ปัง! มู่ยวี่เฉินใช้เท้าฟาดโดนแคร่หน้าบ้านหักเป็นสองท่อน ชายหนุ่มไม่คิดว่าการที่เขาไว้ใจญาติผู้ใหญ่จะกลายเป็นการทำร้ายน้องๆ ทั้งสองคน “ทำไมทั้งสองคนไม่โทรบอก หรือเขียนจดหมายหาพี่”
“ผมกับน้องเล็กไม่อยากเอาปัญหาไปให้พี่ใหญ่ครับ เราทั้งสองคนไม่อยากให้พี่ไม่สบายใจ แค่พี่ต้องรับภารกิจที่เสี่ยงอันตรายเพื่อพวกเราสองคนพี่ก็เหนื่อยมากพอแล้ว พี่เป็นทั้งพี่ชายเป็นทั้งพ่อเป็นทั้งแม่ของผมและน้องเล็กนะ เลยไม่อยากให้พี่ต้องมาไม่สบายใจเพราะเรื่องพวกนี้”
มู่หยางบอกทั้งน้ำตา เขารู้ว่าพี่ใหญ่เปรียบเสมือนพ่อของเขา เขารู้ว่าพี่ใหญ่เหนื่อยและเสี่ยงอันตรายแค่ไหน เพื่อหาเงินส่งเสียมาดูแลน้องๆ พวกเขายังพอทนไหว จึงเลือกที่จะเงียบ
“อาหยาง เสี่ยวปิง ทั้งสองคนรู้ใช่ไหมว่าพี่รักเราทั้งสองคนมากแค่ไหน และรู้ใช่ไหมว่าทำไมพี่จึงตัดสินใจไปเป็นทหาร หากสิ่งที่พี่ยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อหาเงินส่งมาให้ แต่เราทั้งสองคนยังต้องอดมื้อกินมื้อแบบนี้ พี่ยอมเหนื่อยและทำทั้งหมดเพื่ออะไร ในเมื่อน้องทั้งสองคนของพี่ไม่ได้ในสิ่งที่พี่ส่งกลับมา สิ่งที่พี่เสียใจที่สุดคือเราทั้งสองคนไม่ยอมบอกอะไรพี่เลย ทำเหมือนกับพี่ไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่พี่ชาย!”
มู่ยวี่เฉินหลับตาข่มความโกรธไว้ในใจ ไม่ใช่เขาโกรธหรือโมโหน้องๆ แต่เขาโมโหและโกรธตัวเองมากกว่าที่ปกป้องและดูแลน้องๆ ให้สุขสบายไม่ได้
“ลุงใหญ่ ผมจะให้โอกาสอีกครั้งด้วยการค*****นทั้งหมดมาให้ครบแล้วหลังจากนั้นเก็บของออกจากบ้านนี้ไปซะ ถ้าไม่อย่างนั้นอย่ามาว่าผมแล้งน้ำใจ”
มู่ยวี่เฉินเขาไม่สนใจว่านี่คือญาติหรือไม่ ในเมื่อทำร้ายน้องๆ เขาก่อน คนพวกนี้ต่อให้เป็นญาติเพียงคนเดียวเขาก็ไม่พร้อมที่จะเก็บไว้ข้างกายให้น้องๆ ลำบากอีกแล้ว
“แกกล้าไล่ฉันออกจากบ้านเหรออาเฉิน ฉันเป็นลุงแกนะ ฉันดูแลน้องๆ แกมาตั้งแต่ที่แกไปเป็นทหาร แกไม่สำนึกถึงบุญคุณบ้างหรือยังไง ไอ้หลานชั่ว”
“ถ้าด่าว่าผมชั่วผมยอมรับครับ แต่ผมคงชั่วน้อยกว่าลุงใหญ่ที่เบียดเบียนหลานทั้งสองคนแน่นอน เงินที่ผมส่งมาให้น้องๆ ล่ะครับอยู่ที่ไหน ถ้าเกิดลุงใหญ่เป็นคนดีควรจะเอาเงินก้อนนั้นออกมานะครับ”
มู่ยวี่เฉินย้อนกลับ หากเป็นคนดีจริงควรจะเอาเงินทั้งหมดมาคืนสิ ไม่ใช่ยึดไว้แบบนี้ หากครั้งนี้เขาไม่กลับบ้านมาน้องๆ น้องเขาจะทำยังไง
“แก แก เจ้าหลานชั่ว” มู่เผิงพูดอะไรไม่ได้ ได้แต่ชี้หน้าหลานชายด้วยความโกรธ
“อาหยางนายไปตามหัวหน้าหมู่บ้านมาเถอะ พี่ต้องการจบปัญหานี้ ไม่อย่างนั้นวันที่พี่ต้องกลับเข้ากองทัพนายและน้องเล็กจะลำบาก”
“ครับพี่ใหญ่”
มู่หยางรีบวิ่งออกจากบ้านตรงไปที่บ้านของลุงจื่อผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านด้วยความเร็ว เขาดีใจเหลือเกินที่พี่ใหญ่ตัดครอบครัวลุงใหญ่ไปเสียที ไม่นานหัวหน้าหมู่บ้านจึงมาพร้อมกับคณะกรรมการของหมู่บ้านรวมทั้งพยานอีกหลายคน
“เกิดอะไรขึ้นอาเฉิน ทำไมให้เจ้าหยางไปตามลุงและคนอื่นๆ มาล่ะ” ลุงจื่อหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถาม
“ผมต้องการตัดขาดกับครอบครัวของลุงใหญ่ครับและต้องการให้เขาย้ายออกจากบ้านหลังนี้ รบกวนลุงจื่อจัดการให้ด้วยนะครับ” มู่ยวี่เฉินพูดความต้องการของตัวเองกับหัวหน้าหมู่บ้าน
“ได้สิ หากเป็นความต้องการของนาย แต่ความจริงแล้วมู่เผิงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับครอบครัวของนายนะ ต่อให้นายไม่ตัดขาดเขาก็ไม่มีสิทธิ์ในทรัพย์สินของตระกูลมู่ เขาเป็นเพียงลูกบุญธรรมของปู่นายเท่านั้น เรื่องนี้นายไม่รู้เหรออาเฉิน”
ลุงจื่อหัวหน้าหมู่บ้านถามอย่างสงสัย ในเมื่อมู่เผิงเป็นแค่ลูกบุญธรรมของพ่อเฒ่ามู่ เขาจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในทรัพย์สินของตระกูลมู่ เรื่องนี้เอกสารเขาก็มีอยู่ เพราะพ่อเฒ่ามู่ได้ทำไว้กับพ่อของเขา
ไม่ใช่เพียงมู่ยวิ่นเฉินเท่านั้นที่ตกใจ แม้แต่มู่เผิงเองเขาก็ตกใจเช่นกัน ไม่คิดว่าจะมีคนเปิดเผยเรื่องนี้ขึ้นมา
“ในเมื่อความจริงเปิดเผยแล้ว ผมรบกวนลุงใหญ่และครอบครัวย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้ด้วยนะครับ เพราะไม่เช่นนั้นผมขอเรียกเจ้าหน้าที่มาจัดการเรื่องราวทั้งหมดเอง ผมให้เวลาแค่สองชั่วโมงเท่านั้น”
มู่ยวี่เฉินพูดจบเขาจึงหันหน้ามาขอบคุณลุงจื่อหัวหน้าหมู่บ้านและคณะกรรมการหมู่บ้านรวมทั้งชาวบ้านที่ตามมาเป็นพยาน ก่อนจะพาน้องทั้งสองคนเดินกลับเข้าห้องของตัวเอง อีกแค่สองชั่วโมงเท่านั้นหากไม่ยินยอมย้ายออกไปดีๆ จะมาหาว่าเขาใจร้ายไม่ได้
กลับมาที่บ้านหลี่ เมื่อหลิวชิงเย่วปะทะคารมกับทุกคนจบแล้ว เธอจึงเดินเข้าห้องนอนไม่สนใจใครอีกเลย ชีวิตเธอยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ ไม่มีเวลามามากพอที่จะคุยเรื่องไร้สาระกับบ้านสามี ในเมื่อเธอไม่ยุ่งก็อย่ามีใครมาวุ่นวายกับเธอก็แล้วกัน
หลี่เหว่ยเฉียงเมื่อกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง จึงทบทวนเรื่องระหว่างเขากับหลิวชิงเย่ว ทำไมวันนี้เขารู้สึกว่าภรรยาไม่เหมือนเดิม แววตาที่มองมาไม่มีความรู้สึกใดๆ ให้เขาเหมือนเช่นที่ผ่านมา ครั้งนี้มีแต่ความเย็นชาและรังเกียจ หรือว่าที่ผ่านมานั้นเขาละเลยเธอมากจนเกินไป
ซวี่เซิ่งเสว่เดินตามสามีเข้ามาแต่ไม่กล้าที่จะเรียก เพราะเธอรู้สึกว่าสามีนั้นกำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่พอคิดว่าพี่เฉียงของเธออาจจะคิดถึงภรรยาในนามอย่างหลิวชิงเย่ว จึงได้กำมือแน่นและเกิดความไม่ยินยอมขึ้นมา ในเมื่อพี่เฉียงเป็นสามีของเธอ ก็ไม่ควรที่จะคิดถึงคนอื่น อีกทั้งเธอและเขารักกันมาก่อน หากไม่มีหลิวชิงเย่วป่านนี้เธอคงเป็นภรรยาเพียงคนเดียวของเขาไปแล้ว ไม่ว่ายังไงเธอจะต้องหาทางกำจัดคนที่มาขวางทางรักของเธอให้ได้
หลิวชิงเย่วไม่รู้เลยว่าตัวเองนั้นโดนหมายหัวจากเมียน้อยของสามีเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวยังคงผลิตน้ำหอมของตัวเอง และยังทำสบู่เตรียมที่จะหาที่ขาย แม้ว่าตอนนี้ทางรัฐสามารถเปิดให้ขายของอย่างเสรี แต่เธอควรจะต้องทำโดยไม่ให้บ้านสามีอย่างบ้านหลี่รู้ตัว ก่อนที่เธอจะทำเรื่องหย่าเรียบร้อย
กลางดึกคืนนั้นมีคนมาเคาะห้องของหลิวชิงเย่ว ตอนแรกหญิงสาวไม่คิดที่จะออกมาเพราะตัวเธอเข้ามานอนในมิติแล้ว แต่กลายเป็นประตูห้องถูกเคาะไม่หยุด จนเธอต้องออกมาเผชิญหน้าพอเห็นว่าเป็นใครเธอเตรียมจะปิดประตูใส่หน้า แต่หลี่เหว่ยเฉียงนั้นเร็วกว่าแทรกตัวเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว
“เข้ามาทำไมห้องนี้ เมียคุณอยู่อีกห้องหนึ่งคุณเข้าห้องมาผิดแล้ว” หลิวชิงเย่วเบะปากพูดอย่างรำคาญ
“คุณก็เมียผมไม่ใช่เหรอชิงเย่ว ตั้งแต่แต่งงานกันมาเราสองคนยังไม่เคยเข้าหอกันเลย คืนนี้ผมเลยตั้งใจจะนอนค้างห้องนี้”
ชายหนุ่มไม่รู้เป็นอะไรวันนี้ตั้งแต่กลับมาเจออีกครั้ง ใจเขานั้นกลับนึกถึงแต่หน้าของภรรยาที่เขาไม่เคยต้องการอย่างหลิวชิงเย่วตลอด ทำให้ในที่สุดเขาต้องหน้าด้านมาเคาะห้องนี้
“ตื่นค่ะตื่น กำลังฝันอยู่เหรอมันสายไปแล้วค่ะ เวลาผ่านเลยมาจนสองปี มันจะไม่มีการเข้าหอและจะไม่มีคำว่าสามีหรือภรรยาสำหรับเรา ฉันบอกคุณไปแล้วนี่ว่าจะหย่า คุณช่วยเซ็นใบหย่ากับฉันง่ายกว่าที่จะมาเข้าหอกับฉันอีกนะ”
หลิวชิงเย่วมองอย่างรังเกียจ มโนไปหรือเปล่าจ๊ะพ่อหนุ่ม สองปีผ่านไปเพิ่งจะมีความรู้สึกคิดที่จะเข้าหอ หากเป็นเจ้าของร่างเดิมชิงเย่วคนนั้นอาจจะยอมและดีใจมาก แต่นี่ชิงเย่วคนใหม่แม้แต่ขาอ่อนฉันนายก็ไม่มีทางได้เห็นหรอก
“คุณนั่นแหละเป็นบ้าอะไร ตั้งแต่ผมกลับมาครั้งนี้คุณพูดเรื่องหย่าหลายรอบแล้วนะ อยากจะหย่ามากเลยรึไง”
หลี่เหว่ยเฉียงไม่ยินยอมจึงพูดด้วยความโกรธ หากเป็นครั้งก่อนๆ ที่เขากลับมาบ้านถ้าเธอขอหย่าเขาคงจะไม่ปฏิเสธเลย แต่ครั้งนี้เขากลับไม่อยากจะหย่าและไม่อยากปล่อยเธอไป อาจจะเป็นเพราะเขาไม่เคยเจอแววตาดื้อรั้น และเย็นชาแบบนี้มาก่อน ชายหนุ่มจึงอยากรู้จักและอยากใกล้ชิดกับภรรยาคนนี้ให้มากขึ้น