ตอนที่ 3 แตกต่างสิ้นเชิง

1695 Words
“ค่อยๆ กินไอ้น้องเดี๋ยวติดคอ” เอสพูดขึ้นทันทีเมื่อข้าวมาเสิร์ฟแล้วมาร์เวลก็รีบกินเอากินเอาเพราะหิวข้าวมาก ทำเอาเอสถึงกับต้องพูดห้ามไว้ก่อน “ขอโทษครับพี่เอส” มาร์เวลพูดขอโทษเอสอย่างสุภาพแล้วหยุดกินมูมมามตามที่เอสบอก จนเอสได้แต่ยิ้มเอ็นดูเด็กชายตรงหน้าที่ขอโทษเขาทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษด้วยซ้ำ “เห็นว่าพึ่งย้ายมาเรียน อยู่มอไหนแล้วล่ะ” เอสกินข้าวไปด้วยแล้วชวนมาร์เวลคุยไปด้วย “มอห้าครับ พอดีพ่อกับแม่ผมย้ายมาเช่าบ้านใหม่แถวนี้ผมเลยต้องย้ายมาเพราะโรงเรียนเก่าอยู่ไกลครับ พี่สู้เก่งจัง แบบนี้ตอนเรียนมัธยมคงไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับพี่ใช่มั้ยครับ” มาร์เวลพูดขึ้นพร้อมกับกินข้าวไปด้วย “ใครบอกล่ะ ตอนพี่เรียนมอสี่พี่ก็เป็นแบบนายนี่ล่ะ” “เป็นแบบผมหรอครับ” มาร์เวลหยุดกินข้าวแล้วหันไปถามเอสด้วยความสงสัย “ตอนพี่เข้าเรียนมอสี่ใหม่ๆ พี่ต้องเดินไปเรียนเพราะโดนพ่อทำโทษที่ผลการเรียนตอนมอต้นไม่เป็นตามที่ท่านหวัง พอเดินมาเรียนก็โดนพวกนักเลงระหว่างทางดักไถเงินแบบน้องเป๊ะ บางวันพี่ไม่ให้มันก็กระทืบพี่ เมื่อก่อนพี่ก็เป็นคนไม่สู้คน อ่อนแอ ขี้กลัว แถมยังไม่มีเพื่อนที่จริงใจคบเพราะส่วนมากเข้ามาตีสนิทก็เพื่อหวังผลประโยชน์จากพี่เท่านั้น พอพี่มีปัญหาก็ไม่มีใครช่วยพี่สักคน เหมือนกับนายตอนนี้เป๊ะ” “แล้วทำไมตอนนี้พี่ถึงเปลี่ยนไปแบบนี้ล่ะครับ” มาร์เวลถามเอสขึ้นด้วยความสงสัย “เพราะมีคนคนหนึ่งมาช่วยพี่ไว้ไงละ ตอนที่พี่กำลังโดนพวกนักเลงกระทืบก็มีคนมาช่วยพี่ แถมยังเป็นคนที่พี่คิดไม่ถึงด้วย เพราะคนที่มาช่วยก็คือเพื่อนร่วมห้องที่เก็บตัวเงียบไม่พูดไม่จาไม่สนใจใคร แล้วก็เป็นคนเดียวที่คบพี่เป็นเพื่อนด้วยใจจริงเรียกได้ว่าตอนนี้มันก็กลายเป็นเพื่อนสนิทพี่ไปแล้ว แถมพ่อของเพื่อนพี่ยังเป็นคนสอนให้พี่ต่อสู้เป็น พี่ถึงได้เปลี่ยนความคิดและมีความกล้ามากขึ้นมาจนทุกวันนี้ไงล่ะ” เอสเล่าอดีตของตัวเองให้มาร์เวลฟังโดยไม่ปิดบัง ทำเอามาร์เวลถึงกับทำหน้าอึ้งเพราะไม่คิดว่าคนอย่างเอสจะเคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน “กินข้าวได้แล้วจะได้รีบกลับบ้าน” เอสเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีเพราะไม่อยากให้มาร์เวลเครียดตาม “ครับ พี่สอนผมต่อสู้ได้มั้ยครับ ผมอยากเรียนไว้ป้องกันตัว” มาร์เวลเอ่ยขอเอสด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ถ้าจะฝึกไว้เพื่อเอาไว้ป้องกันตัว พี่สอนให้ก็ได้ แต่ถ้าสอนไปแล้วเอาไปหาเรื่องคนอื่นก่อน พี่จะตามไปกระทืบนายถึงบ้านแน่” เอสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมไม่มีวันทำใครก่อนแน่นอนครับ ผมสัญญา” “ดี งั้นก็แลกเบอร์แลกไลน์ไว้ อยากฝึกเวลาไหนค่อยว่ากัน อิ่มแล้วใช่มั้ยจะได้แยกย้ายกันกลับ” มาร์เวลพยักหน้าตอบเอสทันทีเพราะเขากินอิ่มแล้ว เอสจึงลุกขึ้นไปจ่ายเงินจากนั้นเอสก็แยกกับมาร์เวลทันทีหลังจากที่แลกไลน์แลกเบอร์กันแล้ว เอสจึงนั่งแท็กซี่กลับมาคอนโดร่างสูงทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วหลับตาลงเพราะกำลังนึกถึงคนตัวเล็กที่เขาหมายตาไว้ “คนอะไรโคตรน่ารัก” เอสพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงใบหน้าหวานที่เขาเห็นเพียงครู่เดียว จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องนอนหยิบสมุดวาดภาพขนาดเล็กกับดินสอที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงแล้วออกมานั่งอยู่หน้าระเบียงห้องจากนั้นก็นั่งวาดภาพของโมนาที่ยืนหันหลังโดยมีตัวเองยืนก้มมองอยู่ข้างหลัง เอสเป็นคนที่ชอบวาดภาพมากและชอบวาดออกแบบชุดเสื้อผ้าหรือแบบบ้านถึงขั้นอยากเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อพ่อของเขาไม่เห็นด้วยที่จะให้เรียนคณะนี้เพราะต้องการให้เขาขึ้นมาบริหารบริษัทต่อจากตัวเอง เอสเลยต้องมาเรียนคณะบริหารธุรกิจโดยที่ตัวเองไม่ได้ชอบเลยสักนิด แต่สิ่งที่ทำให้เอสนั้นรู้สึกดีขึ้นมาบ้างก็คือมีอคินมาเรียนคณะเดียวกันด้วยแถมอคินยังช่วยติวเรื่องเรียนด้านบริหารให้เขาเพราะรู้ว่าเอสไม่ชอบและไม่ถนัดกับวิชานี้ จึงทำให้การเรียนปีหนึ่งของเอสผ่านไปด้วยดีทุกวิชาแต่ก็โดนคนเป็นพ่อบ่นใส่อย่างไม่พอใจเพราะผลการเรียนเขานั้นอยู่แค่ระดับดีปานกลาง ไม่ได้ดีมากเหมือนของอคินเรียกได้ว่าเขาทำอะไรก็ไม่ถูกใจคนเป็นพ่อสักอย่าง เอสจึงไม่ค่อยอยากกลับบ้านเขาจะกลับก็ต่อเมื่อพ่อบอกให้กลับเท่านั้น เมื่อเอสวาดรูปโมนาเสร็จแล้วตาคมก็มองรูปวาดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ทิ้งตัวเอนพิงเก้าอี้เงยหน้ามองท้องฟ้าแววตาสื่อความเศร้าออกมาชัดเจน ซึ่งแววตาแบบนี้ไม่มีใครเคยเห็นเพราะเวลาเอสอยู่กับคนอื่นเขามักจะเป็นคนพูดเก่งอารมณ์ดีแต่พอเวลาอยู่คนเดียวกลับแตกต่างกันสิ้นเชิง “แม่ครับ ผมว่าจะเดินหน้าจีบผู้หญิงคนหนึ่งถ้าเค้าไม่มีแฟน แม่ว่าผมจะสมหวังกับเรื่องความรักมั้ยครับ หรือจะต้องผิดหวังเหมือนกับเรื่องเรียนอีก” เอสพูดขึ้นขณะที่เงยหน้ามองท้องฟ้าเพราะแม่ของเขานั้นเสียไปตั้งแต่เขาเรียนอยู่ประถมเพราะเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ ตอนเขารู้ว่าแม่ไม่อยู่แล้วถึงกับเสียศูนย์ไปพักใหญ่เพราะเขาโดนคนเป็นพ่อกดดันมาตั้งแต่เด็กเรื่องการเรียนจนถึงขั้นไม่ได้ออกไปเล่นกับเพื่อนเพราะต้องเรียนพิเศษตลอดแต่โชคดีที่มีแม่คอยให้กำลังใจและชวนทำนุ่นทำนี่เพื่อให้เขาลดความเครียดลง หลังจากไม่มีแม่เอสก็โดนพ่อกดดันสารพัดแต่เขาก็พยายามอดทนมาตลอดและพยายามสร้างภูมิให้ตัวเองโดยการปรับนิสัยตัวเองให้เป็นคนอารมณ์ดีเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกโดดเดี่ยวตัวเองเอาไว้ ที่เอสกลายเป็นผู้ชายเจ้าชู้ไม่ให้สถานะกับใครเพราะผู้หญิงแต่ละคนที่เข้าหาเขาก็ไม่มีใครรักเขาจริงๆ สักคนเหมือนกัน หลังจากนั่งที่ระเบียงสักพักเอสก็กลับเข้าห้องจากนั้นก็เดินไปยังโต๊ะทำงานเพื่อไปร่างแบบบ้านที่ทำค้างไว้ต่อเพราะมีคนจ้างให้เขาวาดแบบบ้านให้ถึงรายได้จะแค่หลักพันแต่ก็ทำให้เขามีความสุขมากเพราะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักโดยที่พ่อเขาไม่รู้ว่าเขามารับจ้างวาดแบบบ้าน ทางด้านโมนาที่กำลังนั่งคุยกับแพรวาอยู่หน้าบ้านเพื่อรอมาร์เวลกลับมาก็ยิ้มกว้างทันทีเมื่อเห็นน้องชายตัวเองกลับมาแล้ว “มาร์เวลทำไมกลับมาช้าจัง เลิกเที่ยงไม่ใช่หรอ” โมนาถามมาร์เวลทันทีเมื่อมาร์เวลเดินมาถึงเธอแล้ว “ผมแวะกินข้าวอยู่ครับพี่โมเลยมาช้า” มาร์เวลตอบพี่สาวด้วยรอยยิ้มทำเอาโมนาถึงกับแปลกใจเมื่อเห็นน้องชายตัวเองอารมณ์ดีมากจนผิดปกติ “ทำไมวันนี้ดูอารมณ์ดีแปลกๆ นะ มีความรักรึไง” โมนาพูดแซวมาร์เวลทันที ทำเอามาร์เวลถึงกับตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นพี่ “จะบ้าหรอพี่ แค่ได้เจอเรื่องดีๆ มาเลยรู้สึกมีความสุขแค่นั้นเองครับ” มาร์เวลตอบพี่สาวไปด้วยรอยยิ้ม “เรื่องอะไรหรอ เล่าให้ฟังหน่อยสิ” โมนาลุกเดินไปถามมาร์เวลด้วยความอยากรู้ “หยุดคาดคั้นเอาคำตอบจากน้องได้แล้วยัยโม มาร์เวลมาแล้วไปหาซื้อหมูกระทะมากินกันเถอะ” แพรวาพูดดักโมนาทันทีเพราะเห็นโมนาไม่ยอมหยุดถามน้องชาย จนมาร์เวลได้แต่หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นพี่สาวทำหน้ายู่ใส่เพื่อนของเธอ “ชิ ก็ได้ มาร์เวลไปเปลี่ยนชุด วันนี้ยัยแพรจะซื้อหมูกระทะมาเลี้ยงเรา อิอิ” “ครับ” มาร์เวลขานตอบโมนาแล้วเดินเข้าไปบ้านไปเปลี่ยนชุด จากนั้นทั้งสามก็ขับรถออกไปซื้อหมูกระทะเพื่อมากินตอนเย็นพร้อมกับพ่อแม่ของโมนาพอกินเสร็จก็แยกย้ายกันเข้านอนเช้าวันต่อมาโมนาและแพรวาก็มาเรียนตามปกติ “แก ขึ้นไปห้องก่อนนะ พอดีอาจารย์แม่ส่งข้อความมาบอกให้ฉันไปหา” แพรวาพูดกับโมนาเมื่อเดินมาถึงตกเรียนคณะตัวเองแล้ว “โอเค งั้นฉันไปรอในห้องเรียนนะ” “อือ” เมื่อแพรวาขานตอบทั้งสองก็เดินแยกกันทันที “คนเยอะขนาดนี้จะได้เข้าตอนไหนเนี่ย” โมนาบ่นขึ้นทันทีเมื่อเห็นคนยืนรอขึ้นลิฟต์เยอะ เธอจึงตัดสินใจเดินขึ้นบันไดแทนเพราะห้องเรียนที่จะไปเรียนอยู่ชั้นสาม โมนาเดินขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นสองก็ต้องร้องตกใจเพราะขณะก้าวขาขึ้นบันไดเธอดันลื่นจนหงายหลังลงไป “ว๊ายยย!” โมนาร้องตกใจหลับตาลงเพราะคิดว่ายังไงตัวเองก็ต้องเจ็บตัวแต่ก็ต้องลืมตาขึ้นมองเมื่อร่างของเธอไม่ได้ตกลงพื้นแต่กลับมาอยู่ในอ้อมกอดของใครคนหนึ่งอยู่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD