ตอนที่ 14 ให้กำลังใจ

1942 Words
“สร้อยข้อมือนี้หนูถักเอง ให้มันเป็นตัวแทนของหนูเมื่อไหร่ที่รู้สึกไม่โอเค ก็มองสร้อยข้อมือนี้เพราะมันบ่งบอกว่าหนูอยู่กับพี่ตลอด ตอนนี้พี่ไม่ได้สู้กับปัญหาอยู่คนเดียวจำไว้นะคะว่ามีหนูอยู่ข้างๆ เสมอ” โมนาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มทำเอาเอสถึงกับชะงักเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดที่อ่อนโยนและดูเป็นห่วงเขาจากใจจริงแบบนี้ “ทำไมเงียบคะ หรือไม่อยากใส่งั้นหนูถอดคืนนะ” พูดจบโมนาก็ตั้งท่าจะถอดสร้อยข้อมือออกจากแขนเอส จนเอสรีบชักมือกลับมาอย่างเร็ว “หนูให้พี่แล้วจะมาถอดคืนได้ไงครับ พี่แค่ตกใจนิดหน่อยเพราะไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับพี่มาก่อน ขอบคุณนะครับ ขอบคุณที่เข้าใจและอยู่ข้างๆ พี่แบบนี้ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ขอจูบได้มั้ยครับมีแรงไปสู้กับปัญหาได้ร้อยเปอร์เซ็นแน่นอน” เอสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วหันไปยิ้มให้โมนาทันทีเพราะเป็นจังหวะรถติดไฟแดงพอดี “ได้คืบจะเอาศอกจริงๆ นี่แกล้งทำหน้าซึมใส่หนูรึเปล่าเนี่ย ทำไมกลับมายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่หนูอีกแล้ว” โมนาพูดใส่เอสทันทีเมื่อเห็นเขาปรับสีหน้ามายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่เธอ “พี่ไม่ได้แกล้งนะครับ เมื่อกี๊คำพูดของหนูทำให้พี่รู้สึกดีมากเลย แต่ถ้าได้จูบเพิ่มจะดีมากกว่านี้อีกได้มั้ยครับ” เอสพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ไม่ให้จูบค่ะ แต่ให้จับมือได้จนไปถึงบ้าน ถือว่าให้กำลังใจจะได้มีแรงไปสู้กับพ่อของพี่” โมนาพูดขึ้นพร้อมกับแบมือไปหาเขา จนเอสได้แต่ยิ้มกว้างขึ้นรีบเปลี่ยนเกียร์รถเป็นตัวดีไว้แล้วยื่นมือไปจับมือเธอมาวางไว้ที่ตักตัวเองทันที จากนั้นก็เหยียบคันเร่งรถไปเพราะเป็นไฟเขียวพอดี โชคดีที่รถเขาเป็นเกียร์ออกโต้จึงได้จับมือกับเธอยาวๆ มือหนาบีบคลึงมือเธอไว้อย่างอ่อนโยนรู้สึกดีไม่น้อยที่ได้จับมือเธอแบบนี้ “มือนิ่มจัง ต่อไปนี้เวลาขับรถขอจับทุกวันได้มั้ยครับ” เอสหันไปพูดกับโมนาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ต้องดูอารมณ์หนูก่อนค่ะ ถ้าอารมณ์ดีก็ให้จับ แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดีก็อด” “งั้นคงต้องทำให้อารมณ์ดีทุกวันแล้วล่ะครับ หนูจะได้ให้พี่จับมือ” เอสพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี “ทำยังไงหรอคะ” โมนาเอ่ยถามเอสด้วยความสงสัย “กอด หอม จูบก่อนขึ้นรถไงครับ รับรองหนูอารมณ์ดีแน่นอน” เอสพูดขึ้นพร้อมกับหันไปส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่โมนา “คนที่อารมณ์ดีคงเป็นพี่มากกว่ามั้งคะ ชิ ทำเพื่อสนองตัวเองล้วนๆ พี่มีแต่ได้กับได้” โมนาพูดขึ้นพร้อมกับมองค้อนใส่เขา “ใครบอกว่าพี่ได้ฝ่ายเดียวล่ะครับ หนูก็ได้เหมือนกันนะ อย่าลืมสิว่าเราต่างคนต่างจูบกันนะครับผม โอ๊ย!” “ไอ้พี่บ้า หยุดพูดเลยนะ ขับรถไปเลย” โมนารีบตีเอสแก้เขินเมื่อเขาพูดเรื่องจูบขึ้นมาเพราะตัวเองดันไปเผลอจูบตอบเขาตอนนั้น ส่วนเอสก็ได้แต่หัวเราะชอบใจเพราะรู้ว่าเธอกำลังเขินเขาอยู่จึงหยุดแกล้งแล้วขับรถต่อโดยที่อีกมือหนึ่งก็กุมมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อยจนมาถึงบ้านของเธอ “อย่าลืมที่หนูบอกนะคะถ้าไม่โอเคให้มองสร้อยข้อมือไว้ หรือถ้าอยู่แล้วอึดอัดมากก็ให้รีบออกมา” โมนาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อเอสนั้นจอดรถที่หน้าบ้านเธอแล้ว “รับทราบครับ เดี๋ยวพี่โทรหานะ” เอสตอบกลับโมนาด้วยรอยยิ้ม “ค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ” “มีอะไรรึเปล่าครับ” เอสเอ่ยถามโมนาทันทีเมื่อเห็นเธอมองหน้าเขาเหมือนกำลังลังเลอะไรอยู่ “เอ่อ พี่หันไปมองกระจกข้างได้มั้ยคะ” เมื่อได้ยินคำพูดของโมนาเอสก็หันไปมองกระจกข้างด้วยความสงสัย ฟอดดด เอสถึงกับตกใจเพราะพอเขาหันไปมองกระจกข้างแล้วโมนาก็โน้มหน้ามาหอมแก้มเขาทันที จากนั้นก็รีบลงรถวิ่งเข้าบ้านไปโดยไม่รอให้เอสได้พูดอะไรเพราะเขินกับการกระทำของตัวเอง จนเอสได้ยิ้มกว้างขึ้นอย่างอารมณ์ดี “น่ารักชะมัด” เอสพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะที่มองโมนาวิ่งเข้าบ้านอย่างเร็ว เมื่อเห็นเธอเข้าบ้านไปแล้วเอสก็ขับรถออกไปทันที ทางด้านโมนาพอวิ่งเข้ามาในบ้านก็ยืนพิงผนังมือเล็กทาบอกซ้ายตัวเองไว้เพราะตอนนี้หัวใจเธอกำลังเต้นแรงแทบจะระเบิดออกมาแล้ว “งืออ ยัยโมนะยัยโมไปติดเชื้อความบ้าบิ่นมาจากยัยแพรแน่ๆ ทำไมกล้าไปหอมแก้มเค้าแบบนั้นเนี่ย โอ๊ย! ตายๆ พรุ่งนี้เจอกันโดนพี่เอสล้อแน่เลย งือออ” โมนาพูดขึ้นพร้อมกับเบ้หน้าจะร้องไห้เมื่อเผลอใจไปหอมแก้มเขา เพราะตอนนั้นเธอแค่รู้สึกอยากให้กำลังใจเขาขึ้นมาเลยทำแบบนั้นไป แต่พอหอมแก้มเขาแล้วกลับรู้สึกเขินเพราะลืมคิดว่าเขาต้องมาล้อตัวเองกลับ เลยต้องมาเบ้หน้าจะร้องไห้อยู่แบบนี้ “ไปหอมแก้มพี่เค้าแล้ว พ่อกับแม่ต้องยกขันหมากไปขอพี่เค้ามั้ยเนี่ย” “ว้ายย! พ่อ ตกใจหมดเลย มาตั้งแต่ตอนไหนคะ” โมนาร้องตกใจทันทีเมื่อผู้เป็นพ่อมากระซิบข้างๆ หูของเธอ “พ่อก็ยืนตั้งแต่คนบางคนวิ่งเข้ามาในบ้านแล้วพูดพึมพำว่าไม่น่าไปหอมแก้มเค้าเลยอย่างนู้นอย่างนี้” มนตรีพูดขึ้นพร้อมกับทำท่าทางเลียนแบบโมนา “งืออ นี่พ่ออยู่ตั้งแต่แรกเลยหรอคะ” โมนาพูดขึ้นพร้อมกับเบ้หน้าจะร้องไห้หนักกว่าเดิม “ใช่แล้ว สงสัยพ่อต้องไปปรึกษาแม่ซะแล้ว” “ปรึกษาเรื่องอะไรคะ” โมนาเอ่ยถามผู้เป็นพ่อด้วยความสงสัย “ก็ปรึกษาว่าจะเอาสินสอดไปสู่ขอพ่อเอสเท่าไหร่ดีถึงจะสมฐานะของพ่อเอสเค้า” “พ่อ! หนูเป็นลูกสาวนะต้องให้เค้ามาขอสิถึงจะถูก” โมนาแว๊ดเสียงใส่ผู้เป็นพ่อทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของท่าน “เอ้า! แสดงว่ายอมรับพ่อเอสเป็นแฟนแล้วใช่มั้ย ถึงจะให้พี่เค้ามาขอ ฮ่าๆ” มนตรีพูดแซวลูกสาวอย่างอารมณ์ดี “ไม่ลงไม่รับอะไรทั้งสิ้นล่ะค่ะ ไหนบอกว่าทำงานด่วน พ่อมายื่นว่างอะไรตรงนี้ ไปทำงานช่วยแม่เลยนะคะ” โมนารีบเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วดันหลังผู้เป็นพ่อให้เดินไปยังห้องตัดชุดทันทีเพราะกลัวโดนแซวมากกว่านี้ ทางด้านมนตรีก็ได้แต่หัวเราะชอบใจแล้วเดินไปอย่างอารมณ์ดีจากนั้นโมนาและพ่อก็ไปช่วยแม่ตัดเย็บชุดที่ลูกค้าให้ทำอย่างตั้งใจ สำหรับโมนางานตัดเย็บเรียกได้ว่าเธอทำได้ดีมากเลยทีเดียวเพราะมีพรสวรรค์ในด้านนี้ด้วย ทางด้านเอสเมื่อขับรถเข้ามายังบ้านหรูขนาดใหญ่ก็ปรับสีหน้ามานิ่งขรึมทันทีจากนั้นก็ลงรถแล้วเดินเข้าบ้านไปโดยไม่มีท่าทียิ้มแย้มเลยแม้แต่น้อย “คุณเอสครับ” ขณะที่เอสกำลังเดินเข้ามาในบ้าน เดชาลูกน้องคนสนิทของอิทธิพ่อของเขาก็เดินมาเรียกเขาไว้ “มีอะไร” เอสถามเดชากลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นายให้มาเชิญคุณเอสไปที่ห้องรับประทานอาหารตอนนี้เลยครับ แขกมารอแล้ว” เดชาพูดกับเอสด้วยน้ำเสียงสุภาพ “อืม” เอสตอบกลับสั้นๆ แล้วเดินไปยังห้องรับประทานอาหารทันที เมื่อเดินไปถึงก็เห็นผู้เป็นพ่อกำลังนั่งคุยกับแขกสองคนอย่างอารมณ์ดี “ลูกชายผมมาแล้วครับ มากินข้าวกันลูก” อิทธิพูดกับเอสด้วยรอยยิ้ม แต่เอสกลับไม่รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อยเพราะรู้ว่าที่พ่อพูดดีด้วยแค่สร้างภาพต่อหน้าแขกเท่านั้น เมื่อได้ยินพ่อเรียกเอสจึงเดินเข้าไปตั้งท่าจะนั่งยังโต๊ะตรงข้ามแขกแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินพ่อพูดขึ้น “ไปนั่งข้างๆ หนูบริ๊งสิลูก” เอสหันไปมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเรียบเพราะเธอนั่นนั่งข้างพ่อของเธออยู่ ทำให้เขารู้ว่าที่พ่อให้เขามาเพื่อจุดประสงค์อะไร “ให้นั่งตรงนั้นคงไม่เหมาะครับ ผมนั่งตรงนี้ดีแล้ว” อิทธิหันไปมองตาขวางใส่เอสทันทีเมื่อเอสขัดคำสั่งของเขา “ให้ตาเอสนั่งตรงนั้นก็ได้คุณอิท จะได้มองหน้ากันสะดวกตอนคุย” เจ้าสัวบัญชาเจ้าของบริษัทผลิตเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ในประเทศไทยพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี จนอิทธิต้องหันไปยิ้มตอบแขก เอสจึงนั่งลงยังโต๊ะตรงข้ามโดยไม่พูดอะไร “เอส นี่เจ้าสัวบัญชาเจ้าของบริษัทบัญชากรุ๊ปที่เป็นฝ่ายผลิตเฟอร์นิเจอร์ส่งออกทั่วประเทศ” “สวัสดีครับ” เอสยกมือไหว้บัญชาอย่างสุภาพเมื่อผู้เป็นพ่อแนะนำผู้ใหญ่ให้รู้จัก “ส่วนนี่หนูบริ๊งลูกสาวของเจ้าสัวบัญชาเป็นน้องของลูกหนึ่งปี” อิทธิแนะนำลูกสาวของเจ้าสัวบัญชาให้เอสด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีค่ะพี่เอส” บริ๊งยกมือไหว้เอสด้วยรอยยิ้ม เมื่อได้เห็นตัวจริงของเอส บริ๊งก็รู้สึกชอบเขามากจึงส่งยิ้มให้เขาไม่หยุดแต่เอสกลับทำหน้านิ่งไม่ยิ้มตอบเธอเลยแม้แต่น้อย “สวัสดีครับคุณบริ๊ง” คำพูดของเอสทำเอาบริ๊งถึงกับยิ้มแห้งเมื่อเขาเรียกเธออย่างห่างเหิน “เรียกบริ๊งเฉยๆ ดีกว่านะคะ พี่เอสจำบริ๊งได้มั้ยคะ พอดีบริ๊งเรียนคณะเดียวกันกับพี่แถมเรียนสาขาเดียวกันด้วยนะคะ” บริ๊งพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเพราะเธอเห็นเอสตั้งแต่ตอนที่เลือกสายรหัสแล้ว พอมารู้ว่าพ่อจะมาคุยงานกับทางบ้านเอส เธอจึงขอตามมาด้วยจึงเข้าทางอิทธิที่จะให้ลูกชายเกี่ยวดองกับตระกูลเจ้าสัวบัญชาเขาจึงรีบโทรตามให้เอสมากินข้าวที่บ้านวันนี้ “ขอโทษนะครับ พอดีผมจำไม่ได้” คำตอบของเอสทำเอาบริ๊งถึงกับหน้าเสียแต่ก็ปั้นหน้ากลับมายิ้มเหมือนเดิม “ไม่แปลกหรอกค่ะ รุ่นน้องเยอะขนาดนั้น แถมบริ๊งยังไม่ได้เป็นน้องรหัสพี่อีก ไม่งั้นเราคงได้ทำโปรเจ็กด้วยกัน” บริ๊งพยายามพูดแก้หน้าให้ตัวเองด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะครับ ผมว่าเรากินข้าวไปด้วยคุยงานกันไปด้วยดีมั้ยครับ” อิทธิเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีเพราะกลัวลูกชายจะทำแขกเสียหน้าไปมากกว่านี้ ทุกคนจึงหันมากินข้าวกันแล้วคุยกันไปเรื่อย ยกเว้นแต่เอสที่เอาแต่ตักข้าวกินโดยไม่พูดอะไรกับใครมีแต่บริ๊งที่ชวนเขาคุยแต่เอสกลับตอบเธอสั้นๆ เรียกได้ว่าถามคำตอบคำจนบริ๊งไม่มีเรื่องให้ถามต่อจึงหยุดถามเอสแล้วกินข้าวอย่างอารมณ์ไม่ดีเมื่อไม่เป็นตามที่หวังไว้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD