มู่ยวี่เฉินกลับมาทันเห็นเหตุการณ์พอดีที่บ้านใหญ่จะเข้ามาทำร้ายน้องๆ ชายหนุ่มจึงรีบเดินมาอยู่ด้านหน้าน้องทั้งสองคนและมองคนตรงหน้าด้วยแววตาวาวโรจน์
“กล้าทำร้ายทั้งสองคนก็ลองดู แล้วลุงจะรู้ว่านรกมันเป็นยังไง”
“ฉันก็แค่มาดูว่ามีเนื้อหมูป่าเหลืออีกหรือเปล่า ยังไงฉันก็มีศักดิ์เป็นลุงของพวกแก อย่างน้อยๆ ควรจะแบ่งมาให้ฉันบ้าง” มู่เผิงรีบเปลี่ยนน้ำเสียงและท่าที เพราะรู้ดีว่าหลานชายคนนี้ย่อมทำจริงอย่างที่พูด
“เงินที่ลุงใหญ่เอาไปจากน้องๆ ลุงยังจ่ายคืนไม่หมดหรือว่าลุงต้องการเพิ่มยอดหนี้อีก”
มู่ยวี่เฉินตอบกลับ ทำให้มู่เผิงนั้นรีบเดินออกจากบ้านแทบไม่ทันเพราะเงินที่เอามานั้นแทบไม่เหลือแล้ว หากตอแยต่อรับรองเขาต้องชดใช้เงินเพิ่มแน่นอน เมื่อมู่เผิงจากไป มู่หยางจึงไปหยิบเงินที่ขายหมูป่ามาได้ยื่นให้กับพี่ชาย ชายหนุ่มจึงเรียกน้องทั้งสองคนมาพูดคุย
“พี่จะพาพวกเราทั้งสองคนไปอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ด้วย เราทั้งสองคนยินดีจะย้ายตามพี่ไปหรือเปล่า เรื่องนี้พี่คุยกับชิงเย่วแล้ว เธอเองก็จะย้ายไปตั้งรกรากที่เซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นถิ่นเดิมของเธอ เราทั้งสองจะได้ไม่เหงาด้วย ส่วนเรื่องเรียนพรุ่งนี้พี่จะทำเรื่องย้ายให้ ทั้งสองคนตกลงไหม หากจะปล่อยให้อยู่กันเองพี่ไม่ไว้ใจบ้านใหญ่ หากพี่ไม่อยู่รับรองคนเห็นแก่ตัวพวกนั้นต้องมาหาเรื่องเราทั้งสองคนอีก”
มู่ยวี่เฉินเลือกที่จะพูดกับน้องทั้งสองคนตามตรง แม้ว่าเขาจะตัดสินใจว่าจะพาน้องๆ ทั้งสองคนไปอยู่ด้วยก็ตาม แต่ก็ต้องการถามความเห็นชอบด้วย หากอาหยางและเสี่ยวปิงไม่ไป อยากอยู่ที่อำเภอนี้เขาตั้งใจจะหาบ้านเช่าในอำเภอให้ เพื่อที่ทั้งสองจะได้เดินทางไปกลับระหว่างเรียนหนังสือโดยไม่ต้องลำบาก
“ไปครับ / ไปค่ะ” ทั้งสองคนตอบแทบจะไม่ต้องคิด ยิ่งมีหลิวชิงเย่วไปด้วยทั้งสองคนดีใจมาก
“พี่ใหญ่ พี่ชิงเย่วจะไปเซี่ยงไฮ้ด้วยจริงๆ เหรอ” มู่ฟ่านปิงพูดอย่างดีใจ ในที่สุดเธอยังคงได้อยู่กับพี่ชิงเย่วเหมือนเดิม ตอนนี้พี่ชิงเย่วตัวคนเดียวแล้วเธอกลัวว่าพี่ชิงเย่วจะเหงา
“จริงสิ แต่ว่าช่วงแรกๆ พี่อาจจะต้องเช่าบ้านให้เราทั้งสองคนอยู่ก่อนนะ เพราะว่าพี่พักที่กองทัพ พี่จะขอทำเรื่องมาพักนอกค่ายหากทำเรื่องได้แล้วพี่จะได้มาอยู่กับเราทั้งสองคนตลอด แต่ก่อนที่จะทำเรื่องได้พี่จะมาอยู่กับเราได้เฉพาะวันหยุด เราสองคนจะโกรธพี่ไหม ที่พี่ไม่ได้อยู่ด้วย”
มู่ยวี่เฉินเป็นเพียงพลทหารไม่มียศอะไร แม้ว่าตอนนี้ทางผู้บังคับบัญชาจะยื่นชื่อของเขาเพื่อขอเลื่อนขั้นให้แล้วก็ตาม แต่ก็ต้องรอภารกิจครั้งถัดไป เขาจึงยังคงพักอาศัยที่กองทัพรวมกับทหารนายอื่น แต่กลับไปครั้งนี้เขาจะลองยื่นเรื่องเพื่อขอพักนอกค่ายทหารดู หากไม่ได้คงต้องรอเขาเลื่อนตำแหน่งก่อนก็แล้วกันและเขาเชื่อว่าน้องทั้งสองคนจะเข้าใจ
“ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ว่าพี่ใหญ่ต้องทำงาน หน้าที่ของทหารต้องดูแลชาวบ้านและประชาชน พี่ไม่ต้องทำอะไรที่ลำบากและผิดกฎเพื่อพวกเราหรอกครับ เราสองคนอยู่กันได้ พี่ใหญ่ค่อยมาหาผมกับน้องเล็กวันหยุดก็พอ เราสองคนไม่โกรธพี่หรอก”
มู่หยางนั้นเข้าใจพี่ใหญ่ เขารู้ว่าการเป็นทหารนั้นไม่ได้สบายมากนัก เพียงแค่เขาและน้องเล็กได้อยู่ใกล้กับพี่ใหญ่ก็พอแล้ว
“หนูก็ไม่โกรธพี่ใหญ่เหมือนกัน หนูกับพี่รองเข้าใจ แต่ถ้าจะชวนพี่ชิงเย่วมาอยู่กับเราด้วยล่ะ พี่ใหญ่จะโกรธหรือเปล่า หนูสงสารพี่ชิงเย่วตอนนี้เธอเหลือตัวคนเดียวแม้ว่าจะกลับไปยังที่ที่เคยจากมา แต่ตอนนี้พี่ชิงเย่วไม่เหลือใครแล้ว”
มู่ฟ่านปิงไม่กล้าสบตาพี่ชายมากนักเพราะกลัวพี่ชายจะดุ ปกติพี่ใหญ่ไม่ชอบสุงสิงกับใครเธอเข้าใจดี
“เสี่ยวปิงลองคุยกับเธอดูว่าเธอจะว่ายังไง พี่ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ดีเสียอีกจะได้มีคนช่วยดูเราทั้งสองแทนพี่ ตอนที่พี่ทำงานพี่จะได้หมดห่วง”
มู่ยวี่เฉินขยี้หัวน้องสาวด้วยความเอ็นดูและภูมิใจในตัวของน้องๆ แม้ว่าบ้านของพวกเขาจะไม่ได้รวย แต่น้องทั้งสองกลับมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น อีกทั้งเขาเองก็เป็นห่วงด้วยเหมือนกันว่าหญิงสาวจะอยู่ยังไงทั้งที่เธอเหลือเพียงตัวคนเดียว
“เย้ๆ ๆ พี่ใหญ่ใจดีที่สุดเลย ขอบคุณมากนะคะ หนูรักพี่ใหญ่และพี่รองมากนะ” มู่ฟ่านปิงกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ก่อนจะโผเข้ากอดพี่ใหญ่และพี่รองของเธอ ทำให้สามพี่น้องกอดกันตัวกลมและหัวเราะอย่างมีความสุข
“พี่ใหญ่ครับแล้วเราจะเอายังไงกับบ้านหลังนี้ดีครับ หากเราไปแล้วใครจะอยู่”
“พี่จะจ้างให้ป้าหลันคอยหมั่นมาดูแลและคอยความสะอาดให้ ยังไงพี่คิดจะกลับมาทุกปีเมื่อถึงวันไหว้บรรพบุรุษ”
มู่ยวี่เฉินพูดถึงป้าหลันซึ่งเป็นภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้าน เขาเชื่อว่าจะช่วยดูแลบ้านให้เขากับน้องๆ ได้ หากปีไหนไม่ได้กลับมาจะได้ให้ป้าหลันตั้งเครื่องเส้นไหว้แทน จากนั้นพี่น้องทั้งสามคนต่างคุยเรื่องที่จะย้ายไปเซี่ยงไฮ้กันต่อ ส่วนพรุ่งนี้มู่ยวี่เฉินตั้งใจจะไปลาออกให้น้องทั้งสองคนที่โรงเรียนพร้อมกับไปดูหลิวชิงเย่วด้วย
เช้าวันต่อมาหลิวชิงเย่วรีบอาบน้ำและแต่งตัวเดินออกมาจากโรงแรม เธอเดินถามชาวบ้านว่าตลาดมืดอยู่ที่ไหน เมื่อได้สถานที่แน่ชัด เธอจึงรีบเดินไปที่จุดหมายอย่างรวดเร็ว เพราะเธอมีเวลาหาเงินเพียงแค่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น แม้ว่าจะมีเงินสินเดิมที่พ่อทิ้งไว้ให้มากมายแค่ไหนก็ตาม แต่มีมากก็ไม่เสียหายอะไร
สำหรับเธอหากไม่หาเพิ่มเข้ามาไม่ว่ายังไงเงินก็ต้องหมดเข้าสักวัน เพราะเธอตั้งใจว่าเมื่อไปถึงเซี่ยงไฮ้แล้วเธอจะหาซื้อร้านและบ้านหลังเล็กๆ อยู่ ความตั้งใจของเธอยังคงเหมือนเดิมคืออยากจะเปิดร้านเสื้อผ้าและขายเครื่องสำอางไปด้วย ในเมื่อเธอมีของมากมายสามารถเรียกออกมาได้ทุกอย่าง เธอไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร อีกทั้งเธอจะเปิดร้านค้าเพิ่มอีกหลายๆ ร้าน แต่ก็ต้องดูทำเลเสียก่อนต่อให้ร่างเดิมจะเคยอยู่ที่นั่น แต่ไม่ใช่เธอ
เมื่อมาถึงตลาดมืดหญิงสาวพบชาวบ้านมากมายมาจับจ่ายซื้อของ และมีพ่อค้าแม่ค้าที่ไม่มีหน้าร้านต่างก็ปูผ้าตั้งพื้นขาย หลิวชิงเย่วเห็นตัวอย่างแล้ว เธอจึงเอาบ้าง จากนั้นจึงหลบเข้าซอกกำแพงลับตาคนจากนั้นนึกถึงเสื้อผ้าทั้งชายหญิงจึงเอาออกมามากมายหลายแบบ
รวมทั้งรองเท้าอีกหลายสิบคู่เธอเอามาทุกขนาด เพื่อให้ลูกค้าได้เลือก รวมถึงนาฬิกาข้อมือแบบธรรมดา ส่วนยี่ห้อดังเธอเอาออกมาเหมือนกันเผื่อว่ามีคนสนใจ เอาเป็นว่าภายในเจ็ดวันนี้หากมีใครมาสอบถามและหาซื้ออะไร เธอจะเอาออกมาขายทั้งหมด
เมื่อได้ของครบตามที่ใจต้องการเธอจึงมองหาที่ว่างเมื่อได้จุดหมาย จึงมาปูผ้าและรีบนำสินค้าที่เตรียมไว้ออกมาขายทันที
“เสื้อผ้าดีๆ ถูกๆ ตัวละสามสิบหยวนเท่านั้น หมดแล้วหมดเลยนะคะ รองเท้าคู่ละยี่สิบหยวนเช่นกัน เร็วได้หากช้าอดนะคะ เร่เข้ามาจ้า เร่เข้ามา” เมื่อเห็นว่ามีหลายคนเรียกลูกค้าแบบนี้หลิวชิงเย่วจึงได้เอามั่ง
“แม่หนูแน่ใจนะว่าขายแค่สามสิบหยวน” ป้าท่านหนึ่งถามย้ำอีกครั้ง เธอมองอย่างไม่ค่อยเชื่อว่าเสื้อผ้าจะขายตัวละสามสิบหยวนจริงๆ
“ใช่ค่ะป้า และไม่ต้องกลัวฉันไม่ได้ขโมยใครมา ฉันมีแหล่งซื้อและเอากำไรแค่เล็กน้อยแต่ฉันเน้นปริมาณมากกว่า หากขายหมดนี่ฉันก็ได้กำไรพอสมควร”
ดูเหมือนจะน้อยแต่เสื้อผ้ายังอยู่ในถุงอย่างดีกองพะเนินแบบนี้ เป็นร้อยตัวอยู่นะ วันนี้เสื้อผ้าพรุ่งนี้ค่อยว่ากันว่าจะเอาอะไรออกมาขายให้ครบเจ็ดวันก่อน จนกว่าจะถึงวันเดินทาง
เมื่อได้รับคำยืนยันจากแม่ค้าหน้าหวาน ลูกค้าต่างเข้ามาเลือกซื้อมากมาย สุดท้ายทุกอย่างจึงขายหมดไม่เหลือแม้กระทั่งนาฬิกา หลิวชิงเย่วจึงรีบเก็บของและรีบเดินออกจากตลาดมืด หากพรุ่งนี้มาคงต้องหาอะไรกินมาก่อน ไม่เช่นนั้นจะหมดแรงเหมือนวันนี้