“สร้อยข้อมือนี้หนูถักเอง ให้มันเป็นตัวแทนของหนูเมื่อไหร่ที่รู้สึกไม่โอเค ก็มองสร้อยข้อมือนี้เพราะมันบ่งบอกว่าหนูอยู่กับพี่ตลอด ตอนนี้พี่ไม่ได้สู้กับปัญหาอยู่คนเดียวจำไว้นะคะว่ามีหนูอยู่ข้างๆ เสมอ”
โมนาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มทำเอาเอสถึงกับชะงักเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดที่อ่อนโยนและดูเป็นห่วงเขาจากใจจริงแบบนี้
“ทำไมเงียบคะ หรือไม่อยากใส่งั้นหนูถอดคืนนะ”
พูดจบโมนาก็ตั้งท่าจะถอดสร้อยข้อมือออกจากแขนเอส จนเอสรีบชักมือกลับมาอย่างเร็ว
“หนูให้พี่แล้วจะมาถอดคืนได้ไงครับ พี่แค่ตกใจนิดหน่อยเพราะไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับพี่มาก่อน ขอบคุณนะครับ ขอบคุณที่เข้าใจและอยู่ข้างๆ พี่แบบนี้ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ขอจูบได้มั้ยครับมีแรงไปสู้กับปัญหาได้ร้อยเปอร์เซ็นแน่นอน”
เอสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วหันไปยิ้มให้โมนาทันทีเพราะเป็นจังหวะรถติดไฟแดงพอดี
“ได้คืบจะเอาศอกจริงๆ นี่แกล้งทำหน้าซึมใส่หนูรึเปล่าเนี่ย ทำไมกลับมายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่หนูอีกแล้ว”
โมนาพูดใส่เอสทันทีเมื่อเห็นเขาปรับสีหน้ามายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่เธอ
“พี่ไม่ได้แกล้งนะครับ เมื่อกี๊คำพูดของหนูทำให้พี่รู้สึกดีมากเลย แต่ถ้าได้จูบเพิ่มจะดีมากกว่านี้อีกได้มั้ยครับ”
เอสพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ให้จูบค่ะ แต่ให้จับมือได้จนไปถึงบ้าน ถือว่าให้กำลังใจจะได้มีแรงไปสู้กับพ่อของพี่”
โมนาพูดขึ้นพร้อมกับแบมือไปหาเขา จนเอสได้แต่ยิ้มกว้างขึ้นรีบเปลี่ยนเกียร์รถเป็นตัวดีไว้แล้วยื่นมือไปจับมือเธอมาวางไว้ที่ตักตัวเองทันที จากนั้นก็เหยียบคันเร่งรถไปเพราะเป็นไฟเขียวพอดี โชคดีที่รถเขาเป็นเกียร์ออกโต้จึงได้จับมือกับเธอยาวๆ มือหนาบีบคลึงมือเธอไว้อย่างอ่อนโยนรู้สึกดีไม่น้อยที่ได้จับมือเธอแบบนี้
“มือนิ่มจัง ต่อไปนี้เวลาขับรถขอจับทุกวันได้มั้ยครับ”
เอสหันไปพูดกับโมนาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ต้องดูอารมณ์หนูก่อนค่ะ ถ้าอารมณ์ดีก็ให้จับ แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดีก็อด”
“งั้นคงต้องทำให้อารมณ์ดีทุกวันแล้วล่ะครับ หนูจะได้ให้พี่จับมือ”
เอสพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ทำยังไงหรอคะ”
โมนาเอ่ยถามเอสด้วยความสงสัย
“กอด หอม จูบก่อนขึ้นรถไงครับ รับรองหนูอารมณ์ดีแน่นอน”
เอสพูดขึ้นพร้อมกับหันไปส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่โมนา
“คนที่อารมณ์ดีคงเป็นพี่มากกว่ามั้งคะ ชิ ทำเพื่อสนองตัวเองล้วนๆ พี่มีแต่ได้กับได้”
โมนาพูดขึ้นพร้อมกับมองค้อนใส่เขา
“ใครบอกว่าพี่ได้ฝ่ายเดียวล่ะครับ หนูก็ได้เหมือนกันนะ อย่าลืมสิว่าเราต่างคนต่างจูบกันนะครับผม โอ๊ย!”
“ไอ้พี่บ้า หยุดพูดเลยนะ ขับรถไปเลย”
โมนารีบตีเอสแก้เขินเมื่อเขาพูดเรื่องจูบขึ้นมาเพราะตัวเองดันไปเผลอจูบตอบเขาตอนนั้น ส่วนเอสก็ได้แต่หัวเราะชอบใจเพราะรู้ว่าเธอกำลังเขินเขาอยู่จึงหยุดแกล้งแล้วขับรถต่อโดยที่อีกมือหนึ่งก็กุมมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อยจนมาถึงบ้านของเธอ
“อย่าลืมที่หนูบอกนะคะถ้าไม่โอเคให้มองสร้อยข้อมือไว้ หรือถ้าอยู่แล้วอึดอัดมากก็ให้รีบออกมา”
โมนาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อเอสนั้นจอดรถที่หน้าบ้านเธอแล้ว
“รับทราบครับ เดี๋ยวพี่โทรหานะ”
เอสตอบกลับโมนาด้วยรอยยิ้ม
“ค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ”
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
เอสเอ่ยถามโมนาทันทีเมื่อเห็นเธอมองหน้าเขาเหมือนกำลังลังเลอะไรอยู่
“เอ่อ พี่หันไปมองกระจกข้างได้มั้ยคะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของโมนาเอสก็หันไปมองกระจกข้างด้วยความสงสัย
ฟอดดด
เอสถึงกับตกใจเพราะพอเขาหันไปมองกระจกข้างแล้วโมนาก็โน้มหน้ามาหอมแก้มเขาทันที จากนั้นก็รีบลงรถวิ่งเข้าบ้านไปโดยไม่รอให้เอสได้พูดอะไรเพราะเขินกับการกระทำของตัวเอง จนเอสได้ยิ้มกว้างขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“น่ารักชะมัด”
เอสพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะที่มองโมนาวิ่งเข้าบ้านอย่างเร็ว เมื่อเห็นเธอเข้าบ้านไปแล้วเอสก็ขับรถออกไปทันที ทางด้านโมนาพอวิ่งเข้ามาในบ้านก็ยืนพิงผนังมือเล็กทาบอกซ้ายตัวเองไว้เพราะตอนนี้หัวใจเธอกำลังเต้นแรงแทบจะระเบิดออกมาแล้ว
“งืออ ยัยโมนะยัยโมไปติดเชื้อความบ้าบิ่นมาจากยัยแพรแน่ๆ ทำไมกล้าไปหอมแก้มเค้าแบบนั้นเนี่ย โอ๊ย! ตายๆ พรุ่งนี้เจอกันโดนพี่เอสล้อแน่เลย งือออ”
โมนาพูดขึ้นพร้อมกับเบ้หน้าจะร้องไห้เมื่อเผลอใจไปหอมแก้มเขา เพราะตอนนั้นเธอแค่รู้สึกอยากให้กำลังใจเขาขึ้นมาเลยทำแบบนั้นไป แต่พอหอมแก้มเขาแล้วกลับรู้สึกเขินเพราะลืมคิดว่าเขาต้องมาล้อตัวเองกลับ เลยต้องมาเบ้หน้าจะร้องไห้อยู่แบบนี้
“ไปหอมแก้มพี่เค้าแล้ว พ่อกับแม่ต้องยกขันหมากไปขอพี่เค้ามั้ยเนี่ย”
“ว้ายย! พ่อ ตกใจหมดเลย มาตั้งแต่ตอนไหนคะ”
โมนาร้องตกใจทันทีเมื่อผู้เป็นพ่อมากระซิบข้างๆ หูของเธอ
“พ่อก็ยืนตั้งแต่คนบางคนวิ่งเข้ามาในบ้านแล้วพูดพึมพำว่าไม่น่าไปหอมแก้มเค้าเลยอย่างนู้นอย่างนี้”
มนตรีพูดขึ้นพร้อมกับทำท่าทางเลียนแบบโมนา
“งืออ นี่พ่ออยู่ตั้งแต่แรกเลยหรอคะ”
โมนาพูดขึ้นพร้อมกับเบ้หน้าจะร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ใช่แล้ว สงสัยพ่อต้องไปปรึกษาแม่ซะแล้ว”
“ปรึกษาเรื่องอะไรคะ”
โมนาเอ่ยถามผู้เป็นพ่อด้วยความสงสัย
“ก็ปรึกษาว่าจะเอาสินสอดไปสู่ขอพ่อเอสเท่าไหร่ดีถึงจะสมฐานะของพ่อเอสเค้า”
“พ่อ! หนูเป็นลูกสาวนะต้องให้เค้ามาขอสิถึงจะถูก”
โมนาแว๊ดเสียงใส่ผู้เป็นพ่อทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของท่าน
“เอ้า! แสดงว่ายอมรับพ่อเอสเป็นแฟนแล้วใช่มั้ย ถึงจะให้พี่เค้ามาขอ ฮ่าๆ”
มนตรีพูดแซวลูกสาวอย่างอารมณ์ดี
“ไม่ลงไม่รับอะไรทั้งสิ้นล่ะค่ะ ไหนบอกว่าทำงานด่วน พ่อมายื่นว่างอะไรตรงนี้ ไปทำงานช่วยแม่เลยนะคะ”
โมนารีบเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วดันหลังผู้เป็นพ่อให้เดินไปยังห้องตัดชุดทันทีเพราะกลัวโดนแซวมากกว่านี้ ทางด้านมนตรีก็ได้แต่หัวเราะชอบใจแล้วเดินไปอย่างอารมณ์ดีจากนั้นโมนาและพ่อก็ไปช่วยแม่ตัดเย็บชุดที่ลูกค้าให้ทำอย่างตั้งใจ สำหรับโมนางานตัดเย็บเรียกได้ว่าเธอทำได้ดีมากเลยทีเดียวเพราะมีพรสวรรค์ในด้านนี้ด้วย ทางด้านเอสเมื่อขับรถเข้ามายังบ้านหรูขนาดใหญ่ก็ปรับสีหน้ามานิ่งขรึมทันทีจากนั้นก็ลงรถแล้วเดินเข้าบ้านไปโดยไม่มีท่าทียิ้มแย้มเลยแม้แต่น้อย
“คุณเอสครับ”
ขณะที่เอสกำลังเดินเข้ามาในบ้าน เดชาลูกน้องคนสนิทของอิทธิพ่อของเขาก็เดินมาเรียกเขาไว้
“มีอะไร”
เอสถามเดชากลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“นายให้มาเชิญคุณเอสไปที่ห้องรับประทานอาหารตอนนี้เลยครับ แขกมารอแล้ว”
เดชาพูดกับเอสด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“อืม”
เอสตอบกลับสั้นๆ แล้วเดินไปยังห้องรับประทานอาหารทันที เมื่อเดินไปถึงก็เห็นผู้เป็นพ่อกำลังนั่งคุยกับแขกสองคนอย่างอารมณ์ดี
“ลูกชายผมมาแล้วครับ มากินข้าวกันลูก”
อิทธิพูดกับเอสด้วยรอยยิ้ม แต่เอสกลับไม่รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อยเพราะรู้ว่าที่พ่อพูดดีด้วยแค่สร้างภาพต่อหน้าแขกเท่านั้น เมื่อได้ยินพ่อเรียกเอสจึงเดินเข้าไปตั้งท่าจะนั่งยังโต๊ะตรงข้ามแขกแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินพ่อพูดขึ้น
“ไปนั่งข้างๆ หนูบริ๊งสิลูก”
เอสหันไปมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเรียบเพราะเธอนั่นนั่งข้างพ่อของเธออยู่ ทำให้เขารู้ว่าที่พ่อให้เขามาเพื่อจุดประสงค์อะไร
“ให้นั่งตรงนั้นคงไม่เหมาะครับ ผมนั่งตรงนี้ดีแล้ว”
อิทธิหันไปมองตาขวางใส่เอสทันทีเมื่อเอสขัดคำสั่งของเขา
“ให้ตาเอสนั่งตรงนั้นก็ได้คุณอิท จะได้มองหน้ากันสะดวกตอนคุย”
เจ้าสัวบัญชาเจ้าของบริษัทผลิตเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ในประเทศไทยพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี จนอิทธิต้องหันไปยิ้มตอบแขก เอสจึงนั่งลงยังโต๊ะตรงข้ามโดยไม่พูดอะไร
“เอส นี่เจ้าสัวบัญชาเจ้าของบริษัทบัญชากรุ๊ปที่เป็นฝ่ายผลิตเฟอร์นิเจอร์ส่งออกทั่วประเทศ”
“สวัสดีครับ”
เอสยกมือไหว้บัญชาอย่างสุภาพเมื่อผู้เป็นพ่อแนะนำผู้ใหญ่ให้รู้จัก
“ส่วนนี่หนูบริ๊งลูกสาวของเจ้าสัวบัญชาเป็นน้องของลูกหนึ่งปี”
อิทธิแนะนำลูกสาวของเจ้าสัวบัญชาให้เอสด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีค่ะพี่เอส”
บริ๊งยกมือไหว้เอสด้วยรอยยิ้ม เมื่อได้เห็นตัวจริงของเอส บริ๊งก็รู้สึกชอบเขามากจึงส่งยิ้มให้เขาไม่หยุดแต่เอสกลับทำหน้านิ่งไม่ยิ้มตอบเธอเลยแม้แต่น้อย
“สวัสดีครับคุณบริ๊ง”
คำพูดของเอสทำเอาบริ๊งถึงกับยิ้มแห้งเมื่อเขาเรียกเธออย่างห่างเหิน
“เรียกบริ๊งเฉยๆ ดีกว่านะคะ พี่เอสจำบริ๊งได้มั้ยคะ พอดีบริ๊งเรียนคณะเดียวกันกับพี่แถมเรียนสาขาเดียวกันด้วยนะคะ”
บริ๊งพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเพราะเธอเห็นเอสตั้งแต่ตอนที่เลือกสายรหัสแล้ว พอมารู้ว่าพ่อจะมาคุยงานกับทางบ้านเอส เธอจึงขอตามมาด้วยจึงเข้าทางอิทธิที่จะให้ลูกชายเกี่ยวดองกับตระกูลเจ้าสัวบัญชาเขาจึงรีบโทรตามให้เอสมากินข้าวที่บ้านวันนี้
“ขอโทษนะครับ พอดีผมจำไม่ได้”
คำตอบของเอสทำเอาบริ๊งถึงกับหน้าเสียแต่ก็ปั้นหน้ากลับมายิ้มเหมือนเดิม
“ไม่แปลกหรอกค่ะ รุ่นน้องเยอะขนาดนั้น แถมบริ๊งยังไม่ได้เป็นน้องรหัสพี่อีก ไม่งั้นเราคงได้ทำโปรเจ็กด้วยกัน”
บริ๊งพยายามพูดแก้หน้าให้ตัวเองด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะครับ ผมว่าเรากินข้าวไปด้วยคุยงานกันไปด้วยดีมั้ยครับ”
อิทธิเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีเพราะกลัวลูกชายจะทำแขกเสียหน้าไปมากกว่านี้ ทุกคนจึงหันมากินข้าวกันแล้วคุยกันไปเรื่อย ยกเว้นแต่เอสที่เอาแต่ตักข้าวกินโดยไม่พูดอะไรกับใครมีแต่บริ๊งที่ชวนเขาคุยแต่เอสกลับตอบเธอสั้นๆ เรียกได้ว่าถามคำตอบคำจนบริ๊งไม่มีเรื่องให้ถามต่อจึงหยุดถามเอสแล้วกินข้าวอย่างอารมณ์ไม่ดีเมื่อไม่เป็นตามที่หวังไว้