ตอนที่ 2 ตรงสเปค

1893 Words
เมื่อเห็นโมนาขยับหนีไปข้างหน้า เอสก็ค่อยๆ ก้าวเดินตามไปชิดคนตัวเล็กทันทีเพราะอยากรู้ว่าเธอจะขยับหนีเขาไปได้อีกมั้ย ร่างสูงขยับมาใกล้จนตัวชิดกับโมนาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อโมนาเอากระเป๋าสะพายข้างของเธอย้ายมาปิดก้นตัวเองไว้ทำเอาเอสถึงกับยิ้มชอบใจมากกว่าเดิมที่เห็นเธอระวังตัวเองเป็นอย่างดีจึงเลิกแกล้งเธอแล้วถอยห่างเธอเล็กน้อย ทางด้านโมนาเมื่อเห็นคนข้างหลังขยับมาชิดตัวเองก็รีบเอากระเป๋าย้ายไปกันข้างหลังตัวเองทันทีเพราะกลัวโดนลวนลามโดยที่ไม่ได้มองหน้าคนข้างหลังเลยว่าเขาเป็นใคร แต่สถานการณ์ก็ไม่เป็นใจให้เธอเลยสักนิดเพราะยิ่งรถเมล์จอดแต่ละป้ายแทบไม่มีคนลงกลับมีแต่ขึ้นมาจนเธอต้องถอยหลังไปชิดกับเอสเหมือนเดิมแถมรอบนี้เธอก็ขยับไปไหนไม่ได้อีก ทางด้านเอสก็ได้แต่ก้มมองคนตัวเล็กที่ตอนนี้กลับมายืนชิดอกเขาเหมือนเดิมตาคมกวาดตาสำรวจมองเธอทุกสัดส่วนทำเอาเขาแทบอย่างจับเธอหันมาหาเขาเพราะอยากเห็นหน้าเธอชัดๆ ‘ตัวเล็กโคตรสเปคเลยวะ อยากจับมาฟัดฉิบหาย’ เอสได้แต่คิดในใจขณะที่มองโมนาไม่วางตา จริงๆ เขาควรจะลงรถตั้งแต่รถเมล์จอดป้ายก่อน แต่เพราะอยากรู้ว่าโมนาอยู่แถวไหนจึงไม่ยอมลงจนรถเมล์มาจอดป้ายถัดไปก็เห็นโมนาพยายามดันเพื่อนของเธอเดินลงรถอย่างเร่งรีบ เอสจึงเดินลงรถตามไปห่างๆ โดยไม่ให้เธอรู้ เมื่อเอสลงรถมาแล้วก็เห็นโมนาจูงมือเพื่อนตัวเองวิ่งหายเข้าไปในซอยอย่างรวดเร็ว “แม่ง เร็วฉิบหาย หึ แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็รู้ว่าเป็นรุ่นน้องคณะเรา เราได้เจอกันอีกแน่คนสวย” เอสพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดีที่เขารู้ว่าโมนาเป็นรุ่นน้องคณะตัวเองเพราะเห็นโบว์สีฟ้าที่เป็นสัญลักษณ์ของน้องปีหนึ่งคณะบริหารผูกไว้ที่ข้อมือเธอ เขาจึงไม่เร่งรีบที่จะเข้าไปหาเธอ เอสจึงตัดสินใจเดินกลับไปทางคอนโดตัวเองเพราะอยากเดินเล่นสักพักถึงจะนั่งรถแท็กซี่กลับ ทางด้านโมนาที่ลงรถเมล์มาแล้วก็รีบจับมือแพรวาวิ่งเข้ามาซอยบ้านตัวเองทันที “ยัยโมแกจะพาฉันวิ่งทำไมเนี่ย” แพรวาเอ่ยถามโมนาด้วยสงสัย “แก ฉันว่าฉันเจอคนโรคจิตแน่ๆ เลย” โมนาหยุดพาแพรวาวิ่งเมื่อเดินเข้ามาในซอยแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางตกใจ “เจอที่ไหน” แพรวาถามโมนากลับแล้วหันมองหาเพราะกลัวมีคนเดินตามมา “บนรถอะแก ตอนที่แกถอยมาชนฉันจนฉันเซตามผู้ชายคนนั้นก็มากอดเอวฉันไว้ฉันตกใจมากเลยแก” “เดี๋ยวก่อนยัยโม แกคิดไปเองรึเปล่า แกถอยไปหาเค้า เค้าก็รับแกไว้เพราะกลัวแกล้มมั้ย” แพรวาพูดขึ้นทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่โมนาเล่า “ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้นล่ะ แต่พอฉันขยับหนีไปเบียดแก อีตานั่นก็เดินมายืนชิดฉันอีกอะ เหมือนตั้งใจทำเลย น่ากลัวอะแก” โมนาพูดขึ้นพร้อมกับทำหน้าจะร้องไห้ “แกจำหน้าได้มั้ยว่าคนไหน รอบหลังถ้ามาขึ้นรถแล้วเจออีกเราจะได้อยู่ห่างเค้า” แพรวาเอ่ยถามโมนาขึ้น “จำไม่ได้อะแก ฉันไม่ได้มองหน้าเค้า รู้แค่ว่าตัวสูงแค่นั้นเอง ตอนเดินขึ้นมาก็ไม่ได้สังเกตหน้าตาว่าใครยืนอยู่ก่อนตัวเอง” โมนาตอบแพรวาไปตามตรง “ช่างเถอะ แกอย่าคิดมากเลย บางทีเราอาจจะเข้าใจเค้าผิดก็ได้ กลับบ้านกันเถอะ ว่าแต่วันนี้มาร์เวลเลิกเรียนตอนไหนอะ” แพรวาเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วเอ่ยถามหามาร์เวลน้องชายแท้ๆ ของโมนาที่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นมอห้าแล้ว “เห็นว่าจะเลิกเที่ยงนะ เพราะวันนี้เหมือนมีกิจกรรมของโรงเรียนสงสัยจะเป็นกิจกรรมของเด็กมอสี่มั้ง ชั้นอื่นเลยได้กลับ” โมนาตอบแพรวาทันทีเพราะมาร์เวลบอกกับเธอไว้แบบนั้น “ดีเลย วันนี้ซื้อหมูกระทะมากินมั้ย เห็นแม่แกบ่นหิว มาร์เวลกลับมาแล้วค่อยไปซื้อด้วยกัน” แพรวาพูดเสนอขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เห็นด้วย พอได้พูดเรื่องกินหายเครียดเรื่องอีตาโรคจิตนั่นเลย ฮ่าๆ” โมนาตอบกลับแพรวาอย่างอารมณ์ดีแล้วทั้งสองก็เดินกลับบ้านเช่าของโมนาทันทีเมื่อมาถึงบ้านทั้งสองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมานั่งเล่นอยู่หน้าบ้านรอมาร์เวลกลับมา ทางด้านเอสเดินเล่นมาได้สักพักก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นเด็กมอปลายกำลังเดินถอยหลังหนีกลุ่มนักเลงสี่คนในซอยแคบๆ แถมยังเป็นซอยตันอีก ร่างสูงจึงเดินเข้าไปทันที “ปล่อยผมไปเถอะพี่ ผมไม่มีเงินแล้วจริงๆ” มาร์เวลพูดขึ้นเสียงสั่นด้วยความกลัวเพราะเวลาเขามาเรียนมักจะโดนกลุ่มนักเลงที่อยู่แถวนี้ดักรีดไถเงินตลอดจนบางวันเขาไม่ได้กินข้าวเที่ยงที่โรงเรียนเพราะไม่มีเงินแต่ก็ไม่ได้บอกครอบครัวเพราะกลัวท่านเป็นห่วง “กูไม่เชื่อว่าวันนี้มึงจะมีเงินแค่นี้ เอากระเป๋ามาให้กูเดี๋ยวนี้” กายที่เป็นลูกพี่ของกลุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ผมไม่มีจริงๆ พี่ กระเป๋าผมมีแต่หนังสือเรียนจริงๆ” มาร์เวลพูดขึ้นแล้วกอดกระเป๋าตัวเองไว้แน่นเพราะกลัวกายจะเอากระเป๋าไปแล้วพังหนังสือเรียนของเขา “ไม่ยอมดีๆ ก็เจ็บตัวซะมึง โอ๊ยย! ใครถีบกูวะ” กายตะโกนด้วยความโมโหเมื่อโดนถีบหลังจนล้มคว่ำลงทำเอาลูกน้องอีกสี่คนถึงกับตกใจ ส่วนมาร์เวลก็หันไปมองคนที่มาช่วยตัวเองทันที “มาหาเรื่องเด็กนักเรียนแบบนี้โคตรกระจอก ไม่มีปัญญาไปทำมาหากินเองรึไงถึงมารีดไถเงินคนอื่น” เอสพูดขึ้นอย่างกวนๆ เมื่อถีบกายจนล้มลงแล้ว ทำเอากายถึงกับมองเอสด้วยความโกรธ “มึงเป็นใครมาเสือกอะไรด้วย อยากเจ็บตัวรึไง” กายลุกขึ้นยืนแล้วพูดขึ้นด้วยความโมโห “หึ อยากสิ แต่ไม่ได้อยากเจ็บตัวนะ อยากกระทืบพวกมึงมากกว่า” พูดจบเอสก็เดินไปซัดหมัดใส่กายทันทีจนลูกน้องกายเข้ามาช่วยแต่ก็สู้เอสไม่ได้สักคนแถมทั้งสี่คนยังโดนเอส กระทืบจนน่วมสลบกันทุกคนเพราะเขาก็ฝึกต่อสู้มาเหมือนกันแถมคนที่ฝึกให้ก็คือมาวินพ่อของอคินเพื่อนของเขา ในช่วงที่เรียนมอปลายเอสไม่ค่อยอยากกลับบ้านเลิกเรียนจึงมักจะแวะนั่นแวะนี่ไปเรื่อย อคินจึงชวนเขามาฝึกต่อสู้ที่บ้านแทนซึ่งมาวินก็เป็นคนสอนเองกับมือ เมื่อเห็นนักเลงสี่คนล้มลงไปแล้วเอสก็เดินตรงไปหามาร์เวลทันที “เป็นอะไรมากมั้ยน้อง” เอสถามมาร์เวลพร้อมกับสำรวจร่างกายของมาร์เวลว่าเขามีแผลตรงไหนรึเปล่า “ไม่ครับพี่ ขอบคุณนะครับที่มาช่วยผม ไม่งั้นผมแย่แน่ๆ” มาร์เวลพูดขอบคุณเอสพร้อมกับยกมือไหว้เขา “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว บ้านอยู่แถวนี้หรอ” “ครับ บ้านผมเดินไปอีกสองซอยก็ถึงแล้วครับ” มาร์เวลตอบเอสด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “อืม งั้นก็กลับบ้านเถอะ” เอสพูดจบก็ตั้งท่าจะเดินไปแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงท้องของมาร์เวลร้อง “ยังไม่ได้กินข้าวหรอ” เอสหันกลับมาถามมาร์เวลเมื่อได้ยินเสียงท้องเขาร้อง “ครับ คือ…” “คืออะไร” เอสถามกลับเสียงเรียบเมื่อมาร์เวลไม่ยอมพูดต่อ “เมื่อเช้าพวกนั้นมาดักเอาเงินตั้งแต่เช้าครับ วันนี้แม่ให้มาซื้อข้าวเช้ากินข้างนอกเพราะรีบเอาชุดไปส่งลูกค้า แต่โดนไถเงินไปก่อนเลยยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าครับ” คำตอบของมาร์เวลทำเอาเอสถึงกับชะงักเพราะสิ่งที่มาร์เวลเจอตอนนี้เป็นสิ่งที่เขาเคยเจอมาในช่วงเรียนมอสี่เทอมแรก “รีบกลับบ้านมั้ย ถ้าไม่รีบก็ไปกินข้าวกับพี่ เมื่อกี๊เดินผ่านมาเห็นร้านข้าวอยู่” คำพูดของเอสทำเอามาร์เวลถึงกับเงยหน้ามองเพราะไม่เคยมีใครทำกับเขาแบบนี้ ด้วยความที่มาร์เวลพึ่งย้ายมาเรียนที่นี่ พูดไม่ค่อยเก่งเข้าหาใครก่อนไม่เป็นแถมยังอ่อนแอไม่สู้คนเพื่อนผู้ชายในห้องเรียนจึงแทบไม่คบหากับเขา “แต่ผมไม่มีเงิน” มาร์เวลตอบเอสเสียงเบา “มาเถอะน่า เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง กำลังหาเพื่อนกินข้าวอยู่พอดี” เอสพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มแล้วเดินไปกอดคอมาร์เวลเดินไปทันที ทำเอามาร์เวลถึงกับยิ้มกว้างเมื่อมีคนพูดกับเขาอย่างเป็นมิตรแบบนี้ “ชื่ออะไรอะเรา” เอสเอ่ยถามมาร์เวลขณะที่เดินกอดคอกันอยู่ “มาร์เวลครับ” มาร์เวลตอบเอสด้วยน้ำเสียงสุภาพ “พี่ชื่อเอสนะ ยินดีที่ได้รู้จักนะน้องชาย” มาร์เวลเงยหน้ามองเอสทันทีเพราะถึงมาร์เวลจะสูงถึงร้อยเจ็ดสิบแต่คนที่กอดคอเขากลับสูงกว่าเขามากเลยทีเดียว “มองพี่ทำไม ไม่อยากเป็นน้องชายพี่หรอ” เอสถามมาร์เวลด้วยน้ำเสียงกวนๆ เมื่อเห็นมาร์เวลเงยหน้ามองเขาโดยไม่พูดอะไร “ผมไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาคุยกับผมแบบนี้ครับ คือผมพึ่งมาเรียนที่นี่เลยยังไม่มีเพื่อน” มาร์เวลตอบเอสไปตามตรง “งั้นหรอ ถ้ายังไม่มีเพื่อนเดี๋ยวพี่เป็นเพื่อนให้แล้วกัน แต่ห้ามเรียกไอ้นะ” เอสพูดขึ้นอย่างกวนๆ ทำเอามาร์เวลถึงกับหลุดขำออกมา “ครับพี่เอส ขอบคุณนะครับที่ยอมเป็นเพื่อนกับผม แต่ผมขอนับถือพี่เป็นพี่ชายได้มั้ยครับ แบบว่าถ้ามีอะไรผมสามารถคุยกับพี่ทุกเรื่องเลยได้มั้ยครับ” มาร์เวลพูดร่ายยาวกับเอสเมื่อรู้สึกถูกชะตากับเขา “ได้อยู่แล้วไอ้น้องชาย ไปกินข้าวกันก่อนแล้วค่อยแลกเบอร์แลกไลน์กัน หิวจนไส้กิ่วหมดแล้ว” คำตอบของเอสทำเอามาร์เวลยิ้มกว้างขึ้นแล้วพยักหน้าตอบเขาทันที จากนั้นเอสก็เดินกอดคอมาร์เวลคุยนั่นคุยนี่ไปเรื่อยเพื่อให้มาร์เวลไม่เกร็งตอนคุยกับเขาจนมาร์เวลเริ่มกล้าพูดกับเขามากกว่าเดิมจนมาถึงร้านข้าวเอสก็สั่งข้าวให้มาร์เวลทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD