แผนการที่น่ารังเกียจ

1729 Words
“ที่ให้มู่เอ๋อร์ไปตามเด็กนั่นมา นางจะมาแน่นะ” ความที่ไม่เคยใส่ใจบุตรสาวคนโตมานานหลายปี หวังยี่ชวนจึงไม่ค่อยมั่นใจว่าว่าบุตรสาวคนเล็กจะทำสำเร็จ “ต้องมาแน่เจ้าค่ะ มู่เอ๋อร์มีวาทะเป็นเลิศไม่ต่างกับท่านพี่ คงไม่ยากที่จะกล่อมให้นางเด็กนั่นมา” ในขณะที่สองผัวเมียคุยกันอยู่นั้น เสียงเซ็งแซ่ก็ดังมาจากลานจัดงานเลี้ยง หวังยี่ชวนและภรรยาจึงรีบหันไปดูทันที “นั่นนางมาจริง ๆ มู่เอ๋อร์ทำสำเร็จแล้ว ท่านพี่เราไปหาพวกนางกันเถิด ถึงเวลาที่ท่านพี่จะต้องทำหน้าที่ของบิดาที่ดีแล้วเจ้าค่ะ ส่วนข้าก็จะไปสำนึกผิดต่อนางที่เห็นแก่ตัวเกินไป ทำให้พ่อกับลูกต้องห่างเหินกัน คิก ๆ” หวงมู่ฮวามีสีหน้าชื่นมื่นทั้งหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี “เจ้านี่ล่ะน้า ช่างคิดช่างวางแผน เหมาะแล้วกับตำแหน่งฮูหยินหนึ่งเดียวของสกุลหวัง ฮ่า ๆ ๆ” หวังยี่ชวนก็มีอารมณ์ครึกครื้นไม่ต่างจากภรรยา ช่างเหมาะสมกันเหมือนผีเน่ากับโลงผุเสียจริง หวังยี่ชวนกับภรรยาเดินมาถึงตัวบุตรสาวทั้งสอง และรั้งพวกนางเอาไว้ทัน ก่อนที่พวกนางจะเดินเข้าไปทักทายแขกเหรื่อ “ม่านเอ๋อร์ พ่อดีใจเหลือเกินที่เจ้ามา” นายท่านหวังกล่าวด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง มือหยาบกร้านจับชายแขนเสื้อซับไปหางตาทั้งสองข้าง ที่ไม่รู้ว่าซับเอาอะไรออกกันแน่ “แม่รองก็ดีใจที่เห็นพวกเจ้าสองพี่น้องรักใคร่ปองดองกัน ที่ผ่านมารู้ตัวแล้วกระทำผิดต่อเจ้าเอาไว้มาก แต่ตอนนี้สำนึกผิดแล้ว แม่รองจะไม่เห็นแก่ตัวและจะไม่เหนี่ยวรั้งท่านพ่อเอาไว้คนเดียวอีก เจ้าจะอภัยให้แม่รองได้หรือไม่” ฝั่งหวงมู่ฮวาก็แสดงได้สมบทบาท นางกล่าวทั้งน้ำตาพร้อมกับรับเอาความผิดมาไว้กับตัว เพื่อจะให้ลูกเลี้ยงคลายความแคลงใจต่อผู้เป็นบิดา หากทำให้ม่านหลิวเชื่อ งานที่นางกับมู่เอ๋อร์รับหน้าที่ทำก็จะได้ราบรื่นและไร้อุปสรรค “ข้าก็เช่นกัน เพราะข้าอิจฉาและกลัวท่านพ่อรักข้าน้อยกว่าท่าน จึงสร้างเรื่องและพยายามขัดขวางทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ท่านพ่อไปที่เรือนหลังนั้น ที่ท่านพ่อเมินเฉยต่อท่าน ก็เป็นเพราะข้ากับท่านแม่เป็นต้นเหตุ ท่านพี่เจ้าขา ตอนนี้มู่เอ๋อร์สำนึกแล้วเช่นกันเจ้าค่ะ” ทั้งแม่ทั้งลูกต่างพากันคร่ำครวญกับสิ่งที่เคยทำผิดต่อนาง มันดูสมจริงและสมเหตุสมผล จนหวังม่านหลิวเชื่ออย่างสนิทใจ นางเชื่อว่าความอิจฉาริษยาของผู้หญิงสามารถทำได้แม้กระทั่งฆ่าคน มันมีแทบทุกตระกูลที่เป็นแบบนี้ แต่นับว่านางยังโชคดีที่น้องสาวกับแม่รองยังไม่เป็นไปถึงขั้นนั้น แถมพวกนางยังรู้จักสำนึกผิดกับสิ่งที่เคยทำอีกด้วย “ต่อไปขอให้ครอบครัวของเราได้เป็นครอบครัวเสียทีนะ ว่าอย่างไรม่านเอ๋อร์ เจ้าจะอภัยให้แม่รองกับน้อง และพ่อของเจ้าได้หรือไม่” “ข้าอภัยให้ทุกคนเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านพ่อที่ยังไม่ลืมลูก” หญิงสาวร้องไห้น้ำตาอาบแก้มนวล แต่นางเก็บเสียงสะอื้นเอาไว้ในอก เพราะกลัวแขกที่มางานเลี้ยงจะได้ยินและสงสัยเอาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในตระกูลหวัง ภายหลังเมื่อครอบครัวเข้าใจกันดีแล้ว นายท่านหวังเดินเข้าไปปลอบขวัญบุตรสาวคนโตด้วยการตบไหล่บางเบา ๆ เขาไม่ได้โอบกอดอย่างที่นางคาดหวัง แต่หวังม่านหลิวก็เข้าใจ ความห่างเหินที่กินเวลานานนับสิบปี บิดาย่อมรู้สึกกระดากอายหากจะโอบกอดนางในวัยที่เป็นสาวเต็มตัวแล้ว “มู่เอ๋อร์ พาพี่สาวของเจ้าไปนั่งเสียเถิด แนะนำสหายวัยเดียวกันให้พี่เจ้ารู้จักด้วย ดูแลนางให้ดีอย่าให้ใครมารังแกได้ล่ะ แม่กับท่านพ่อจะไปดูแลแขกด้านโน้นก่อน” “เจ้าค่ะท่านแม่ ไปกันเถอะท่านพี่ ไปนั่งกับสหายของข้า พี่สาวของพวกนางก็มาด้วย ท่านพี่ต้องชอบแน่ ๆ” หวังมู่หยาไม่รอให้พี่สาวตอบรับ นางเดินนำหน้าพร้อมกับจูงมือของพี่สาวเดินเข้าไปหากลุ่มของคุณหนูวัยเดียวกัน อีกด้านหนึ่งของงานเลี้ยง... “เผิงจิ้งนั่นนางจริง ๆ ด้วย ดูท่านางไม่น่าจะใช่สาวใช้เสียแล้ว นางคือคุณหนูหวังม่านหลิวที่คนกำลังลือกันอยู่ตอนนี้สินะ” สองหนุ่มกระซิบกระซาบกัน เมื่อคุณหนูทั้งสองของจวนเผยตัวออกมาให้แขกเหรื่อได้ยลโฉม ชางจางเว่ยที่ยกจอกสุรากรอกปากอยู่ไม่หยุด แต่หูก็ยังทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพล่อง เขาได้ยินทุกประโยคที่โจวซีหยางกับเผิงจิ้งคุยกันเลยทีเดียว ถึงจะเห็นว่าสองหนุ่มกระซิบกระซาบกัน แต่เขาก็ยังได้ยินชัดเจนอยู่ดี “นั่นแหละคุณหนูใหญ่หวังม่านหลิว นางงดงามสมค่ำร่ำลือใช่ไหมเล่า” ชางจางเว่ยแทรกเข้ามาผสมโรงร่วมกระซิบด้วย ทำเอาสองหนุ่มหันมายิ้มเจื่อนให้กัน “พอนางผ่านพิธีปักปิ่น คงจะมีแม่สื่อจากหลายตระกูลมาต่อแถวทาบทามสินะ” เผิงจิ้งถาม “แน่นอนล่ะ แต่คงมีแค่แม่สื่อจากทางวังหลวงเท่านั้นแหละที่มาทาบทาม คุณชายตระกูลอื่นคงได้แต่มองตาละห้อย” “แล้วถ้าคุณหนูใหญ่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม จะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ขอรับ” เผิงจิ้งยังถามต่อ แต่คนที่อยากรู้คำตอบ เห็นจะเป็นอีกคนที่นั่งมองคุณหนูใหญ่ไม่วางตา “ในกรณีที่คุณหนูม่านหลิวไม่มีคุณสมบัติ องค์ชายใหญ่อาจจะไปทาบทามคุณหนูตระกูลอื่น แต่ถ้าทางราชวงศ์เจาะจงคุณหนูสกุลหวัง พวกเขาก็คงต้องหมั้นหมายคุณหนูมู่หยาแทน แม้นางเพิ่งจะมีอายุแค่สิบขวบ มันก็ไม่เป็นปัญหาหรอกสำหรับราชวงศ์เป่ย ถึงกฎหมายจะบังคับให้บุรุษแต่งงานกับหญิงสาวที่ผ่านพิธีปักปิ่นได้เท่านั้น ทว่า...สมัยก่อนคนแช่เป่ยยังเคยแต่งพระชายาวัยเก้าขวบแล้วเลย แต่สมัยนี้คงทำได้ยากนอกเสียจากพ่อแม่ของฝ่ายหญิงจะเห็นดีเห็นงามด้วย” คำตอบของนายท่านชาง ทำให้โจวซีหยางที่นั่งดื่มสุราอยู่เงียบ ๆ เผยยิ้มน้อย ๆ ออกมาอย่างมีเลศนัย ในใจก็คิดหาวิธีที่จะได้ครอบครองหญิงในดวงใจ โดยไม่ทำให้บัวช้ำและน้ำจะต้องไม่ขุ่นเป็นอันขาด “สวัสดีทุก ๆ ท่าน ขอบคุณที่ให้เกียรติมาร่วมงานเลี้ยงเล็ก ๆ ของสกุลหวัง ขอให้ทุกท่านดื่มกินให้อิ่มหนำ หากใครกลับจวนไม่ถูกหรือไม่มีรถม้ามารับ ข้าก็มีเรือนหลายหลังเอาไว้รับรองพวกท่าน ฉะนั้นดื่มให้เต็มที่ อย่าได้เกรงใจ” ในช่วงที่หวังยี่ชวนกำลังกล่าวทักทายแขกอยู่นั้น สาวใช้ก็ยกกับแกล้มและสุรามาเพิ่ม และในขณะที่เผิงจิ้งกับโจวซีหยางกำลังเผลอ สาวใช้ได้สลับจอกสุราของพวกเขาด้วยความรวดเร็ว แต่ก็ไม่เร็วไปกว่าสายตาของหัวหน้าพ่อค้าอย่างโจวซีหยางไปได้ เหตุการณ์นี้มันจึงทำให้เขาสงสัย จอกของเขากับของเผิงจิ้งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แล้วเหตุใดถึงต้องเปลี่ยน ก่อนที่สุราจะถูกรินใส่จอกใบใหม่ เขายกมันขึ้นมาดมเสียก่อนอย่างไม่ให้ผิดสังเกต หลังจากนั้นเขาก็รินสุราให้ตัวเองและสหาย “ถ้าไม่อยากหลับเจ้าก็อย่าดื่ม” เขากระซิบบอกเผิงจิ้งขณะรินสุราให้ “แล้วเจ้ารินให้ข้าทำไมเล่า” เผิงจิ้งกัดฟันถามเสียงเบาแต่ก็ถูกอีกคนถมึงตาให้แทนคำตอบ เผิงจิ้งจึงแสร้งดื่มเหล้าที่สหายรินให้จนหมดจอก แล้วทำทีเป็นเช็ดปากก่อนจะอ้าปากหาวแล้วฟุบลงกับโต๊ะ “เป็นคนหนุ่มแท้ ๆ แต่คออ่อนยิ่งนัก” ชางจางเว่ยกล่าวเย้ยพร้อมกับส่ายหน้า แต่ใช่ว่าตัวเองจะไม่เมา ถึงจะยังไม่ฟุบหลับเหมือนเผิงจิ้ง แต่คงเดินไม่ตรงทางแน่นอน “หึ ๆ ๆ สุราที่ได้มารอบนี้แรงอย่าบอกใคร แต่ท่านก็คอแข็งยิ่งนักนายท่านชาง ทำเอาหนุ่ม ๆ อายเลยทีเดียว” หวังยี่ชวนชมเปราะ แต่สายตาก็แอบเหลือบมองโจวซีหยาง และคอยลุ้นว่าเมื่อไหร่เจ้าหนุ่มนี่จะดื่มสุราจอกนั้นเสียที แต่หวังยี่ชวนไม่ได้ลุ้นนานเท่าใดเลย เมื่อเหยื่อของเขากระดกสุราจอกนั้นจนหมด ไม่นานชายหนุ่มก็ฟุบลงไปกับโต๊ะเช่นเดียวกันกับสหายที่มาด้วยกัน “อ้าวหลับไปอีกคนแล้ว ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาพักอยู่โรงเตี๊ยมไหน ไม่มีรถม้ามาคอยรับด้วยสิ แล้วจะทำอย่างไรล่ะทีนี้” เสียงของชางจางเว่ยเริ่มอ้อแอ้ “ข้าบอกแล้วไง เรือนรับรองของข้ามีหลายหลัง ข้าจะให้พวกเขาค้างคืนที่นี่ก็แล้วกัน ท่านไม่ต้องห่วง” หวังยี่ชวนบอกกับชางจางเว่ยให้คลายกังวลกับเรื่องที่พักของชายหนุ่มทั้งสอง “เอาอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นท่านก็ให้คนไปเรียกคนขับรถม้าของข้ามารับที่นี่ที ข้าคงเดินไปหารถม้าเองไม่ไหว” พูดจบเขาก็เหมือนจะหลับไปอีกคนเพราะความเมา งานเลี้ยงเพิ่งจะผ่านไปครึ่งคืน แต่ดูเหมือนแขกที่เป็นบุรุษส่วนมากจะพากันเมามายและทยอยกลับไปเกือบหมด ส่วนทางฝั่งสตรีนั้นยังคงมีเสียงหัวเราะดังอยู่เรื่อย ๆ ไม่ขาดสาย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD