอง ถามตวาดดังลั่นห้อง           “เข้ามาทำอะไรที่นี่”           กัลยาณี เลขาสาวสวยของหัสดินทร์ ยิ้มบาง ๆ บอกด้วยน้ำเสียงราวกับเป็นผู้ชนะว่า “ฉันเอาเอกสารมาให้บอส... ค่ะ” หน่วงเวลาเป็นนานกว่าจะเอ่ยคำว่าค่ะออกไปได้           “เอกสารบ้าอะไรถึงได้ไปอยู่ในห้องนอน เธอควรรู้ขอบเขตบ้างนะ ว่าเลขาน่ะทำงานแค่ตรงไหน อย่าให้มันล้ำเส้นจนเกินไปนัก” ไอลดาจงใจกดอีกฝ่ายด้วยความโมโห แต่ก็ไร้ผล เมื่อทางนั้นชั่วโมงบินสูงใช่ย่อย           “บางทีบางครั้งก็ต้องตามใจบอสบ้างน่ะค่ะ เขาชอบให้ทำเกินหน้าที่บ่อย ๆ”           “นี่เธอ!”           “ฉันหมายถึงเรื่องงาน คุณก็อย่าซีเรียสนักซี้” กัลยาณีว่าด้วยน้ำเสียงยั่วยุ หัวเราะออกมาเบา ๆ “แบบนี้ไง บอสถึงตายด้าน ไม่อยากเอา แล้วก็มาซมซานมาหาฉันอยู่เรื่อย”           ไอลดาสุดจะระงับอารมณ์ เดินเข้าไปหากัลยาณี แต่แล้วกลับได้ยินเสียงสามีตัวเองเดินตามหลังออกมาจากห้องนอน ถามเสียงเข้ม           “มีอะไรกันหรือ”       “ไม่มีอะไรหรอกค่ะบอส ภรรยาของบอสเธอคงเข้าใจผิด พอดีณีเอาเอกสารมาให้บอสน่ะค่ะ”           “เอกสารไม่สำคัญ คุณรอที่ออฟฟิศก็ได้นี่ มาทำไม”           หัสดินทร์ถามเลขาของตนเองด้วยเสียงเครียด ๆ กัลยาณีรู้อารมณ์ของชายหนุ่มดี จึงหลบตาลงแล้วบอก “ขอโทษค่ะ พอดีว่าแฟ้มนี้เป็นเอกสารด่วน ณีทราบว่าบอสพักที่นี่ ก็เลยเอามาให้”           เขายื่นมือออกไปรับแฟ้มมาเปิดออกอ่านไว ๆ ก่อนเซ็นชื่อส่งกลับคืน           “หมดธุระของคุณหรือยัง”           กัลยาณีเม้มปาก มองชายที่เธอคิดว่ากุมเขาไว้ได้แล้วด้วยแววตาน้อยใจปนเจ็บใจอยู่นิด ๆ ค่อยเอ่ยขอตัวเพื่อกลับเข้าสำนักงาน ไอลดาถามขึ้น เมื่อคล้อยหลังกัลยาณีไปแล้ว                  “มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”           “ด้าเรียกจิกคนอื่นแบบนี้ไม่เห็นน่ารักเลย”           หัสดินทร์แกล้งเบี่ยงอารมณ์ของภรรยา แต่ไอลดาไม่หลงไปตามทางของเขา พ้อเขากลับอย่างโมโห           “ด้าไม่เคยน่ารักมานานแล้วล่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่เที่ยวไปคว้าเอานังพวกนั้นมาหลับนอนไปทั่วแบบนี้หรอก แล้วตั้งแต่เมื่อไรกัน ที่แม่นั่นเข้านอกออกที่นี่ได้ง่าย ๆ เหมือนกับเป็นห้องของมันน่ะ”           “ณีก็ไปทั่ว เขาเป็นเลขาของผมนะด้า”           “ไปทั่วอย่างนั้นหรือคะ รวมถึงบนเตียงของคุณด้วยไหม”           หัสดินทร์มองตอบอย่างระอา แต่ไม่พูดอะไรเป็นการเติมไฟ จนทำให้ต้องมีปากเสียงมากกว่าเดิม เขาเคยเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วเรื่องผู้หญิง แค่ไม่พูด ไม่ได้แสดงตัวว่าเพลย์บอยเท่านั้นเอง และการแต่งงานกับใครสักคน ก็ใช่ว่าจะหยุดเขาได้ “ด้าว่า เราควรต้องถอยกลับไปทบทวนเรื่องของเราใหม่ ดีไหมคะ” หัสดินทร์พยักหน้าเบา ๆ ตอบรับอย่างเบื่อหน่าย           “ดีเหมือนกันนะ” ไอลดายืนมองเขาอึดใจเดียว เลี่ยงออกจากห้องชุดห้องนั้นไป พร้อมน้ำตาที่คลอเต็มหน่วย เข้าลิฟต์อย่างเลื่อนลอยไม่ค่อยมีสติเท่าไรนัก จนประตูเหล็กเลื่อนบรรจบเข้าหากันพอดี กัลยาณีจึงค่อยเดินออกจากเหลี่ยมมุมของอาคารบนชั้นนั้น มองตามหลังด้วยรอยยิ้มดูแคลน พาตัวเองเข้าไปในห้องชุดของผู้เป็นนายอีกครั้ง เพื่อปรนเปรอ แสดงตัวว่าตนเองนั้นดีกว่าเมียแต่งของเขามากขนาดไหน แน่นอนว่าหัสดินทร์เองก็ตอบรับอย่างดุเดือดหนำใจที่กลางห้องชุดเช่นกัน             ธรณ์ขับรถตรงมาที่โรงพยาบาลทันที หลังรู้แล้วว่าเป้าหมายของเขานอนพักอยู่ที่ไหน แต่เมื่อเข้าไปสอบถามกับทางประชาสัมพันธ์ เพื่อขอเข้าเยี่ยมคนไข้ ทางนั้นกลับแจ้งว่าญาติสั่งงดเยี่ยม สายตาเหลือบไปเห็นพรรณวษาเข้าพอดี จึงตามหลังไปให้ห่างมากพอที่อีกฝ่ายจะไม่เห็นเขาเข้าเสียก่อน เธอตรงไปยังอาคารผู้ป่วยใน หายเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่ง ดีที่เขาตามทัน จึงไปหยุดยืนมองป้ายเลขห้อง มองชื่อ ค่อยปลีกตัวออกไปคอยที่อีกจุด ที่ปลอดภัยมากพอ และจะไม่มีใครเห็นเขาเข้าเสียก่อน รอเป็นนานกว่าที่พรรณวษาจะเดินออกมาจากห้องนั้น จึงตามเจ้าหล่อนไปอีกที เห็นเดินพ้นรั้วโรงพยาบาล ขึ้นรถประจำทางไปแล้ว ค่อยกลับหลังไปยังห้องพักผู้ป่วยที่หมายตาเอาไว้ ไม่ลืมแวะซื้อของฝากที่มีขายในร้านค้าใกล้ ๆ ติดมือไปด้วย           ธรณ์เยี่ยมหน้าเข้าไปแล้ว เห็นคนไข้นั่งพิงเตียงปรับระดับมองจอทีวีอยู่ ทักทายนำออกไปก่อน “สวัสดีครับท่าน” อาสองของพรรณวษาวางรีโมตในมือลง เห็นว่ามีคนมาเยี่ยมก็ยิ้มในหน้า ทักทายกลับอย่างอารมณ์ดี           “อ้าวคุณ สวัสดี เชิญนั่งก่อน”           ธรณ์มองคนป่วยที่ใบหน้าซีดเซียวอยู่บ้าง ค่อยแสดงเจตจำนงของตัวเอง “ผมทราบว่าท่านไม่สบาย แต่ญาติแจ้งความประสงค์ไม่ให้เข้าเยี่ยมน่ะครับ”           อาสองมองชายตรงหน้า ผู้ที่เป็นคนนอกที่เข้ามาเยี่ยมตนได้เป็นคนแรกก็ยิ้มอย่างดีใจ บ่นไม่จริงจังนัก           “ถึงว่าสิ ว่าทำไมไม่มีใครมาเยี่ยมเลยสักคน”           อาสองไม่มีท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใด บ่นต่อ “นี่ผมไม่ได้เป็นอะไรมากเลยนะ แต่หลานผม เขาชอบทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตอยู่เรื่อย ที่จริงผมว่าผมหายดีแล้วด้วย ไม่รู้หลานตัวดีไปคุยยังไงกับหมอใหญ่ เขาเลยไม่ยอมให้ผมกลับสักที”           ธรณ์มองใบหน้าของคนป่วยเห็นว่ายังซีดเซียวอยู่ ก็นึกอยากรู้อาการของท่าน บ่นอย่างเห็นใจ ทำทีเป็นขอมาเยี่ยมในวันถัดไปตอนท้ายประโยคด้วย “เบื่อแย่เลย อย่างนั้นผมแวะมาเยี่ยมทุกวันดีไหมครับ”           “ได้สิ ได้เลย” อาสองที่มีสีหน้าหงอยเงาตอบรับอย่างดีใจ           “ท่านจะได้ไม่เหงาด้วย ของเยี่ยมผมวางไว้ตรงนี้นะครับ”           ธรณ์บอกเนิบ ๆ เลียนจังหวะจนแทบเหมือนอีกฝ่าย แล้วตรงไปวางตะกร้าของฝาก ที่มีผลไม้และเครื่องดื่มบำรุงร่างกายอัดจนแน่นที่โต๊ะข้าง ๆ พร้อมกับปักหลักนั่งลงคุยด้วย “หลานผม เรียกผมว่าอาสอง ถ้าไม่รังเกียจ คุณเรียกผมแบบหลานก็ได้นะ อายุคงไม่ห่างกับยัยพรรณเท่าไรนักหรอก” “ครับ คุณอา” ธรณ์ตอบรับด้วยความยินดีที่เข้าถึงอีกฝ่ายได้อีกขั้น แล้วอยู่คุยกับชายแก่วัยกว่าเป็นนาน ค่อยขอตัวลากลับในเวลาต่อมา แล้วตรงไปหาแจ็คที่บ้านหลังจากนั้น แจ็คทักอย่างดีใจที่เห็นเพื่อนสนิทแวะมาเยือนที่บ้าน “ทางนี้ก่อนเว้ยเพื่อน น้องสาวแฟนกูเพิ่งกลับจากบอสตัน” แนะนำอย่างมีลุ้น เมื่อเห็นสายตาของหญิงสาวเป็นประกายวาววับทีเดียวที่เห็นธรณ์ พอมองออกล่ะว่าสนใจเพื่อนของตนเอง           “ธรณ์ครับ” ชายหนุ่มจากบ้านอัศวหาญญ์วรกุลแนะนำตัว ด้วยชื่อเดียวสั้น ๆ อย่างสุภาพ ไม่มีทีท่าเกินเลยกว่านั้นให้แจ็คได้ลุ้นเอาเสียเลย           “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะพี่ธรณ์ เชอรีนค่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นส่งมือให้เขาจับ ธรณ์ตอบรับไมตรีอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม           “เช่นกันครับ” แล้วหันมาหาแจ็ค ออกปากขอคุยธุระอะไรด้วยเป็นการส่วนตัว ปลีกตัวออกมาแล้วก็รีบบอกเรื่องป้าวิราสินีต่อจากที่คุยสายกันไปรอบหนึ่งแล้ว           พอออกมาจนพ้นสาว ๆ แล้ว แจ็คก็รีบกระแซะถามทันที           “เป็นไงมั่งญาติแต้ว น่ารักไหมล่ะมึง”           ธรณ์ส่ายหน้าอย่างเอือม ๆ “นี่มึงไม่ห่วงป้ามึงเลยนะแจ็ค จ้องแต่จะจับสาวโยนให้กู” “ก็น้องเขาน่ารักดี เลยอยากให้มึงรู้จักเอาไว้” โบกมือให้เพื่อนพอแค่นั้น “มึงจะเอายังไงต่อเรื่องป้า แล้วคนที่กูบอกให้หาไปประกบ มึงหาได้หรือยัง”           “กูว่ากูไปเองเลยดีกว่า”           “จะไม่เสียเรื่องใช่ไหม ถ้ามึงไปเองน่ะแจ็ค”           “กูไม่รู้ แต่หาใครไม่ได้ ไว้ใจใครไม่ได้ กูก็ต้องไปเองสิวะ”           แจ็คตัดสินใจแล้วว่าจะไปอยู่กับป้าวิราสินี แล้วรอจังหวะครู่หนึ่ง วกกลับไปที่เรื่องของสาว ๆ อีกครั้ง “สรุปว่าไง ญาติแต้วมึงจะเอาไหม น่ารักดีนะเว้ย หน้าที่การงานก็ดี นี่เห็นน้องเขาเล่าว่าแม่ให้ไปฝึกงานตำแหน่งเล็กในบริษัทก่อน ค่อยไต่ขึ้นไปถึงผู้บริหาร ท่าทางไม่กะโหลกกะลานะเว้ย สวย เก่ง น่ารักอ่อนน้อมขนาดนี้ ทำไมมึงไม่ลองเปิดใจดูหน่อยวะธรณ์”           “ไวไป” ธรณ์ปัด พร้อมกับอ้างธุระเป็นเหตุในการกลับบ้าน           เชอรีนมองตามจนรถของชายหนุ่มที่บังเอิญได้เจอเขาที่บ้านของแจ็ค เมื่อญาติผู้พี่ชวนให้แวะมาหาแฟนหนุ่มของตัวเองก่อนเลยไปเดินเลือกซื้อของด้วยกัน ทีแรกไม่อยากมาด้วยซ้ำ พอมาแล้วได้พบธรณ์ที่นั่น เลยทำให้อารมณ์มัว ๆ ขุ่นหมองจางหายไปในทันที เชอรีนมั่นใจในความสวย ความเก่ง ความใจกล้าของตัวเองอยู่ไม่น้อย ที่ผ่านมา หากใครได้พบเธอ ได้รู้ประวัติ รู้จักชาติตระกูลรากเหง้า แทบไม่มีเลยสักคนที่จะไม่อยากพุ่งเข้าใส่ แต่ธรณ์กลับเป็นคนแรกที่ทำเช่นนั้น บางทีเขาอาจชอบเธอแล้ว และกำลังลองเชิงเธออยู่            นั่นเอง ความอยากเอาชนะผสมปนเปกับความอยากได้ อยากครอบครองหัวใจของชายหนุ่มที่ชื่อธรณ์ก็ค่อยพุ่งพล่านขึ้น            “สนใจ?” แต้ว ญาติผู้พี่ถามยิ้ม ๆ           สาวหัวนอกยิ้มรับ ตอบตรงไปตรงมาชนิดไม่มีอิดออดเลยว่า “ค่ะ”           แต้วรีบเสนอตัวทันที “เดี๋ยวพี่ช่วยเป็นแม่สื่อให้”           อ้าปากจะบอกว่าไม่ต้อง เธอคิดว่าตัวเองหาหนทางเข้าหาธรณ์ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร แต่เพราะแจ็คเดินกลับมาจากส่งธรณ์พอดี จึงทำเพียงแค่ยิ้ม ไม่พูดอะไรในตอนนั้น           จากที่พูดคุยกันเมื่อครู่ เชอรีนพบว่า ผู้ชายพวกนี้ยังยึดติดอยู่กับผู้หญิงหัวอ่อนอยู่ หากเธอแสดงตัวว่ากล้ามากเกินไปนัก แจ็คอาจไม่สนับสนุนเธอก็เป็นได้         
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD