บทที่ 6 พบหน้าสามีเจ้าของร่าง

1700 Words
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน หลิวชิงเย่วต้องเจอกับเสียงที่ไม่อยากได้ยินของแม่สามีลอยเข้ามา เธออยากมีคาถาที่ทำให้หญิงแก่ตรงหน้าหายไปจริงๆ “เป็นลูกสะใภ้บ้านหลี่นี่ดีจริงๆ วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากเดินเข้าไปอวดโฉมในหมู่บ้าน สงสัยคงจะลืมไปว่าตัวหล่อนนั้นแต่งงานแล้ว” “ใช่เหรอแม่สามี หากการที่เดินเข้าไปในหมู่บ้านเป็นการอวดโฉม แล้วก่อนหน้านี้แม่สามีและสะใภ้คนโปรดมักจะเดินไปทุกวี่ทุกวัน แบบนั้นเขาเรียกว่าอะไร คนหนึ่งเป็นหม้ายสามีตายคนหนึ่งท้องและสามีไปเป็นทหารนานๆ กลับมาครั้ง เป็นแบบเดียวกับที่แม่สามีกำลังพูดถึงอยู่หรือเปล่า” หลิวชิงเย่วคนนี้ไม่ใช่ว่าจะยอมให้ใครด่าว่าฟรีๆ หรอกนะจะบอกให้ ด่ามาด่ากลับสิคะกลัวที่ไหน แค่แม่สามีไม่ใช่แม่เจ้าของร่างนี้เสียหน่อยกลัวทำไม ถ้าแม่สามีดีก็ว่าไปอย่าง “นังชิงเย่วแกกล้าด่าฉันเหรอ นังสะใภ้เลว” นางจ่างซื่อโกรธจนตัวสั่นชี้หน้าด่าหลิวชิงเย่วอย่างโมโห “ฉันไม่ได้ด่าซะหน่อย ก็เห็นแม่สามีพูดแบบนี้กับฉัน ฉันก็เลยพูดตาม ฉันผิดตรงไหน อ้อ...ถ้าหากฉันเป็นสะใภ้เลว แม่สามีควรจะบอกให้ลูกชายหย่ากับฉันซะ ในเมื่อภรรยาตัวจริงท้องแล้วจะเก็บภรรยาในนามแบบฉันไว้ทำไม” หลิวชิงเย่วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เธอไม่ได้ด่าแค่พูดแบบเดียวกันเท่านั้นเอง ก่อนจะท้าทายแม่สามีกลับเรื่องหย่า “แกอย่าคิดว่าอาเฉียงจะไม่กล้าหย่ากับแกนะ ในเมื่อเมียที่แท้จริงของอาเฉียงกำลังท้อง อย่างน้อยๆ อาเฉียงต้องเห็นแก่ลูกและเมียที่เขารัก” คอยดูเถอะอาเฉียงกลับมาเธอจะบอกให้เขาหย่ากับนังชิงเย่วแน่ หลิวชิงเย่วแทบจะบนบานศาลกล่าวให้เรื่องหย่านั้นเป็นเรื่องจริง “ใครจะหย่ากับใครครับแม่” หลี่เหว่ยเฉียงเดินเข้ามาทันได้ยินแม่และภรรยาอีกคนของเขาท้าทายกันเรื่องหย่า หลิวชิงเย่วเองพอได้ยินเสียงผู้ชายเธอจึงหันไปมองว่าใคร จึงเจอเข้ากับสามีของร่างนี้และคิดว่าหลี่เหว่ยเฉียงนั้นเป็นผู้ชายที่ดูดีคนหนึ่ง ยิ่งอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารเขาเท่ไม่เบาเหมือนกัน มิน่าล่ะเพราะหน้าตาแบบนี้ยังไงจึงทำให้ซวี่เซิ่งเสว่ยอมแต่งเข้ามาเป็นเมียน้อย และหน้าตาแบบนี้นี่เองทำให้หลิวชิงเย่วคนเก่าหลงหัวปักหัวปำ ถึงขั้นยอมทุกอย่างไม่ว่าตัวเองจะเสียเปรียบบ้านหลี่ขนาดไหนก็ตาม “ฉันเอง ฉันบอกแม่คุณว่าในเมื่อฉันเป็นสะใภ้เลวก็ควรจะให้คุณหย่ากับฉันซะ อีกอย่างตอนนี้ภรรยาคุณก็ท้องจวนจะคลอดในไม่กี่เดือนอยู่แล้ว เราสองคนควรจะเดินทางใครทางมันเสียที” หลิวชิงเย่วตอนพูดเธอไม่หลบสายตาของคนเป็นสามีเหมือนเช่นที่ผ่านมา ทำให้หลี่เหว่ยเฉียงขมวดคิ้วสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับภรรยาคนนี้ของเขา อีกทั้งแววตาที่เธอมองมากลับสามารถดึงดูดความสนใจจากเขาได้มากทีเดียว “ใช่อาเฉียง ตอนนี้เซิ่งเสว่ท้องได้เจ็ดเดือนลูกควรจะหย่าได้แล้ว นี่ก็ผ่านมาสองปีลูกดูแลเธอตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้านายเก่านานแล้วนะ” นางจ่างซื่อยังพูดไม่ทันจบ หลี่เหว่ยเฉียงสวนกลับมาแบบไม่ต้องคิด “ไม่หย่า ยังไงก็ไม่หย่า ผู้พันหลิวช่วยชีวิตผมไว้และผมเองได้สัญญากับท่านไว้แล้วว่าจะดูแลชิงเย่วไปตลอด ผมผิดสัญญาไม่ได้แม่เข้าใจผมด้วยนะ” “แล้วแต่แกก็แล้วกันอาเฉียง แต่แกไม่สงสารลูกที่กำลังเกิดมาเหรอ ที่ต้องได้ชื่อว่าเป็นลูกบ้านรองลูกนอกสมรส” แม่เฒ่าหลี่ใช้หลานในท้องมาเป็นข้ออ้างเพราะคิดว่าลูกชายจะต้องเห็นใจภรรยาอีกคน “ในเมื่อมันคือความจริงลูกผมต้องรับได้” ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาต้องพูดไปแบบนั้น เขารู้ดีว่านี่เป็นการทำร้ายจิตใจภรรยารักของเขามากก็ตาม “อย่าเพิ่งมั่นใจไปเลย ในเมื่อเราทั้งสองไม่มีความรักให้กันฉันว่าหย่าให้จบๆ นะดีแล้ว อีกอย่างคำสัญญาที่ให้ไว้กับคุณพ่อมันควรจะจบได้แล้วเช่นกัน แต่ตอนนี้เชิญพวกคุณอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาไปเถอะนานๆ จะเจอกันทีคงคิดถึงแทบขาดใจ ส่วนฉันขอตัวก่อนนะ” หลิวชิงเย่วไม่คิดที่จะสนใจครอบครัวหลี่ไม่ว่าใครก็ตาม ตัวเธอเองตอนนี้ต้องการเพียงแค่ใบหย่าเท่านั้น ไม่รู้ว่าในสมองของหลี่เหว่ยเฉียงเป็นอะไรขึ้นมาจึงไม่ยอมหย่า จากนั้นจึงเดินเข้าห้องปิดประตูเพื่อที่จะอยู่คนเดียว “เห็นไหม แกเห็นไหมอาเฉียง นังสะใภ้คนนี้เกิดบ้าอะไรไม่รู้ ไม่เห็นหัวใครเลยสักคน ปกติแกกลับมามันต้องวิ่งเข้ามาดูแลแก แต่นี่อะไรกลับเถียงฉอดๆ และยังปิดประตูใส่หน้าแกอีก” นางจ่างซื่อแค้นจุกอก ยิ่งเห็นว่าหลิวชิงเย่วไม่สนใจใครเลย แม้กระทั่งลูกชายที่เพิ่งจะกลับมาจากค่ายทหาร หลี่เหว่ยเฉียงไม่ใช่ว่าจะไม่สงสัย แต่ชายหนุ่มไม่พูดอะไรเลือกที่จะเดินเข้าห้องของตัวเองไปอีกคน บ้านมู่ มู่ยวี่เฉินได้วันพักมาสองอาทิตย์พร้อมกับยื่นใบลาอีกสองอาทิตย์ครั้งนี้เขาสามารถมาอยู่กับน้องๆ ได้เกือบหนึ่งเดือน เมื่อมาถึงหน้าบ้านชายหนุ่มจึงตะโกนเรียกน้องๆ ทั้งสองคนด้วยความคิดถึง “อาหยาง เสี่ยวปิง พี่กลับมาแล้ว” มู่หยางและมู่ฟ่านปิงได้ยินเสียงเรียกของพี่ใหญ่ทั้งสองคนรีบวิ่งออกมาจากห้องด้วยความดีใจ “พี่ใหญ่กลับมาแล้ว” สองแฝดโผเข้าสู่อ้อมกอดของพี่ชาย ก่อนที่ทั้งสองคนน้ำตาคลอเพราะเก็บอาการไม่อยู่อีกต่อไป “ทั้งสองคนเป็นอะไรบอกพี่สิ ทำไมร่างกายจึงได้ผอมลงแบบนี้” นี่เกิดอะไรขึ้นกับน้องทั้งสองคน เกือบหนึ่งปีที่เขาไม่ได้กลับมาบ้าน ทำไมน้องของเขาจึงได้ตกอยู่ในสภาพเหมือนเด็กขาดสารอาหารล่ะ หรือว่าเขาจะส่งเงินมาให้ใช้ไม่เพียงพอ สองแฝดยังไม่ทันได้ตอบอะไรลุงใหญ่ของทั้งสามคนรีบเดินออกมารับหน้าแทนเพราะกลัวงานเข้าตัวเอง “เจ้าใหญ่กลับมาแล้วเหรอ ทำไมรอบนี้ไม่เขียนจดหมายหรือว่าโทรมาบอกล่ะลุงจะได้ให้ป้าสะใภ้เตรียมอาหารไว้ให้” มู่เผิงชิงพูดก่อนที่หลานตัวดีทั้งสองคนจะบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ให้กับพี่ชายของพวกมันฟัง “ไม่จำเป็นหรอกครับลุงใหญ่ จริงสิแล้ววันนี้ทำไมอาหยางแล้วเสี่ยวปิงจึงไม่ไปโรงเรียน ทั้งสองคนบอกพี่ได้ไหม” มู่ยวี่เฉินคำพูดเหมือนจะอ่อนโยน แต่น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเย็นชาและดุดันตามแบบฉบับของชายหนุ่ม “คือพวกเราสองคนหยุดเรียนแล้วครับพี่ใหญ่” มู่หยางกลั้นใจบอกพี่ชาย ทันทีที่ได้ยินน้องชายบอก ชายหนุ่มเพิ่มความเย็นชาขึ้นมาหลายส่วน มองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายของพ่อด้วยความดุดัน “ลุงใหญ่สามารถอธิบายเรื่องนี้กับผมได้ไหม ว่าทำไมน้องทั้งสองคนของผมจึงต้องออกจากโรงเรียน และเงินที่ผมส่งมาให้น้องทั้งสองคนทุกเดือนนั้นอยู่ไหน ทำไมอาหยางและเสี่ยวปิงจึงได้ผอมและร่างกายมอมแมมแบบนี้ หวังว่าลุงใหญ่มีคำตอบที่ดีให้กับหลานชายคนนี้นะ ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาว่าผมใจร้ายก็แล้วกัน” สำหรับมู่ยวี่เฉินน้องทั้งสองเหมือนดวงใจของเขา ที่ทำให้เขาสู้และหาเงินส่งกลับบ้านให้มากที่สุด เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของน้องทั้งสอง หลังจากที่มู่ยวี่เฉินพูดจบ เขาจึงเดินนำน้องทั้งสองคนเข้ามาในบ้าน แต่กลายเป็นว่าทั้งมู่ฟ่านปิงและมู่หยางไม่ยอมเดินเข้าบ้าน ชายหนุ่มจึงขมวดคิ้วและสงสัยหนักกว่าเดิม นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับน้องทั้งสองคนกันแน่ ทำไมทั้งอาหยางและเสี่ยวปิงทำท่าทางเหมือนกับกลัวลุงใหญ่แบบนี้ล่ะ “ทำไมไม่เข้าบ้าน” “คือ...” มู่ฟ่านปิงยังไม่ทันตอบกลับมีเสียงของมู่เผิงสอดแทรกขึ้นมา “คือว่าทั้งสองคนขอย้ายมาอยู่ห้องเก็บฟืนด้านนอก” “ไม่จริงค่ะพี่ใหญ่ หนูกับพี่รองไม่ได้ต้องการย้ายมาอยู่ห้องเก็บฟืนนั่น แต่โดนลุงใหญ่และป้าสะใภ้ให้เราสองพี่น้องย้ายออกมา เพราะจะเอาห้องให้กับลูกของตัวเองอยู่ ส่วนเรื่องเรียนลุงใหญ่ไม่ยอมให้เงินจ่ายค่าเล่าเรียน เงินที่พี่ใหญ่ส่งมาให้เราสองพี่น้องนั้น หนูกับพี่รองไม่เคยได้จับแม้แต่เฟินเดียว ลุงใหญ่เอาไปปรนเปรอครอบครัวของตัวเอง แต่ละวันพวกเราสองพี่น้องได้กินเพียงน้ำข้าวต้ม หรือไม่ก็แป้งย่างแข็งๆ ไม่เคยได้กินอาหารดีๆ เลยสักครั้ง ไม่เคยอิ่มท้องเลยตั้งแต่พี่ใหญ่กลับไปครั้งนั้น” มู่ฟ่านปิงพรั่งพรูทุกอย่างออกมาด้วยความอัดอั้นพร้อมกับน้ำตาไหลไม่หยุด ไม่ว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น เธอจะไม่ยอมอีกแล้ว เธอจะบอกกับพี่ใหญ่ทั้งหมด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD