สิงหยุนเจี๋ยฟื้นคืนมาแล้ว และวิญญาณที่อยู่ในร่างตอนนี้ คือหมอหญิงที่นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราหลายปี นับแต่ถูกรถจักรยานยนตร์ชนอย่างแรง หมอหญิงผู้นี้มีชื่อแซ่เดียวกันกับเจ้าของร่าง และทั้งสองผูกพันกันมาหลายปี หมอหญิงเคยช่วย อีกฝ่ายหนีจนพ้นเงื้อมือของหลัวอี้หยางเหริน รวมถึงต่อลมหายใจให้แก่เจ้าของร่างตอนที่ฝ่ายนั้นคลอดสองแฝด
และช่วงบ่ายวันนี้ เธอได้พบลูกชายหมอกระเป๋า (บ้างก็เรียกว่าหมอเท้าเปล่า/ตีนเปล่า) และวันนี้หมอฮ่าว (ฮ่าวหย่ง) ไม่ได้มาด้วยตนเอง เนื่องจากมีธุระด่วน ดังนั้นผู้ที่มาตรวจร่างกายสิงหยุนเจี๋ย คือหมอฮ่าวน้อย หรือฮ่าวเจ๋อ ซึ่งจบด้านหมอแผนโบราณ อายุชายผู้นี้มากกว่าสิงหยุนเจี๋ยราวๆ ห้าปี เป็นหมอเช่นกันกับบิดา ซึ่งก่อนหน้านั้นทำงานใช้ทุนอยู่แผ่นดินใหญ่ เมื่อย้ายกลับมาที่เกาะซานเฉียงเขาไม่อยากทำงานที่โรงพยาบาล เนื่องจากเป็นงานที่หนัก เงินเดือนมาก แต่กฎระเบียบเยอะทั้งยังจะถูกส่งไปอยู่ในโรงงานด้วย ดังนั้นตัวเขารักอิสระ จึงตั้งใจเปิดคลินิกรักษาคนไข้ ทว่ากับมีเรื่องผิดใจกับแก๊งขวานคู่กลุ่มผู้มีอิทธิพล ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นหมอกระเป๋าไปก่อน
“อาเจี๋ย พี่บอกกี่หนแล้วอย่าทำงานหนัก และให้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ วันก่อนก็เอาไข่มาให้ตั้งหนึ่งแผง แล้วยังมีนมกระป๋องอีก”
หญิงสาวยิ้มขอบคุณเขา และหลังจากวัดไข้ ตรวจอาการทั่วไป สรุปได้ว่าเธออ่อนเพลีย จากการกินอาหารน้อย ส่วนโรคร้ายแรงอื่นๆ ต้องรับการตรวจที่โรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งเรื่องนี้สิงหยุนเจี๋ยดื้อดึง เธอไม่ยอมไปท่าเดียว แล้วเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น เป็นเพราะว่าเจ้าของร่างไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้ อีกทั้งกลัวประวัติตนจะเปิดเผย และฝ่ายหลัวอี้หยางเหรินอาจตัวตามพบ
“ขอบคุณพี่เจ๋อ และของพวกนั้นฉันกินแล้ว”
เธอตอบเขาอย่างนั้น แต่คนแก้มย้อยๆ ที่เงี่ยหูฟังแม่อยู่ตลอดเอ่ยว่า
“ไม่ใช่ แม่ทำข้าวปั้นหน้าไข่หวานไปแจกเด็กๆ กับขนมปังครีมชีส* มันอร่อยมากเลย”
ฮ่าวเจ๋อรับรู้ว่าหญิงสาวมีน้ำใจต่อเด็กยากไร้ในตรอกปู้โจว แต่เธอจะทำเช่นนี้บ่อยๆ อย่างเกินกำลังของตนไม่ได้ ถึงจะมีฝีมือในการปรุงอาหารที่เรียกได้ว่ามหัศจรรย์ก็ตาม
“ครั้งหน้าหากยากช่วยเหลือเด็กๆ พี่จะไปด้วยดีไหม ตรอกข้างใน มีทั้งขี้ยา พวกคนเมา แล้วก็นักเลง ไปแค่ผู้หญิงกับเด็กอันตรายเกินไป”
สิงหยุนเจี๋ยพยักหน้าช้าๆ แล้วตอบเขา
“ในนั้น ยังมีเด็กที่ไม่มีพ่อแม่คอยดูแลด้วย”
“อาเจี๋ย เรื่องพวกนั้นให้เป็นหน้าที่ของทางการเถิด อีกอย่างเธอมีสองแฝดที่กำลังโต เท่านี้ก็หนักหนาแล้ว”
“ขอบใจพี่เจ๋อที่เตือนสติฉัน”
หญิงสาวไม่อยากต่อล้อต่อเถียงเขา ฮ่าวเจ๋อเป็นคนใช้ได้ เพียงแต่เขาไม่ชอบก้าวก่ายงานของคนอื่น อีกทั้งเป็นคนหนุ่มที่หัวสมัยใหม่ ยึดความถูกต้อง และเถรตรงจนบางครั้งเหมือนพวกไม่สนใจใคร
“ขอบใจอะไรกัน พี่แค่ไม่อยากให้คนไข้ของเตี่ยป่วยหนักไปมากกว่านี้” ฮ่าวเจ๋อกล่าว และอยู่ๆ สองแก้มของชายหนุ่มก็แดงระเรื่อ ฝ่ายซ่างเป่าที่เล่นพับกระดาษอยู่ตรงนั้น เอ่ยขึ้นว่า
“หมอเจ๋อ...หน้าแดง เพราะเป็นไข้หรือครับ”
ชายหนุ่มปฏิเสธ ทว่าด้วยสายตาที่เป็นประกายของสิงหยุนเจี๋ยมองมาที่เขา มันทำให้หัวใจเต้นระรัวแรงอย่างควบคุมมิได้
ฮ่าวเจ๋อเป็นคนปากแข็ง ทั้งยังไม่เคยมีความรักมาก่อน ทว่ากลับแม่ม่ายลูกติดที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ เธอมีเสน่ห์เหลือเกิน
“นะ นั่น หะ หูก็แดงด้วย”
ซ่างเป่าไม่ว่าเปล่า ยังลุกขึ้นและทำท่าจะเข้าไปเอาหลังมือแตะหน้าผากคนตัวโตที่นั่งอยู่ไม่ห่างจากมารดาของตน
“ซ่างเกอ ทำอย่างนั้นไม่ได้นะลูก”
เด็กชายได้ยินเสียงแม่ดุ จึงรีบหดมือกลับ แล้วเอ่ยเสียงน้อยใจว่า
“น้องห่วงหมอเจ๋อน้อย... ถ้าเขาไม่สบายอีกคน ใครจะมาป้อนยาหม่ามี้ และเอาของอร่อยมาให้กิน”
สิงหยุนเจี๋ยยื่นมือออกมา แล้วคว้าลูกชายคนเล็กไปกอด แล้วบอกเขาว่า
“หมอเจ๋อน้อยแค่หิวข้าว และข้างในนี้ร้อน เดี๋ยวซ่างเกอพาหมอเจ๋อ ไปรอที่โต๊ะข้างนอกดีไหม สักพักเราก็จะได้กินอาหารค่ำกันแล้ว”
เด็กชายพยักหน้ารับ ก่อนมิวายถามว่า
“ละ แล้ว ‘พ่อใหม่’ คืออะไรเหรอหม่ามี้... น้องได้ยินป้าเหมยลี่ พูดกับอากงเจี้ยน!”
****************
เหมยลี่ง่วนในการทำอาหารตั้งแต่บ่ายจนเย็น หญิงวัยกลางคนทุ่มเงินเก็บที่มีของเดือนนี้กับงานเลี้ยงเล็กๆ เพื่อต้อนรับสิงหยุนเจี๋ยที่คืนฟื้นชีพ
แต่เดิมเหมยลี่เคยอยู่ร้านอาหารในโรงแรมฝั่งพื้นที่เช่าต่างชาติ เคยช่วยงานเชฟใหญ่หลายคนหยิบจับส่งของต่างๆ และพวกเขาปรุงอาหารสำหรับนักการเมือง ดาราดังๆ ทว่ามีครั้งหนึ่งที่ถูกตำหนิเรื่องความสะอาด ทั้งปัญหาการหึงหวงสามีจนเสียงานจึงทำให้ถูกไล่ออก
พอไปสมัครงานใหม่ เธอตั้งท้องจึงไม่มีใครอยากรับเข้าห้องครัว และเกิดเรื่องน่าเศร้าเมื่อเธอประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ หมอให้เลือกระหว่างรักษาชีวิตตนเองหรือลูกไว้ แน่นอนเรื่องนี้กลายเป็นตราบาปใหญ่หลวงในชีวิตหญิงวัยกลางคนมาถึงทุกวันนี้ เพราะเธอเลือกให้ตนเองรอด
“หากย้อนเวลากลับไปได้ การไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ คงดีที่สุดแล้ว แต่พอคิดว่า ใครจะเลี้ยงลูก เรื่องนี้ยิ่งปวดใจยิ่งกว่า”
เหมยลี่เคยระบายสิ่งที่อัดแน่นในใจกับสิงหยุนเจี๋ย
และอุบัติเหตุครั้งนั้นส่งผลให้เธอไม่สามารถอยู่ในห้องครัวใหญ่ๆ อย่างเช่นเมื่อก่อนได้ ดังนั้นอาชีพคนครัวอย่างที่เคยทำจึงปิดฉากลง อีกทั้งสุขภาพจิตไม่ค่อยดี มักซึมเศร้า เธอจึงหันมาซาลาเปาไส้ผัก กับขนมแป้งทอดงาแบบง่ายๆ พอให้มีรายได้ ยามว่างก็ออกไปรับจ้างซักผ้า รีดผ้าให้ครอบครัวคนรวยที่อยู่ฝั่งถนนตรงข้ามตรอกปู้โจว เพียงเท่านี้ชีวิตเหมยลี่ก็มีความสุข ผิดแต่สามีเธอ จางเฝิง ซึ่งทำงานโรงงานกระดาษกลับกลายเป็นผีพนัน นับแต่นั้นการเงินของเหมยลี่จึงชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่บ่อยๆ